ย้อนรอยอดีตของอาคารไปรษณีย์กลาง
รับเสียงวิจารณ์กัน "ขรม" ไปทั่วเมือง แม้จะยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเดินหน้าต่อหรือถอยหลังกับการนำอาคารไปรษณีย์กลางบางรัก ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ "รัชกาลที่ 7" มาดัดแปลงเป็นโรงแรมเพื่อหารายได้ให้กับไปรษณีย์ไทย วันนี้ ไทยรัฐออนไลน์ ขอพาไปซึมซับความเก่าแก่และเสน่ห์ด้วยการย้อนรอยอดีตของอาคารไปรษณีย์กลางกันแบบเต็มอิ่ม...
การไปรษณีย์ในประเทศไทยได้เริ่มจัดให้มีขึ้นโดยกงสุลอังกฤษที่ทำการแห่งแรกได้ตั้งขึ้น ณ สถานกงสุลอังกฤษ ตำบลบางรัก จังหวัดพระนคร จนกระทั่งพ.ศ. 2424 รัฐบาลไทยเห็นเป็นการจำเป็นที่จะต้องเข้าควบคุม จึงเริ่มดำริเป็นขั้นเตรียมการตั้งแต่ปีนั้น จนถึงวันที่ 4 ส.ค. 2426 จึงได้เปิดที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขในพระนคร อันเป็นของรัฐบาลไทยขึ้นเป็นปฐมฤกษ์ โดยใช้อาคารซึ่งตั้งอยู่ริมลำน้ำเจ้าพระยาตอนปากคลองโอ่งอ่างเป็นสถานที่บัญชาการ
ต่อมาพ.ศ. 2428 จึงได้ขยายกิจการไปรษณีย์โทรเลขไปถึงตามหัวเมือง จนกล่าวได้ว่าการสื่อสารภายในประเทศดำเนินไปด้วยดี จนถึง พ.ศ. 2430 รัฐบาลไทยได้มีโอกาสเข้าสัญญาสากลไปรษณีย์โทรเลขขยายการติดต่อกับนานาประเทศทั่วไป
การไปรษณีย์โทรเลข มีความมั่นคงและเจริญขึ้นโดยลำดับ จนถึง พ.ศ. 2470 ซึ่งคิดเวลาตั้งแต่เริ่มงานไปรษณีย์โทรเลขมาได้ 44 ปี รู้สึกว่าสถานที่ทำงานที่ปากคลองโอ่งอ่างไม่เหมาะสม จึงได้หาทางเจรจาเพื่อทำสถานที่ทำการใหม่ ในที่สุดก็ตกลงได้สถานที่ที่สถานทูตอังกฤษเดิมคือที่บางรัก โดยสถานทูตอังกฤษย้ายไปอยู่ที่เพลินจิต เป็นอันว่ากรมไปรษณีย์โทรเลขได้ย้ายมาอยู่ ณ แหล่งกำเนิดเดิมนั่นเอง ในเวลาต่อมา รัฐบาลเล็งเห็นว่า สถานทูตอังกฤษเดิม ไม่ได้สร้างขึ้นสำหรับเป็นที่ทำการ จึงไม่เหมาะสมทั้งทางอนามัยและความสะดวกในการปฏิบัติงานอันเป็นสาธารณูปโภค
เมื่อเป็นเช่นนี้ โครงการสร้างตึกที่ทำการกรมไปรษณีย์โทรเลขใหม่จึงได้เริ่มดำริขึ้นเป็นครั้งแรก โดยพลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม เมื่อ พ.ศ. 2471 แต่ไม่บรรลุเป็นผลสำเร็จบังเอิญรัฐบาลต้องกระทบกระเทือนทางเศรษฐกิจจึงเป็น อันระงับไป จนถึง พ.ศ. 2477 ในสมัยที่หลวงโกวิทอภัยวงศ์ รัฐมนตรีดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข ก็ได้รื้อฟื้นโครงการสร้างตึกที่ทำการกรมไปรษณีย์โทรเลขขึ้นพิจารณาอีกเป็นคำรบที่สาม และได้รายงานขออนุมัติให้กระทรวงเศรษฐการตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ให้มีหน้าที่เร่งรัดและพิจารณาโครงการสร้างตึกที่ทำการกรมไปรษณีย์โทรเลขให้สำเร็จลงโดยรวดเร็วอย่างจริงจัง
