10 งานสร้างสรรค์ที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว

ทฤษฎี พระเจ้าจากอวกาศ เป็นทฤษฏีที่ว่าด้วยความเชื่อที่ว่า โลกของเรา ได้รับการมาเยี่ยมเยือ จากอาคันตุกะต่างพิภพอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่มนุษย์เรา ได้เริ่มสั่งสมอารยธรรม และก่อร่างสร้างสังคมขึ้นมานั้น สิ่งทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกจำนวนไม่น้อย ได้คอยหนุนอยู่เบื้องหลังวิวัฒนาการของมนุษย์ ระยะเวลาที่ว่า ก็ประมาณ 40,000 กว่าปี โดยมีหลักฐานตำนาน และจารึกในบรรดาชนชาติที่เจริญแล้วในอดีต ล้วนกล่าวถึงพระเจ้าที่ทรงพาหนะบินไปมาในอากาศ  จนไป จนถึงหลักฐานที่จับต้องได้อย่างมหาปิระมิดแห่งอียิปต์ ที่มีทฤษฏีว่า ชาวไอยคุปต์โบราณ ไม่มีทางสร้างปิระมิดได้หากปราศจากเทคโนโลยีจากต่างดาวเข้ามาช่วย นอกจากนี้ยังมีหลักฐานและปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เป็นสิ่งที่เราไม่เข้าใจว่ามัน เป็นฝีมือคนหรือต่างดาว หรือว่าคนโบราณสร้างไว้เพื่อสื่อสารจากต่างดาว  และหลักฐานเหล่านี้จะทำให้หลายคนเชื่อไหมว่ามนุษย์ต่าง ดาวนั้นมาเยือนโลกอดีตของเราจริง....

ผู้แต่ง : Cammy


              10. Ancient Cave Paintings

               

มีการค้นพบศิลปะโบราณที่มีอายุ หลายพันปีที่วาดรูปสิ่งที่ดูเหมือนไม่ใช่มนุษย์เอาไว้ ส่งผลทำให้เกิด “ทฤษฏีนักบินอวกาศในโลกโบราณ”ขึ้น โดยตำนานกล่าวว่ามีเทพหรือผู้มาจากฟ้าเบื้องบนมาติดต่อกับมนุษย์สมัยก่อน เพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและความรู้แก่พวกเขา โดยภาพศิลปะโบราณนั้นปรากฏอยู่ทั่วโลก เช่นภาพเขียนที่ทะเลทราย ซาฮาร่า อายุประมาณ 6000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช มีภาพวาดหนึ่งที่คล้ายจานบินและมนุษย์ต่างดาว,  ศิลปะ สกัดหินแห่งหุบเขาคาโมนิคา ภาพวาดคล้ายมนุษย์อวกาศ มีความเก่าแก่ประมาณ 10,000 ก่อนคริสต์ศักราช ส่วนในภาพเป็นส่วนหนึ่งของภาพวาดตามผนังของชนเผ่าอบอริจินที่เมือง Kimberly อายุประมาณ 5,000 ปีก่อนคริสต์ ศักราชที่ เป็นภาพเหล่ามนุษย์แปลกๆ ที่ดูแล้วไม่ใช้มนุษย์ แต่เหมือนมนุษย์ต่างดาวมากกว่า ในขณะที่ฝ่ายค้านจานบินบอกว่าภาพเหล่านี้น่าจะเป็นภาพเทพเจ้าตามความเชื่อ ของคนโบราณมากกว่า


                 9. Egyptian Carvings        

         


มีหลักฐาน ชัดเจนว่ามีเทคโนโลยีสูงสุดในยุคโบราณที่ปรากฏในภาพเกาะสลักในจารึกใน อียิปต์ บางภาพดูเหมือนเฮลิคอปเตอร์, จานบิน, เครื่องบินเจ็ท หรือแม้กระทั้งหลอดไฟฟ้าที่ค้นพบในวิหารเดนเดรา ซึ่งชาวอียิปต์โบราณได้สลักภาพที่ดูเหมือนหลอดไฟฟ้าไว้อย่างชัดเจน โดยสิ่งเหล่านี้ไม่ได้กล่าวถึง วรรณกรรมในอียิปต์แต่อย่างใด ส่วนภาพที่เห็นนั้นคานติดเพดานอายุกว่า 3000 ปี ในวิหารอาบิดอส โบราณทางใต้ของไคโร ของอียิปต์ บริเวณที่ราบสูงกิซา มีภาพประติมากรรมยานลึกลับปรากฏอยู่


