ล้วงลึกถึงที่มาและความหมายของ 9 สัญลักษณ์ที่ถูกใช้แพร่หลายกันในปัจจุบัน เชื่อว่าบางสัญลักษณ์คุณต้องไม่เคยทราบมาก่อนอย่างแน่นอน
สัญลักษณ์นับว่าเป็นเครื่องมือทางภาษาอีกอันหนึ่งที่ถูกนำมาใช้สื่อความหมายแทนคำพูด ผ่านรูปร่าง อักษร หรือวัตถุ เพื่อให้มนุษย์ทุกคนเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งในปัจจุบันเราจะพบเห็นว่าได้มีการนำสัญลักษณ์ต่าง ๆ มากมายมาใช้กันเป็นสากล เช่น เครื่องหมายจราจร โลโก้แบรนด์สินค้า หรือสัญลักษณ์สัญญาณ โดยไม่ต้องเขียนผ่านข้อความตัวอักษรให้ยืดยาว อย่างไรก็ตามแม้ว่าเราจะเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์เหล่านี้ แต่น้อยคนนักที่จะทราบถึงที่มาและความหมายที่แท้จริงของมัน ซึ่งวันนี้เราจึงได้รวบรวบสัญลักษณ์สากลยอดนิยมพร้อมให้คุณได้มาเรียนรู้และทราบถึงความหมายของมันให้มากยิ่งขึ้นกันค่ะ
1. สัญลักษณ์บลูทูธ
ภาพจาก brightside.me
สัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของยุคดิจิตอล หนึ่งในเทคโนโลยีซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรับ-ส่งข้อมูลระหว่างเครือข่ายและอุปกรณ์แบบไร้สาย เช่น โทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อป เป็นต้น
คำว่า "บลูทูธ" (Bluetooth) เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 10 จากกษัตริย์ผู้ปกครองเดนมาร์กสมัยนั้นนามว่า ฮาราลด์ บาทานด์ (Harald Blåtand) ผู้คลั่งไคล้การกินผลบลูเบอร์รีอย่างมาก ว่ากันว่าฟันซี่หนึ่งของพระองค์นั้นกลายเป็นสีน้ำเงินจนได้รับสมญานามว่า "Bluetooth" หรือ "ฟันสีน้ำเงิน"
ต่อมาได้มีการนำพยัญชนะสแกนดิเนเวีย 2 ตัวจากชื่อของกษัตริย์ ฮาราลด์ บาทานด์ (Harald Blåtand) นั่นคือ "Hangall" หรือ "Hangalaz" ซึ่งเป็นตัว H และ "Bajarkan" หรือตัว B ในภาษาละตินมารวมกันในรูปแบบของ HB ที่ดูคล้ายฟันและมีสีน้ำเงินเหมือนกับฉายาของพระองค์ จนกลายเป็นสัญลักษณ์บลูทูธแบบที่เราได้เห็นกันทุกวันนี้
2. สัญลักษณ์ Power On บนปุ่มเปิด-ปิด
ภาพจาก techblogout.com
เชื่อว่าใครหลายคนคงคุ้นเคยกับสัญลักษณ์ Power on นี้เป็นอย่างดีเพราะมันมักปรากฏอยู่ตามปุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น ปุ่มหน้าจอโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แต่น้อยคนนักจะรู้ถึงต้นกำเนิดของสัญลักษณ์นี้
ย้อนกลับไปในช่วงต้นปี 1940 บรรดาวิศวกรทั้งหลายยังคงใช้ระบบเลขฐานสองแทนสัญลักษณ์เฉพาะของสวิตช์ หรือการเปิด-ปิด โดยที่เลข 1 หมายถึง "การเปิด" และเลข 0 หมายถึง "การปิด" จนอีกหลายทศวรรษต่อมาได้ถูกเปลี่ยนรูปมาเป็นสัญลักษณ์เส้นวงกลมหรือ 0 และเส้นแนวตั้งหรือ 1 รวมกัน
3. เครื่องหมาย Ampersand (&)
ภาพจาก brightside.me
เครื่องหมาย Ampersand (&) เป็นเครื่องหมายที่ใช้เขียนแทนคำว่า and ในภาษาอังกฤษโดยมีรากดั้งเดิมมาจากคำวลีในภาษาละติน "et" ซึ่งแปลว่า "และ" ถูกคิดค้นขึ้นมาครั้งแรกในรัชสมัยของพระเจ้า Cicero แห่งโรมโบราณโดยพระราชเลขาส่วนพระองค์ชื่อว่า Trio ซึ่งเขานั้นได้สร้างระบบตัวอักษรย่อหรือ "Trionian Notes" ขึ้นมา จุดประสงค์ก็เพื่อย่นระยะเวลาในการเขียน จนกระทั่งหลายร้อยปีต่อมาเครื่องหมาย Ampersand ก็ได้กลายมาเป็นที่นิยมอย่างมากในแถบยุโรปและอเมริกา จนถูกรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตัวอักษรภาษาอังกฤษ หรือ English alphabet นั่นเอง