เมื่อคณะกรรมการได้ตกลงในเรื่อง แบบแผนผังตลอดจนรายละเอียดต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้เลือกพระสาโรชรัตนนิมมานก์ หัวหน้ากองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร เป็นสถาปนิก และพระสาโรชรัตนนิมมานก์ เลือกนายหมิว อภัยวงศ์ เป็นผู้ช่วยสถาปนิก กับเลือกนายเอ็ช เฮอรมัน เป็นวิศวกร เริ่มงานก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2478 แล้วเสร็จส่งงานเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2481 รวมเป็นเวลาก่อสร้าง 3 ปี 5 เดือนเศษ
กรมศิลปากร ได้มีหนังสือที่ วธ.0407/1480 ลงวันที่ 9 เม.ย. 2547 แจ้งว่าปัจจุบันอาคาร ปณก. ถือเป็นโบราณสถาน ตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ.2504 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535) แต่กรมศิลปากรยังมิได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
ตัวอาคารเป็นรูปตัว ที (T) สูง 4 ชั้น และชั้นใต้ดินอีก 1 ชั้น ส่วนหน้ากว้าง 103.80 เมตร ลึก 38.52 เมตร ส่วนหลัง กว้าง 22 เมตร ลึก 96 เมตร ตัวอาคารด้านหน้ามีการแบ่งความยาวออกเป็น 5 ส่วน โดยเน้นความสำคัญของตำแหน่งศูนย์กลาง โดยให้มุขหน้าบริเวณกึ่งกลางของอาคารมีขนาดใหญ่ที่สุดและมีการประดับด้วยปูนปั้นรูปครุฑ ที่บริเวณมุมหน้าทั้ง 2 ด้านของมุขหน้า ซึ่งเป็นเครื่องประดับอาคาร ที่ได้รับความนิยมในงานสถาปัตยกรรมในยุคนั้นก่อสร้างแล้วเสร็จและทำพิธีเปิด เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2483 ปัจจุบันมีอายุการใช้งานประมาณ 70 ปี
เป็นอาคารแบบสากลสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์น (Modern Architecture) ตามแนวทางของศิลปะในยุค Neo-Classicism ผสม Functionalism เน้นการออกแบบที่มีความเรียบง่าย ตรงไปตรงมา ลดทอนการประดับประดา โดยใช้เส้นตรงและระนาบเข้ามาประกอบ
ประติมากรผู้ออกแบบปูนปั้นประดับอาคาร ปณก. คือ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ศิลปินผู้บุกเบิกงานประติมากรรมแบบสากลในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 8 ซึ่งมีคติการออกแบบสถาปัตยกรรมยุคนั้นจะต้องมีรูปปูนปั้นประกอบเสมอ เช่น ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สนามกีฬาแห่งชาติ
รูปปูนปั้น ที่อาคารไปรษณีย์กลาง แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 คือ ครุฑ ประดับที่มุมอาคารด้านหน้าทั้งสองข้างขนาดสูงกว่า 2 เท่าของคนจริง
การใช้อาคาร
ในยุคแรก ชั้นล่างส่วนหน้าเป็นที่รับฝากไปรษณีย์และโทรเลข ส่วนหลังเป็นที่ทำการคัดแยก ปิดถุงไปรษณีย์ส่งต่อแลกเปลี่ยนทั้งในและต่างประเทศชั้น 2 ด้านหลังเป็นห้องปฏิบัติการโทรเลข ชั้นอื่นๆ ใช้เป็นหน่วยงานของกรมไปรษณีย์โทรเลข
ห้องโถงประชาชน นอกจากจะใช้ในการรับฝากไปรษณียภัณฑ์ในสมัยก่อน จะมีการใช้ห้องโถง ปณก. สำหรับจัดงานสัปดาห์การเขียนจดหมาย โดยจัดนิทรรศการต่างๆ เกี่ยวกับกิจการไปรษณีย์ให้ประชาชนเข้าชม แต่ในภายหลังได้ย้ายไปจัดสถานที่อื่นๆ แทนเนื่องจากสถานที่ไม่เพียงพอ
จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงมีคุณูปการกับการไปรษณีย์ไทยอย่างล้นเหลือ จึงได้มีการสร้างพระอนุสาวรีย์เพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์ ณ บริเวณหน้าที่ทำการไปรษณีย์กลาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรมไปรษณีย์โทรเลขเดิม โดยความร่วมมือจากหน่วยงานที่เคยสังกัดกรมไปรษณีย์โทรเลข คือ ธนาคารออมสิน องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย และการสื่อสารแห่งประเทศไทย โดยกรมไปรษณีย์โทรเลข ได้ขอให้กรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบพระอนุสาวรีย์
การออกแบบเป็นท่าประทับนั่งใกล้โต๊ะกลมมีหนังสือวางอยู่บนโต๊ะ เนื่องจากทรงโปรดหนังสือและตำราต่างๆ โดยออกแบบให้พระรูปจำลองอยู่บนเนินสูงเพื่อความสง่างาม สอดคล้องกับจารีตธรรมเนียมของคนไทย ที่มักจะเทิดทูนสิ่งที่เคารพไว้ในที่สูง รอบเนินมีต้นไม้เป็นส่วนประกอบ ขนาดพระรูปใหญ่กว่าพระองค์จริงเล็กน้อย
งบประมาณค่าก่อสร้าง กำหนดไว้ 600,000 บาท เป็นค่าจัดทำองค์พระอนุสาวรีย์ 360,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 24 เดือน โดยมีคำจารึกพระนามที่แท่นฐานพระอนุสาวรีย์ "สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช" อธิบดีผู้สำเร็จราชการกรมไปรษณีย์โทรเลขพระองค์แรก พ.ศ.2426 – 2433"
พิธีเปิดพระอนุสาวรีย์ มีขึ้นในวันที่ 4 ส.ค. 2526 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 100 ปีการไปรษณีย์ไทย โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเป็นผู้แทนพระองค์ ทรงเปิดพระอนุสาวรีย์
เกร็ดไปรษณีย์กลาง บางรัก
"มีผู้ถามนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรี ในการแสดงปาฐกถา เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2506 ว่า ในสมัยที่มีการ "คอรัปชัน" การก่อสร้าง ที่เรียกกันล้อๆ ว่า "กินหินกินปูน" คือ ขณะที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ปรากฏว่ากรุงเทพฯ โดนทิ้งระเบิดสถานที่สำคัญหลายแห่ง แต่กรมไปรษณีย์โทรเลข ที่เรียกกันว่า ไปรษณีย์กลาง ซึ่งเป็นตึกใหญ่โตสูงตระหง่านที่สุดในย่านสุรวงศ์สี่พระยานั้นฝ่ายสัมพันธ มิตรจงใจทิ้งระเบิดลงมาหลายครั้ง แต่ไม่ถูกเลย พลาดไปบ้าง ระเบิดด้านบ้าง ลูกหนึ่งตกลงไปฝังด้านหน้าก็ปรากฏว่าด้านไม่ระเบิด ถึงบางคนเล่าลือว่ามีคนเห็นครุฑ 2 ตัวหน้าตึกบินขึ้นไปปัดระเบิด จึงมีผู้ไปถามนายควง อภัยวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ก่อสร้างขึ้น (สมัยเป็นอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข ปี 2478–2484) ว่าลงของดีอะไรไว้หรือไม่อย่างไร นายควงฯ ก็ตอบ (ลงในหนังสือพิมพ์) ว่า มีซีคุณของดี เมื่อเวลาสร้างตึกนี้ ไม่มีใครไปกินกำไรสักสตางค์ แล้วนั่นไม่ใช่ของดีหรือ”
(ที่มา: สกุลไทยรายสัปดาห์, เวียงวัง จุลลดา ภักดีภูมินทร์)
เรียบเรียงข้อมูลจาก ไปรษณีย์ไทย
Credit : ไทยรัฐออนไลน์ 1 กรกฎาคม 2553
สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์