                      8. Nazca Lines

 

ไกลออกไปในที่ราบสูงซึ่งเป็นที่ทะเล ทรายนาซคา ในภาคใต้ของเปรู ได้มีลายเส้นเครื่องหมายหรืออาจเป็นสัญลักษณ์บางสิ่งบางอย่าง ปรากฏขึ้นอย่างดาษดื่นทั่วไปกินเนื้อที่หลายร้อยตารางไมล์ แต่ส่วนใหญ่พบอยู่ในระหว่างเมืองนาซคากับเมืองปัลปา ลักษณะมีการขีดเน้นอย่างจงใจและประณีต ขนาดใหญ่โตถึง 200 เมตร และรูปทั้งหมดครอบคลุมเนื้อที่กว่า 500 ตาราง กิโลเมตร ท้าทายแดด ลม ฝน เป็นเวลากว่าสองพันปี ลายเส้นเหล่านี้นิยมเรียกกันว่า " นาซคาไลน์"

                นาซคาไลน์ มีหลายรูปแบบ ชนิดที่เป็นทรงเรขาคณิตก็มี ทรงสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม สี่เหลี่ยมคางหมู วงกลมเส้นหยัก เส้นแคบ ยาวกว่า 5 ไมล์ นอกจากนั้นยังมีรูปนก สัตว์เลื้อยคลาน ปลาวาฬ ลิง แมงมุม นกฮัมมิ่งเบิร์ด (ทั้งๆที่เปรูไม่มีนกชนิดนี้) บางภาพก็คล้าย เครื่องปั้นดินเผาโบราณของชาวเมืองนาซคาที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นงานของชาวเมืองนี้อายุลานเส้นสันนิษฐานว่าตกอยู่ใน ยุค 100 ปีก่อนคริสตศักราชถึงคริสตศักราช 700 นาซคาไลน์ แม้จะดูทำขึ้นแบบง่ายๆ แต่คำนวณแล้วว่าต้องใช้เวลามาก ไม่ว่าจะเป็นการเกลี่ยหินหน้าทรายการจัดแนวหินให้เป็นเส้นตรง และค่อนข้างชัดเจนว่าภาพเหล่านี้ จงใจสร้างขึ้นเพื่อใ ห้มองจากท้องฟ้า การออกแบบหาไอเดียเพื่อให้เหมาะกับภูมิประเทศ ซึ่งไม่มีฝนตกเลย อย่างน้อยก็พันปีมาแล้ว มีการเดาไปต่างๆ นานา บ้างว่าเป็นถนนก่อนประวัติศาสตร์ ฟาร์ม สนาม ยานอวกาศ เครื่องหมายหรือสัญญาณบอกเรื่องราวแก่สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า เช่น มนุษย์ต่างดาว หรือพระเจ้าในความเชื่อถือทางศาสนา แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครรู้จริง นอกจากจะสันนิษฐานว่าเป็นผลงานทางศิลปะของอินเดียนแดงโบราณ


                 7.Antikythera Mechanism                                                     

        


