เธอยืนอยู่ตรงจุดที่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ร้าย เลือดสดๆไหลออกมาจากมุมปากและจมูก ลำตัวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ นี่เป็นสิ่งที่ Lamiya Aji Bashar ได้รับเป็นประจำ หลังจากถูกกลุ่ม ISIS จับเป็นเชลย
ลามิญาตอบกลับ : “ถ้าคุณตัดขาฉันหนึ่งข้าง ฉันจะใช้ขาอีกข้างหนี ฉันไม่มีวันยอมแพ้” สุดท้ายผู้พิพากษาก็บอกว่า ถ้าคุณยังจะหนีต่อ พวกเขาก็จะทรมากคุณต่อไป
นี่เป็นคำบอกกล่าวจากปากของลามิญา เธอก็เหมือนกับสาวชาว Yazidi คนอื่นที่ถูกจับตัวมาขายเป็นโสเภณี โดนทรมาน ทำร้าย ทุบตี แต่สุดท้ายเธอก็หนีจากเงื้อมมือกลุ่ม ISIS ออกมาได้
ปัจจุบันนี้ลามิญาได้รับการคุ้มครองอยู่ที่เยอรมัน เธอและ Nadîye Murad แกนนำชาว Yazidi ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี 2016 เป็นรางวัลที่มอบให้กับ บุคคลหรือองค์กรที่ปกป้องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพทางความคิด ในเดือนธันวาคมของทุกปี
ลามิญาตอนนี้กล้าที่จะเป็นกระบอกเสียง เปิดเผยความขมขื่นที่เธอต้องเผชิญมา เพื่อกระตุ้นความสนใจของคนทั่วโลก ยากที่จะเชื่อว่าเธอเพิ่งอายุ 18 ปี และยังมีสาวๆชาว Yazidi อีกมากมายที่เนื่องจากนับถือศาสนาที่แตกต่าง ก็เลยถูกตราหน้าว่าเป็นคนนอกศาสนา และโดนข่มเหง
ลามิญาในวัยเด็กอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆใน Kocho ทางตอนเหนือของอิรัก ที่นั่นมีประชากรประมาณ 1,800 คน เธอมีชีวิตวัยเด็กที่มีความสุข เติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวย มีโอกาสไปโรงเรียน ความฝันของเธอก็คือการเป็นคุณครู แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปในวันที่กลุ่ม ISIS มาถึงหมู่บ้านของเธอและบังคับให้พวกเธอเปลี่ยนศาสนาไม่งั้นก็ตาย
ลามิญายังจำครั้งแรกที่เธอได้ยินชื่อ “Daesh” (อีกชื่อของ ISIS) ได้ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นเป็นชื่อของกลุ่มผู้ก่อการร้าย เธอคิดว่ามันเป็นสัตว์สายพันธุ์ใหม่ ตอนที่ ISIS เข้ายึด Mosul ท่านผู้เฒ่าในหมู่บ้านบอกว่าอาจจะต้องเข้าร่วมสงคราม แค่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหมู่บ้านเล็กๆนี้จะเป็นเป้าหมายของกลุ่ม ISIS
แต่ในเดือนสิงหาคมปี 2014 รถบรรทุกทหาร ISIS 2 คันมาถึงหมู่บ้าน ต้องการให้ชาวบ้านเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม ตอนแรกพวกเขาบอกว่าจะไม่ทำร้ายชาวบ้าน ตอนนั้นมีหลายครอบครัวหนีรอดไปได้สำเร็จ จนถึงวันที่ 15 เดือนสิงหาคม ทหารชุดดำกลุ่มใหญ่ก็เข้ายึดหมู่บ้าน ชาวบ้านยังจำได้ว่าทหารบางคนเป็นคนของหมู่บ้านข้างๆ ทหารต้อนให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่โรงเรียน ปล้นของมีค่าของพวกเขา และให้ผู้หญิงไปรวมตัวกันที่ชั้น 1
ลามิญา : “ตอนนั้นฉันกลัวมาก ฉันคิดถึงพ่อ คิดถึงครอบครัว คิดถึงชีวิต พวกเขาพาผู้ชายในหมู่บ้านไป ทั้งพ่อ ทั้งพี่ชาย น้องชาย”
