ประเทศญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของประเทศที่หลังจากเกิดวิกฤตหลังสงครามโลกมาแล้วนั้น พวกเขาได้พัฒนาประเทศชาติมาโดยตลอด จนกลายเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก ซึ่งนอกเหนือจากสิ่งประดิษฐ์เทคโนโลยีสุดล้ำแล้ว ที่นี่ยังได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ประชากรมีระเบียบกันมากที่สุด และสิ่งสำคัญที่เป็นตัวปลูกฝังให้กับคนในประเทศได้ดีก็คือ “ระบบการศึกษา” ที่ทำให้ประเทศญี่ปุ่นถูกยกย่องว่าเป็นประเทศที่น่าเรียนมากที่สุดในเอเชียอีกหนึ่งแห่ง ว่าจะมีเหตุผลอะไรบ้างนั้น ที่ทำให้ญี่ปุ่นก้าวกระโดดไกลได้มากถึงเพียงนี้ ตามมาไขความลับกันได้เลย
ทำไมญี่ปุ่นถึงเป็นประเทศที่น่าเรียนที่สุด
1. คุณลักษณะที่ดีต้องมาก่อนความรู้
ระบบการศึกษาในญี่ปุ่นจะไม่มีการจัดสอบใดๆ ทั้งสิ้น จนกว่าจะถึงชั้นเกรด 4 (อายุประมาณ 10 ปี) เพราะเขาเชื่อว่า ช่วง 3 ปีแรก ยังไม่ควรมอบความรู้อันหนักอึ้งให้แก่เด็กๆ แต่เน้นไปที่การสอนให้เด็กรู้จักเคารพผู้อื่น มีความเป็นมิตรที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม การรู้จักรับผิดชอบตัวเองด้วยเรื่องเล็กๆ และยังสอนให้รู้จักกับความยุติธรรมอีกด้วย
2. โรงเรียนในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่มีภารโรงหรือผู้ดูแล
เพราะนักเรียนทุกคนจะต้องช่วยกันทำความสะอาด ห้องเรียน โรงอาหาร หรือแม้แต่ห้องน้ำ โดยการสลับกันแบ่งกลุ่มออกไปทำ ด้วยแนวคิดที่เชื่อว่าจะสามารถช่วยสอนให้นักเรียนรู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่น และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เรียกได้ว่าได้เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบกันตั้งแต่เล็กเลยทีเดียว
3. นักเรียนทุกคนจะได้รับประทานอาหารมื้อเที่ยง พร้อมกันในห้องเรียน
นอกจากรัฐบาลจะเล็งเห็นความสำคัญด้านสุขภาพ ด้วยการจัดแจงอาหารมื้อเที่ยงให้ครบ 5 หมู่สำหรับเด็กๆ แล้ว นักเรียนทุกคนจะได้รับประทานร่วมกันในห้องเรียน พร้อมทั้งคุณครูประจำชั้นด้วย และนี่คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ นักเรียนและคุณครู มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
4. โรงเรียนญี่ปุ่น มีกฏให้นักเรียนเดินทางไปโรงเรียนด้วยตนเอง
โรงเรียนหลายๆ แห่งบังคับให้นักเรียนต้องเดินทางไปเรียนด้วยตนเอง ไม่ว่าจะมีฐานะใดก็ตาม ส่วนประโยชน์ที่ได้ก็มีมากมาย ทั้งลดปัญหาการจราจร สอนให้เด็กรับผิดชอบตนเอง แบ่งเบาภาระหน้าที่ผู้ปกครอง แถมยังส่งเสริมให้เด็กๆ ในละแวกเดียวกันได้รู้จักมักจี่กันอีกด้วย
5. มีการสอนให้เขียนบทกวี และการเขียนอักษรโบราณด้วยพู่กัน
เปรียบเหมือนดั่งการเรียนวิชาศิลปะในอีกแขนงหนึ่ง ที่นี่เด็กๆ จะได้เรียนการเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันลงบนกระดาษสา สำหรับการสอนบทกวี ก็จะเน้นไปที่การให้นักเรียน แต่งบทกวีเพื่ออธิบายความรู้สึกหรือสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจของตนออกมา ซึ่งทั้งสองวิชาเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้วัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นยังคงสืบทอดต่อไป และได้เรียนรู้ที่จะเคารพในความคิดที่แตกต่างของคนอื่นอีกด้วย
6. ปีการศึกษาใหม่จะเริ่มต้นที่ 1 เมษายน เป็นประจำทุกปี
ขณะที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในโลก เริ่มต้นปีการศึกษาในเดือนกันยายนหรือตุลาคม แต่ในญี่ปุ่นมักเริ่มต้นการศึกษาในเดือนเมษายน วันแรกของโรงเรียนมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุด นั่นก็คือ “การเบ่งบานของดอกเชอร์รี่” โดยปีการศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ภาคการศึกษาด้วยกัน ได้แก่
-ภาคเรียนที่ 1 จะเริ่มวันที่ 1 เมษายน – 20 กรกฎาคม
-ภาคเรียนที่ 2 จะเริ่มวันที่ 1 กันยายน – 26 ธันวาคม
-ภาคเรียนที่ 3 จะเริ่มวันที่ 7 มกราคม – 25 มีนาคม
นักเรียนญี่ปุ่นจะได้รับวันหยุดในช่วงฤดูร้อน 6 สัปดาห์ และยังมีการแบ่งสัปดาห์ในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย
7. หลังเลิกเรียนจะมีการ workshops ทุกครั้งก่อนกลับบ้าน
ในช่วงเย็นกลุ่มเด็กเล็กๆ นักเรียนญี่ปุ่นจะมีการเรียนพิเศษ หรือ workshops เพิ่มเติม ไม่น่าแปลกใจว่านักเรียนในประเทศนี้แทบจะไม่เคยซ้ำชั้นในระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตอนต้นหรือโรงเรียนมัธยมกันเลย โดยเกือบทุกโรงเรียนมัธยมต้องการให้นักเรียนของพวกเขาสวมใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียน ในขณะที่บางโรงเรียนมีเครื่องแต่งกายของตัวเองแบบดั้งเดิม
8. อัตราการเข้าเรียน 99.99%
ทุกคนอาจจะเคยเหลวไหลสักครั้งในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นไปโรงเรียนสายหรือโดดเรียน แต่สำหรับนักเรียนญี่ปุ่นจะไม่การโดดเรียน ไม่มาโรงเรียนสาย และก็จะไม่การเรียนซ้ำชั้นโดยเด็ดขาด
—————————————-
ขอบคุณที่มา: http://www.naarn.com/13045/
ข้อมูล : brightside