มีสิ่งประดิษฐ์อย่างน้อยหนึ่งชิ้นที่ พิสูจน์ว่า อารยธรรมหนึ่งในโลกโบราณเป็นเจ้าของเทคนิคที่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ คาดถึงมาก่อน มันถูกพบในทะเลนอก เกาะแอนติไกเธอร่า อันเป็นเกาะเล็กๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของครีท มันจึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ เครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่า  มันถูกค้นพบจากเรือที่ อับปางลำหนึ่งที่ถูกค้นพบในปี 1900  การ ค้นพบในครั้งนี้ทำให้รัฐบาลกรีกยืนมาช่วยเหลือ(กรีกกับกริซเป็นคนละประเทศนะ ครับ ขอบอกไว้ก่อน)ได้ยื่นมือกู้สมบัติ กว่าจะกู้หมดใช้เวลา 9 เดือน พวกเขาก็นำเอารูปปั้นหินอ่อนและบรอนซ์ขึ้นมา และนำพวกมันไปยังพิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติในกรุงเอเธนส์ เพื่อทำความสะอาดและบูรณะ พนักงานของพิพิธภัณฑ์ตื่นตาตื่นใจในความงามและปริมาณที่มีอยู่มากมายของสิ่ง ของ ดังนั้นมันจึงไม่น่าแปลกใจที่ต้องใช้เวลาหลายเดือน ก่อนที่จะมีใครมองดูซากบรอนซ์ที่ผุกร่อนสองสามชิ้นที่ถูกค้นพบมาพร้อมกัน อย่างใกล้ชิด เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1902 นักโบราณคดีชั้นนำผู้หนึ่ง คือ วาเลอริออส สตาอิส  ได้ตรวจพบมันในที่สุด เขาสังเกตเห็นสมบัติที่งมขึ้นมีชิ้นเดียวที่ถูกละเลยกองรวมรูปหล่อบรอนซ์และ รูปสลักหินอ่อนไม่สมบูรณ์อื่นๆ แถวรูปร่างของมันคล้ายนาฬิกามีโครงร่างซี่ล้อผุพัง ใ แต่ชิ้นที่น่าสนใจที่สุดของทั้งหมดคือเครื่องจักรกลที่รวบรวมระบบฟันเฟือง ที่แตกต่างกันโดยอย่างสิ้นเชิง นี่ เพราะตามประวัติศาสตร์ได้มีการคิดระบบฟันเฟืองที่ซับซ้อนถึงเช่นนี้ปรากฏ เป็นครั้งแรก ในตัวเรือนนาฬิกาที่สร้างขึ้นในปี 1575 ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่ามันเป็นล้อฟันเฟืองของจานกลุ่มดาว ซึ่งนักดาราศาสตร์ใช้ในการวัดการขึ้นของดวงอาทิตย์

เลอริออสได้ประกาศสิ่งที่เขาพบว่านี้คือ เครื่องกลไกทางดาราศาสตร์ โบราณ แต่ก็มีการโต้เถียงในเวลาต่อมา เพราะหลายคนไม่เชื่อว่าคนสมัยก่อนไม่น่าจะมีหัวคิดในเรื่องกลไกลสลับซับซ้อน แบบนี้ได้ แม้จะเก่งเรื่องคณิตศาสตร์ก็ตาม

ไม่มี ใครรู้ว่าเครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่าใช้อย่างไร หรือมันไปทำอะไรในเรือที่บรรทุกรูปปั้น แต่ตัวของไพรส์คิดว่ามันอาจเป็นตัวแทนของจักรวาลเป็นงานศิลปมากกว่าที่จะ เป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์  เขายังเชื่อว่ามันอาจเป็นส่วนหนึ่งของการสืบทอดเทคนิคการติดตั้ง เฟืองที่ตกทอดให้แก่คนรุ่นหลัง จากกรีก โบราณให้กับผู้รับช่วงชาวมุสลิม และท้ายที่สุดก็ออกดอกออกผลมาเป็นนาฬิกาทางดาราศาสตร์ของชาวยุโรปผู้ยิ่ง ใหญ่ในยุคกลาง และเครื่องจักรกลแอนดิคีเธอร่าต้องจัดให้เป็นอย่างที่ไพรส์กล่าวว่า "เป็นหนึ่งในประดิษฐกรรมพื้นฐานทางด้านเครื่องจักรกลทางเวลาทั้ง หมด"

อย่างไรก็ตามการค้นพบ เครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่า (Antikythera Machine) นั้นเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่ สำคัญชิ้นแรก ที่จุดประกายให้มีการลบล้างความเข้าใจดั้งเดิมที่เชื่อๆ กันว่าคนโบราณนั้นฉลาดเหลือเชื่อ(หรือเป็นผลงานของมนุษย์ต่างดาวกันแน่)


                   6. Saqqara Bird                                                


ถูกค้นพบเมื่อปี 1898 ในสุสานใกล้กับเมืองกี ซาซึ่งถูกประมาณการว่าสร้างเมื่อ 200 ปีก่อนคริสต กาล (บางเอกสารจะกล่าวว่า 2000 ปี(แต่บางคนบอกว่า 200 ปี) โดยเป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมนักบินอวกาศยุคโบราณ) โดยรูปร่างสิ่งนั้นเหมือนเครื่องบินยาวประมาณ 14 เซนติเมตร ปัจจุบันหลักฐานชิ้นนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรุงไคโร โดยผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์การบินชี้ว่าทรวดทรงและองศาของปีกตรงตามหลักการทำ ปีกเครื่องบิน และยังมีผู้กล่าวด้วยว่าเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุด (ในเวลานั้น) ซึ่งดีไซน์โดยนาซ่ามีความคล้ายคลึงกับโมเดลดังกล่าวนี้มาก ส่วนคนค้านก็ว่าว่า “มันเป็นนกไม่ใช่เครื่องบิน” หากแต่สังเกตดีๆ สิ่งนั้นไม่มีขาและองศาของปีกนั้นไม่เหมือนกับนก อีกทั้งการออกแบบเหมือนเครื่องบินกำลังยกเครื่อง โดยปัจจุบันเชื่อว่าเป็นศิลปวัตถุทางศาสนา ไม่ก็ของเล่นของเด็กสมัยก่อน


