read:http://xfile.teenee.com/ghost/2777.html
สมัยที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ที่โรงเรียน(ไม่ขอเอ่ยนาม) ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีสิ่งปกติมากนัก แต่ถ้าย้อนไปในสมัยที่พี่สาวของ ข้าพเจ้าศึกษาอยู่นั้นเรื่องราวการหลอกหลอนในโรงเรียนมักจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ เพระว่าสถานที่เดิมที่จัดสร้างโรงเรียนนั้นเป็นของวัดซึ่ง เป็นป่าช้าคนจีน ต่อมาทางวัดได้ทำการล้างป่าช้า เพื่อสร้างเป็นโรงเรียนของหมู่บ้าน ซึ่งในสมัยที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ก็ยังคงเหลือโลงศพ ที่ฉาบด้วยปูนเก่า ๆ วางเรียงรายอยู่รอบ ๆ โรงเรียน
ด้วยความที่โรงเรียนสร้างทับที่ป่าช้าเก่า ถึงแม้จะทำการล้างป่าช้าแล้วก็ตาม เรื่องราวการหลอกหลอนก็เกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ แม้ในปัจจุบันก็มีนักเรียนเจออยู่บ่อยครั้ง เริ่มแรกโรงเรียนมีอาคารอยู่สองหลัง เป็นอาคารไม้ยกพื้นสูง มีตั้งแต่ชั้น ป.1-ป.6 เด็กนักเรียนส่วนใหญ่จะอยู่ห่างจากโรงเรียน การเดินทางในสมัยก่อนทุลักทุเลพอดู ถ้าถึงหน้าฝนพื้นดินจะกลายเป็นโคลน กว่าจะถึงโรงเรียน ชุดนักเรียนก็เปื้อนไปด้วยโคลน
ครูผู้สอนต้องสอนได้ทุกระดับชั้น เพราะมีนักเรียนไม่มากนัก บ่อยครั้งที่เดียวที่ครูสอนต้องเจอกับนักเรียนที่ไม่ได้รับเชิญ นั่งรวมอยู่ในห้องเรียน โดยไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่ถ้าละสายตานักเรียนที่ไม่ได้รับเชิญก็จะหายไป ยิ่งถ้าในช่วงเวลาพักเที่ยง เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ออกมาเล่นกันในสนาม ก็จะมีกลุ่มเด็กเข้ามารวมอยู่เสมอ ด้วยความแปลกหน้า เด็กบางคนจะถามขึ้นว่า "เธอมาจากไหน" คำตอบที่ได้ก็คือ "ฉันอยู่ที่นี่มานานแล้ว"
เรื่องที่ทำความแตกตื่นเกิดขึ้นภายในโรงเรียนในตอนเที่ยงของวันหนึ่งเหลังจากเด็กนักเรียนชั้น ป.3 ห้องหนึ่งรับประทานข้าวเที่ยง บางกลุ่มก็เข้ามาเล่นภายในห้อง จู่ ๆ เด็กคนหนึ่งในห้องเห็นเหมือนมีใครขึ้นไปอยู่บนเพดาน พอเงยหน้าขึ้นไปดู ปรากฏว่ามีเด็กเดินห้อยหัวอยู่บนเพดานห้องกว่า 10 คน ทำให้เด็กเกือบทั้งหมดหมดสติด้วยความกลัว บางคนวิ่งลนลานออกจากห้อง ครูเห็นความผิดปกติ จึงวิ่งเข้ามาดูในห้อง พบสภาพที่เด็กนอนสลบอยู่ จึงถามเด็กที่วิ่งออกมาจากห้อง แม้จะได้คำตอบที่ไม่ชัดเจน แต่พอเดาออกว่าเด็กเจอดีเข้าแล้ว
หลังจากนิมนต์เจ้าอาวาสทำพิธีสวดส่งวิญญาณเพื่อให้วิญญาณที่ยังสถิตอยู่ไปสู่สุคติ และเป็นขวัญและกำลังใจแก่ครูและนักเรียน ห้องดังกล่าวก็ถูกปิดตาย (แต่ในภายหลังก็เปิดใช้เป็นห้องเรียนปกติ) นักเรียนที่เคยเจอผีบางคนถึงกับย้ายโรงเรียน เพราะผู้ปกครองยังไม่แน่ใจ กลัวจะโผล่ออกมาหลอกอีกก็เป็นได้