สำหรับคำว่า Ampersand แท้จริงแล้วมาจากการหดตัวของคำวลี "And per se and" ที่แปลว่า "และ" ซึ่งบรรดาคุณครูมักใช้พูดหลังจากที่ให้เด็ก ๆ ท่อง A-Z และเมื่อกาลเวลาผ่านไป ตัวอักษร E และ T ได้ถูกหลอมรวมกันจนกลายเป็นเครื่องหมาย & อย่างที่เราใช้กันในปัจจุบัน
4. สัญลักษณ์รูปหัวใจ
ภาพจาก amazonaws.com
ภาพจาก biobiochile.cl
สัญลักษณ์หัวใจกับความหมายที่สื่อออกมาถึงคำว่า "ความรักข้างในใจ" ซึ่งเราต่างรู้ดีว่ารูปร่างของมันนั้นมีลักษณะเหมือนกับหัวใจของมนุษย์จริง ๆ แต่ทฤษฎีต้นกำเนิดของสัญลักษณ์นี้ยังคงเป็นที่สับสนอยู่ว่า แท้จริงแล้วมาจากอะไรกันแน่ ดังต่อไปนี้
- ทฤษฎีแรกว่าด้วยเรื่องของหงส์ 2 ตัวที่ว่ายน้ำมาหากันกลางทะเลสาบ เมื่อหงส์ทั้งสองหันหน้าชนกันจะเห็นว่ารูปที่ออกมานั้นคล้ายคลึงกับรูปหัวใจ ซึ่งหลาย ๆ วัฒนธรรมในโลกยังใช้หงส์เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของความรัก ความซื่อสัตย์ และความจงรักภักดี เนื่องจากหงส์เป็นสัตว์ที่จะมีคู่ครองเพียงหนึ่งเดียวไปตลอดชีวิตของมัน
- ทฤษฎีต่อมาพูดถึงตัวแทนของสรีระเพศหญิง โดยรูปทรงของหัวใจนั้นเหมือนภาพของกระดูกอุ้งเชิงกราน ซึ่งชาวกรีกโบราณมักให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับสรีระผู้หญิงส่วนนี้ เห็นได้จากการเชื่อมโยงในการก่อสร้างวิหารแด่เทพีอโฟรไดท์ อันเป็นวิหารเพียงแห่งเดียวในโลกที่ผู้คนกราบไหว้บูชาบั้นท้าย หรือก้นนั่นเอง
- และทฤษฎีสุดท้ายที่เชื่อว่าสัญลักษณ์นี้มาจากรูปร่างลักษณะของใบไม้เลื้อยหรือต้นไอวี่ในแจกัน โดยชาวกรีกมักจะใส่เถาไม้เลื้อยเหล่านี้แฝงลงไปบนภาพวาดของไดโอนีซุสหรือเทพเจ้าแห่งไวน์และเทพผู้ค้ำจุนความรัก
5. สัญลักษณ์สันติภาพ
ภาพจาก liplus.ru
สัญลักษณ์สันติภาพหรือ Nuclear Disarmament ที่แปลว่า การลดอาวุธนิวเคลียร์ เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1958 ออกแบบโดย เจอรัลด์ ฮอลทัม (Gerald Holtom) หนึ่งในศิลปินของกลุ่มผู้เคลื่อนไหวการประท้วงสงคราม ระหว่างการประท้วงเพื่อต่อต้านการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในประเทศอังกฤษ จากภาพจะเห็นว่าวงกลมล้อมรอบเส้นบางอย่างอยู่ 2-3 เส้น ซึ่งเส้นเหล่านั้นเป็นตัวอักษร N (Nuclear) และ D (Disarmament) ตามรูปของ Semaphore Alphabet หรือการใช้ธงส่งสัญญาณเป็นรูปตัวอักษร ซึ่งตัว N จะเป็นการถือธงเป็นรูปตัว V กลับหัว และตัว D จะใช้มือหนึ่งถือธงชี้ขึ้นฟ้า และอีกมือแนบอยู่กับลำตัว เมื่อนำอักษรสองตัวมารวมกันจึงออกมาเป็นครื่องหมายแห่งสันติภาพที่แพร่หลายและโด่งดังไปทั่วโลก
6. สัญลักษณ์แท่งไฟขาว-แดงหน้าร้านตัดผม
หลายคนคงคุ้นตากับสัญลักษณ์หน้าร้านตัดผม (Barber shop) ที่มีแท่งไฟหมุน ๆ ลายริบบิ้นบิดเป็นเกลียวสีขาว-แดงไขว้กันไปมาจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของร้านตัดผมในปัจจุบัน
สำหรับสัญลักษณ์แท่งไฟขาว-แดงนี้มีต้นกำเนิดดั้งเดิมจากต่างประเทศ เรียกว่า Barber Pole เกิดขึ้นในยุคสมัยที่ช่างตัดผมเป็นทั้งช่างและศัลยแพทย์ที่มีหน้าที่นอกเหนือจากการตัดผมก็คือการผ่าตัดและถ่ายเลือด โดยแถบเกลียวสีแดง-ขาวสองเส้นที่พันรอบแท่งเสา Barber Pole แทนความหมายของผ้าพันแผลหรือผ้าขนหนูที่ใช้ในการซับเลือดระหว่างการผ่าตัด ก่อนจะถูกนำไปแขวนตากไว้ที่หน้าประตูข้างนอกร้าน ซึ่งเมื่อลมพัดผ่านมา ผ้าพันแผลเหล่านั้นจะปลิวหมุนไขว้ไปตามแรงอันเป็นที่มาของสัญลักษณ์นี่เอง
7. สัญลักษณ์ OK !