                              5. Dogu

           

โดกุเป็นรูปปั้นประหลาด เริ่มผลิตในสมัยโชมอน ตอนปลาย (ของญี่ปุ่น) รูปแกะสลักดังกล่าวเป็นงานหยาบๆ และง่ายๆ โดยการเกลาไม้ให้เป็นรูปร่างคร่าวๆ มีตา จมูก ปาก แขน และขา แต่ประหลาดนิดหน่อยคือมี ศีรษะใหญ่ผิดปกติ ลำตัวและแขนบิดเบี้ยวผิดไปจากธรรมชาติ และสวมเครื่องแต่งกายโบราณเท่านั้น (ไม่นิดหน่อยแล้ว)

ผู้ เชี่ยวชาญหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า บริเวณดวงตาโดกุก็มีดวงตากลมโตยื่นออกมาเป็นรูตรงกลาง(บางตัวมีรูปสี่ เหลี่ยมผืนผ้า) และชุดโบราณนั้นก็คล้ายกับชุดอวกาศ เหมือนมนุษย์ต่างดาวไม่มีผิด!? ส่วนคนค้านก็บอกว่าดวงตากลมนั้นอาจจะเป็นแว่นกันหิมะเหมือนชาว เอลกิโมก็ได้ ก็ไม่น่าแปลกอะไรเพราะสมัยก่อนญี่ปุ่นมีหิมะเยอะอยู่แล้ว

ในอเมริกาก็มีผู้เชียวชาญมาตรวจสอบเหมือน กัน และให้ความเห็นแบบง่ายๆ ว่า "ถ้าเสื้อโบราณนี้เป็นเสื้ออวกาศละก็จะเป็นชุดที่มีความสมบูรณ์แบบ ชุดหนึ่ง ส่วนมัสซึมูระ และซีซิกส์ นักโบราณคดี คิดว่าประชากรชาวญี่ปุ่นน่าจะเลียนแบบอะไรสักอย่าง โดยชุดนี้อาจใช้ในการสู้รบกับอะไรสักอย่างที่เกินมนุษย์อย่างเราเข้าใจกัน เพราะมีการสวมถุงมือและถุงเท้าเข้ากับชุดดังกล่าว "ถุง มือที่ตัดนั้นจะสวมพอดีกับแขนโดยมีห่วงกลมคอยรัดเอาไว้ ส่วนแว่นตานั้นก็สามารถเปิดหรือปิดก็ได้ ด้านข้างลำตัวจะมีคานติดอยู่ บางทีอาจะมีไว้สำหรับเคลื่อนทีในขณะที่มงกุฎที่อยู่บนหมวกเหล็กนั้นก็อาจจะ เป็นเสาอวกาศ และชุดที่ออกแบบแบบนี้อาจใช้ในสภาพเหมาะสมกับการควบคุมความดันโดยอัตโนมัติ ก็ได้"(ว่าไปนั้น)

ตุ๊กตา โดกุได้เชื่อมโยงกับ เทพเจ้าฮิโตโคโตนูชิ เป็นเทพที่มาเยือนมนุษยืเพื่อสอนให้มนุษย์รู้จักวิทยาการต่างๆ และสอนให้มนุษย์รู้จักสร้างอาวุธและใช้อาวุธด้วย  เทพ ฮิโตโคโตนูชิ เป็นเทพในชุดโชมอน อยู่ในชุดแต่งกายของชุดมนุษย์โบราณ และถืออาวุธที่ไม่มีอยู่บนโลกใบนี้ และมีหมวกเหล็กสวมบนศีรษะอีก เหมือนพระเจ้าจากอวกาศไม่มีผิด!? และตุ๊กตาโดกุนี้ ไม่ได้มี จุดเดียวที่ถูกค้นพบ แต่ตุ๊กตาแกะสลักเหล่านี้ถูกค้นพบเกือบทั่วญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น อำเภอคาเมกาโอกะ อาโอโมริ และ มิยกิ แถบ โตโฮกุและคันโต และอีกหลายตำบลในบริเวณนั้น