ด้วยความที่โรงเรียนสร้างทับที่ป่าช้า ซึ่งคนในหมู่บ้านเรียกว่าเปลวเก่า เป็นป่าช้าเก่ามานานหลายชั่วอายุคน และฝังกระจัดกระจาย ไม่มีขอบเขตแน่นอน ดังนั้น ถึงแม้ล้างป่าช้าด้วยการขุดโครงกระดูกเข้าพิธีตามศาสนาแน่นอนว่ายังคงหลงเหลือศพอยู่อีกเป็นจำนวนมาก วิญญาณยังคงสถิตภายในโรงเรียน หากกระดูกยังไม่ขุดขึ้นมาเพื่อทำพิธี
ต่อมา โรงเรียนได้ขออนุมัติจัดสร้างอาคารใหม่ขึ้นทางทิศตะวันตก แต่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ในขณะที่คนงานตอกเสาเข็ม เหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น คนงานคนหนึ่งเกิดอาการชัก แล้วจู่ ๆ ก็วิ่งขึ้นไปบนอาคารไม้ทำท่าจะกระโดดลงมา ทำความแตกตื่นให้กับคนงานคนอื่นๆ กันทั่วหน้า และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคงโดนผีเข้า เพราะอาการพูดไม่รู้เรื่องน้ำเสียงก็ผิดไปเป็นคนละคน เมื่อเจ้าอาวาสมาถึงจึงได้รู้ว่เสาเข็มที่เจาะลงไปได้ไปทับกระดูกของคนตาย ดังนั้น คนงานจึงถอดเสาเข็มออก และขุดลงไป ปรากฏว่ามีกระดูกอยู่จริง จึงนำเอามาให้เจ้าอาวาสทำพิธีทางศาสนา คนงานที่เพ้อคลั่งคนนั้นจึงหายจากการอาละวาด และไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไป
กว่าจะทำอาคารหลังนี้เสร็จต้องทำการเคลียร์พื้นที่ใหม่ทั้งหมด เพราะกลัวเหตุการณ์เดิมจะซ้ำรอย ย้อนมาถึงตอนที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ ก็เจอดีกับเขาเหมือนกัน ช่วงนั้นเรียนอยู่ชั้น ม.1 (ช่วงหลังโรงเรียนขยายถึงชั้นม.3) กำลังนั่งอยู่ในห้องอเนกประสงค์คนเดียวในตอนบ่าย ตอนนั้นสภาพภายในมีของวางอยู่มากทั้งเครื่องครัว ของใช้ในโรงเรียน ฯลฯ มีโต๊ะอยู่ชุดหนึ่งที่ข้าพเจ้าแอบเพื่อน ๆเข้ามานั่งทำตะกร้าลวด เพราะยังทำไม่เสร็จ สักครู่ใหญ่ ๆ รู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่บริเวณมุมมืดของห้อง ตอนแรกก็ไม่นึกอะไรเพราะชอบคิดไปเอง แต่ที่ทำให้รู้ว่ามีคนมองอยู่จริง ๆ ก็เมื่อข้าพเจ้าเงยหน้าแล้วเห็นแบบจะ ๆ คือผู้หญิงนุ่งชุดสีขาว ผมยาวปิดหน้า แต่ไม่มีส่วนล่างคือขา เธอยืนอยู่ตรงมุมมืดของห้อง ข้าพเจ้ามองตาค้างทำอะไรไม่ถูกโชคดีที่มีครูเดินเข้ามาในห้อง ทำให้สิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นหายไป ข้าพเจ้าก็รีบ เก็บข้าวเก็บของแล้วเผ่นออกไปทันที
ในช่วงหลังข้าพเจ้าได้ยินเพื่อน ๆ บางคนบอกว่าเห็นเช่นเดียวกับข้าพเจ้า มีวิญญาณอยู่ในห้องอเนกประสงค์ ตั้งแต่ย้ายมาเรียนที่อาคารใหม่ ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าไปห้องนั้นอีกเลย ปัจจุบัน บริเวณรอบ ๆ โรงเรียนมีบ้านเรือนอยู่เป็นจำนวนมาก และที่สำคัญหลุมศพเก่า ๆ ก็ถูกจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยโดยการสร้างกำแพงเพื่อให้ดูสวยงาม แต่เรื่องราวเก่า ๆ ยังคงติดในใจของผู้คนรุ่นก่อนอยู่ไม่มีวันลืม
ที่มา teenee.com