OK ! เป็นสัญลักษณ์ที่ผู้คนทั่วโลกนิยมใช้เพื่อสื่อความหมายถึง "ตกลง" หรือ "เห็นด้วย" ด้วยการทำนิ้วโป้งและนิ้วชี้จรดกัน ส่วนอีก 3 นิ้วที่เหลือชี้ขึ้น ซึ่งมีทฤษฎีมากมายที่พยายามจะอธิบายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสัญลักษณ์นี้ อาทิ
- สัญลักษณ์ "OK" มีตัวย่อมาจากคำว่า Old Kinderhook ซึ่งเป็นชื่อบ้านเกิดของประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 8 มาร์ติน แวน บูเรน (Martin Van Buren) และถูกเริ่มใช้เป็นต้นมาตั้งแต่สมัยการเลือกตั้งของเขา อีกทั้งยังได้นำมาใช้เป็นสโลแกนหาเสียงอีกด้วยว่า "Old Kinderhook is O. K." พร้อมภาพโปสเตอร์เป็นภาพคนทำสัญลักษณ์นิ้ว OK
- อีกหนึ่งสมมุติฐานที่คล้ายกันเชื่อว่ามาจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 7 นามว่า แอนดรูว์ แจ็คสัน (Andrew Jackson) ผู้ชึ่งชอบทำท่า OK เมื่อใดก็ตามที่เขาทำการตัดสินใจ และบ่อยครั้งก็มักเขียนคำว่า "All correct" ซึ่งแปลว่า ถูกหมดเลย ในรูปแบบภาษาเยอรมัน "Oll korrect" หรือย่อแบบสั้น ๆ ได้ว่า OK นั่นเอง
- และอีกหนึ่งสมมุติฐานที่ว่ากันว่าสัญลักษณ์ OK นี้มาจาก "มูตรา (Mudra)" เป็นท่าหนึ่งทางพิธีกรรมในศาสนาพุทธและฮินดูแฝงด้วยนัยแห่งการเรียนรู้ รวมถึงงานจิตรกรรมภาพวาดทางพุทธศาสนาก็แสดงให้เห็นท่าทาง OK นี้ด้วยเช่นกัน
8. สัญลักษณ์หัวกะโหลกไขว้
กะโหลกไขว้เป็นสัญลักษณ์ที่ประกอบด้วยหัวกะโหลกมนุษย์และกระดูกสองชิ้นไขว้กันอยู่ด้านล่าง เห็นได้บ่อยครั้งบนฉลากบรรจุภัณฑ์ของสารเคมีและสารอันตรายอื่น ๆ สื่อความหมายทั่วไปว่า สารพิษ เพื่อใช้เตือนให้คนรู้ว่าไม่ควรกินหรือดื่มมัน และอีกหนึ่งความหมายใช้เพื่อสื่อถึงความตาย โดยชาวสเปนในยุคกลางได้นำสัญลักษณ์หัวกะโหลกไขว้นี้มาติดบนป้ายหลุมศพ สามารถพบเห็นได้ตามโบสถ์เก่า ๆ จากความหมายที่สื่อถึงความตาย ทำให้ในอดีตได้มีการนำสัญลักษณ์กะโหลกไขว้มาใช้บนธงของโจรสลัดนามว่า โจลลี่ โรเจอร์ (Jolly Roger) เพื่อบอกหรือขู่เป้าหมายให้รับรู้ถึงการโจมตีอันน่ากลัวและความตายที่กำลังจะมาเยือน
9. สัญลักษณ์เขาปีศาจ
ปัจจุบันเรามักเห็นการทำสัญลักษณ์หรือทำท่าเขาปีศาจนี้ตามคอนเสิร์ตแนวเฮฟวี่เมทัลหรือแนวร็อคมาเป็นระยะเวลากว่าหลายสิบปีแล้ว แต่ความหมายของมันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธิซาตานหรือภูตผีปีศาจตามชื่อของมันแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามสัญลักษณ์นี้เดิมมีชื่อว่า "Corna" แปลว่า "การปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย" โดยมีนักร้องเสียงทรงพลังอย่าง Ronnie James Dido หยิบสัญลักษณ์นี้ขึ้นมาใช้เพื่อเชื่อมโยงกับดนตรี จนกลายเป็นท่าประจำของเขาและถือเป็นท่าที่ทรงอิทธิพลอย่างมากต่อวงการเพลงร็อค
ขอขอบคุณข้อมูลจาก listverse.com, brightside.me