                4. Crop Circles

  

ครอปเซอร์เคิล เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงรูปแบบพืช(ข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วเหลือง) ที่ล้มลง จนกลายเป็นรูปทรงโดยรวมที่ออกมา เมื่อมองจากมุมสูงจะพบเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่ซับซ้อน สวยงาม นอกจากนี้มีปรากฏการณ์แปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้มากมาย เช่น มีลูกบอลเรืองแสงที่มีสีสันจากความร้อนได้เกิดขึ้นก่อนการเกิด ครอปเซอร์เคิล ในบางโอกาส มีลำแสงพุ่งลง มายังท้องทุ่ง และต้นพืชที่ล้มลง ก้านนั้นจะไม่หักเลยทีเดียวแต่จะงอไปทางขวา   ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1678 ที่เฮิร์ทฟอร์ด เชียร์ อังกฤษและในทศวรรษที่ 1980 ได้มีการค้นพบครอปเซอร์เคิลมากขึ้นไปทั่วโลก ไม่มีใครอธิบายได้ว่าใครหรืออะไรทำให้มันเกิดขึ้น จนมันนำไปสู่ทฤษฎีแรกคือร่องรอยการลงจอดของยานจากต่างดาว แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็ยังเป็นที่คลางแคลงใจเพราะไม่มีใครเห็นร่องรอยของรถ และ/หรือรอยเท้าคน แม้กระทั่งขี้บุหรี่และสิ่งของต่างๆตกอยู่เพื่อให้เก็บเป็นหลักฐานในบริเวณ นั้นเลย หากนี่คือฝีมือมนุษย์จริงๆ คนทำงานกลุ่มนี้ต้องมีความรอบคอบมากที่จะไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้ให้สืบค้นแม้ แต่น้อย นอกจากนี้มีคนเสนอทฤษฎีว่า ครอปเซอร์เคิลเกิดจากความผิดปกติของอากาศที่เขาเรียกว่า Plasma Vortex ทำให้เกิดลมหมุนวนในระดับสูงแล้วเคลื่อนตัวลงสู่พื้นทำให้พืชแบนราบ


           3. Norwegian Spiral

 

ในเดือนธันวาคม 2009 ทางภาคเหนือของนอร์เวย์ มีปรากฏการณ์หนึ่งที่ยากจะหาคำตอบได้นั่นก็คือบนท้องฟ้าปรากฏลำแสง ลึกลับรูป เกลียววงใหญ่ชนิดใหญ่มาก มีสีฟ้าอ่อนส่งผลให้เกิดกลุ่มเมฆ กลุ่มควันเป็นรูปใยแมงมุมขนาดใหญ่บนท้องฟ้า ปรากฏการณ์ดังกล่าวอยู่นาน 2-3 นาทีก่อนที่จะหายไป โดยพวกยูเอฟโอเชื่อว่ามันเป็นสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาว แถมมีการเสริมว่ามนุษย์ต่างดาววาร์ปมาขัดขวางการ รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่กำลังจะมาถึงนี้ของนายบารัค โอบาม่าด้วย ในขณะที่ฝ่ายค้านเชื่อว่ามันเป็น การจรวดมิสไซย์ที่ถูกยิงมาจากเรือของรัสเซีย แต่ระเบิดเกิดผิดพลาด มันเสียสมดุลและหมุนวนในอากาศจนทำให้เกิดควันเป็นวงกลมรูปใยแมงมุมดังกล่าว บ้างก็ว่าเป็นการทดลองของ HAARP จาก Project Blue Beam


               2. Stonehenge

      

สโตนเฮนจ์ เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางทุ่งราบว้างใหญ่ในบริเวณ เมืองซัลลิสเบอรี่ มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ ในบริเวณตอนใต้ของอังกฤษ ประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันอยู่ในแนวนอน และบางอันก็ถูกวางซ้อนขึ้นไปข้างบน มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะที่เป็นกลุ่มหินประหลาดซึ่งไม่มีใครทราบวัตถุ ประสงค์ในการสร้างอย่างชัดเจน และเมื่อพิจารณาถึงอายุของมันแล้ว คาดว่ากลุ่มกองหินประหลาดนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ ในบริเวณที่ราบดังกล่าว ไม่ใช่บริเวณที่จะมีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมด มาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากบริเวณที่เรียกว่า "ทุ่งมาล์โบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตรเลยทีเดียว

มีผู้สันนิษฐานถึงวัตถุประสงค์ในการสร้าง สโตนเฮนจ์กันหลายประเด็น แต่ประเด็นที่ดูจะได้รับความเชื่อถือมากที่สุดคือ พิธีกรรมทางศาสนาของหรือดาราศาสตร์ ใช้ในการสังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า เช่น สุริยุปราคา เป็นต้น


            1.   Pyramids of Giza

 

มีผู้เชื่อว่าเอเลี่ยนโบราณได้เคย ทิ้งอนุสรณ์เอา ไว้บนโลก และอนุสรณ์ที่โด่งดังที่สุดก็คือ...ใช่แล้ว พีระมิด สิ่งก่อสร้างใหญ่โตโอฬาร ซึ่งแม้พีระมิดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดจะอยู่ที่อียิปต์ แต่จริงๆแล้วพีระมิดถูกสร้างขึ้นจำนวนมาก มาย กระจายไปทั่วโลก เช่น ในเม็กซิโก กรีซ จีน ฯลฯ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าคนโบราณบนโลกเรานี้ หลายๆพื้นที่จะคิดได้เหมือนกัน ทั้งๆที่สมัยก่อนโน้นเมื่อ 3-5 พันปีก่อน ยังไม่มีการเดินทางไปมาหาสู่กันสะดวกสบายเหมือนตอนนี้ การถ่ายทอดวัฒนธรรมจึงเป็นเรื่องยาก แต่พีระมิดก็เกิดขึ้นแทบจะทั่วโลก และน่าทึ่งด้วยเทคโนโลยีการตัด และเคลื่อนย้ายก้อนหินขนาดใหญ่ รูปทรงที่สมมาตร แถมพีระมิดบางแห่งยัง "ซ่อน" ความลับด้านวิทยาการเอาไว้อย่างน่าประหลาดใจ

พีระมิดเห่งเมืองกีซ่า (เมืองกีเซห์) ตั้งอยู่ ณ เมืองกีเซ่ห์ ประเทศอียิปต์ โดยมีกษัตริย์คีออปส์(CHEOPS) หรือคูฟู (Khufu), กษัตริย์คาเฟร (Khafre) และกษัตริย์คูเร (Menkaure) เป็น ผู้สร้าง ประมาณ 4500 ปีมาแล้ว  เป็น ที่บรรจุพระบรมศพของกษัตริย์คีออปส์(CHEOPS) หรือ คูฟู พีระมิดแห่งนี้เดิมสูง 481.4 ฟุต แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 450 ฟุต ฐานกว้าง 768 ฟุต ใช้หินทรายตัดเป็นแท่งรูปสามเหลี่ยมหนักประมาณก้อนละ 2 ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน โดยการนำเอามาซ้อนกันขึ้นไปเป็นทรงกรวย เชื่อกันว่าพีระมิดองค์นี้จะทนแดดทนฝนอยู่ได้อีกนานกว่า 5,000 ปี และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณสิ่งเดียวเท่านั้นที่มีอายุยืนยาวมาจนถึง ปัจจุบัน

    คนที่เชื่อทฤษฏีนักบินอวกาศโบราณเชื่อ ว่าพีระมิดแห่งกีซาสร้างโดยมนุษย์ต่างดาว แต่อย่างไรก็ดีพวกเขาก็ยังหาหลักฐาน ที่เป็นที่มีเหตุผลเพียงพอไม่ได้ ข้อพิสูจน์ที่ว่าพีระมิดแห่งกีซาทั้งสามหันไปทางยังเข็มขัดโอไรออนซึ่ง เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของมนุษย์ต่างดาวที่เคยมาเยือนโลกในสมัยโบราณนั้นยังคง เป็นได้เพียงสมมติฐานเท่านั้น โดยมีตำนานเล่าว่า นานมาแล้วนักบินอวกาศจากดวงดาวอันไกลโพ้นได้มาถึงโลกของเรา ปักหลักอยู่อาศัย ได้พบปะมนุษย์โลก และถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆให้ จนกลายเป็นพีระมิดในที่ต่างๆ ซึ่งเกิดการตีความกันไปในหลายทางว่า ความหมายที่แท้จริงของพีระมิดคืออะไรกันแน่ บางคนบอกว่า เป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ ในขณะที่บางคนก็บอกว่าเป็นจุดสังเกตสำหรับยานอวกาศเวลาขึ้นลง

Credit: http://atcloud.com/stories/85519
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...