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ลามิญาได้เห็นพ่อ และพี่ชายน้องชายของเธอ กลุ่ม ISIS บอกกับพวกผู้หญิงว่าผู้ชายจะถูกส่งไป Mount Sinjar มันเป็นสถานที่ที่ชาว Yazidi ไปแสวงหาที่อยู่ แต่หลังจากนั้น 10 นาทีพวกเธอก็ได้ยินเสียงปืน ต่อมาพวกผู้หญิงถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม เด็กๆและผู้หญิงที่แต่งงานแล้วถูกพาไป Tafa ส่วนผู้หญิงโสดและวัยรุ่นถูกพาไป Mosul ส่วนคนแก่ก็ถูกฆ่าในวันถัดมา
ลามิญาและพี่สาว 3 คนโดนทหาร ISIS ล่วงเกินในทันที : “พวกมันจู่โจมพวกเรา ลูบคลำและจูบ” ต่อมาพวกเธอก็ถูกพาไป Mosul และถูกขังไว้ในตึกขนาดใหญ่ร่วมกับหญิงสาวชาว Yazidi วัยใกล้เคียงกันกว่าร้อยคน ซึ่งหลังจากนั้นลามิญาถึงรู้ว่าที่นั่นเหมือนตลาดขายทาสทางเพศ ผู้ชายจะมาเลือกเด็กผู้หญิง เหมือนพวกเธอเป็นสินค้าอย่างหนึ่ง ถ้าเด็กสาวปฏิเสธไม่ไปด้วยก็จะโดนตีด้วยสายไฟ
ลามิญา: “ชายพวกนั้น เหมือนสัตว์ร้ายที่จู่โจมเด็กผู้หญิง มันทรมานมาก แม้แต่เด็กอายุ 9 ขวบ 10 ขวบ ที่ร้องไห้ขอความเมตตาพวกมันก็ไม่ละเว้น ฉันไม่รู้จะบรรยายให้เห็นถึงความน่ากลัวยังไง”
ต่อมาชายอาหรับวัย 40 ซื้อลามิญาและพี่สาวเธอคนนึงมา เขาพาพวกเธอไปที่ Laka ที่มีกลุ่ม ISIS ควบคุมอย่างหนาแน่น เธอโดนใส่กุญแจมือเกือบตลอดเวลา พวกเธออยู่ที่นั่น 3 วัน ชายคนนั้นตีพวกเธอตลอดเวลา ถ้าลามิญาปฏิเสธก็โดนบีบคอจนเกือบตาย
เพื่อจะทำให้สองพี่น้อง “อ่อนลง” ชายคนนั้นส่งพวกเธอไปที่ค่ายทหาร โยนพวกเธอสองคนเข้าไปในห้องที่มีทหารราว 40 คน ลามิญาเอ่ย : “คุณไม่มีทางจินตนาการออกเลยว่า เด็กผู้หญิง 2 คนจะถูกสัตว์ร้ายฝูงนั้นทำอะไรบ้าง”
ต่อมาพวกเธอก็ถูกขายให้กับทหาร IS อีกคน ผู้หญิง 1 คนมีราคา £100 ปอนด์ (ประมาณ 3,900 บาท) ครั้งนี้เธอถูกขายให้กับชายชาว Mosul ใจโหดคนนึง แม้ว่าเธอจะถูกขังอยู่ในห้องเล็กๆตลอด แต่ลามิญาก็ยังหนีออกมาได้ เธอขอร้องให้ชาวบ้านคนนึงให้เธอซ่อนตัว ชาวบ้านคนนั้นให้เธอซ่อนอยู่ 3 วัน แต่เขากลัวอำนาจของ IS และครอบครัวของลามิญาล้วนโดนจับเป็นเชลย ไม่มีใครมารับเธอ สุดท้ายเขาก็เลยโทรแจ้ง IS ว่าพบเด็กสาวคนหนึ่ง
เนื่องจาก IS ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการติดตามตัวเด็กสาวที่ถูกขายออกไป ไม่นานชายคนที่ซื้อเธอมาก็ตามตัวเธอเจอ ลามิญาถูกชาย 6 คนทรมาน แล้วก็ถูกส่งไปให้คนที่ซื้อเธอมาตีอย่างโหดเหี้ยมอีกยก หลังจากลามิญาพยายามหนีเป็นครั้งที่ 2 คนที่ซื้อเธอมาคนที่ 2 ทนไม่ไหวก็เลยขายเธอทิ้ง
ลามิญาเล่าว่า : “ทุกครั้งที่ฉันหนี พวกเขาจะทรมานฉัน มันทำให้ฉันเข้มแข็งมากขึ้น ฉันไม่มีวันยอมแพ้ เมื่อฉันเห็นความโหดร้าย ความรุนแรงมากขึ้น ฉันก็ยิ่งมีพลังต่อต้านกับมัน”
ต่อมาชายผมขาวคนนึงซื้อลามิญาไป ทั้งๆที่เขามีภรรยาและลูกชาย ลามิญาพยายามขอร้องเขา บอกว่าเขาไม่ควรมีทาสไว้ในบ้าน ไม่ควรทำเรื่องแบบนี้ แต่ชายคนนั้นกลับข่มขืนเธอตรงนั้นเลย ลามิญาขอร้องภรรยาของเขา แต่เธอตอบกลับมาว่า “เพราะว่าเธอเป็นคนนอกศาสนา เขามีสิทธิ์ทำแบบนี้กับเธอ”
ต่อมาลามิญาพบว่าชายผมขาวมีเมียฝรั่งอายุน้อยอีกคน เธอมีผมสีทอง ตาสีฟ้า และพูดภาษาเยอรมันได้ ลามิญารู้สึกว่าเธอน่าจะเป็นคนดี แต่ไม่เข้าใจว่ามาอยู่กับคนแบบนี้ได้ยังไง ลามิญาพยายามหนีอีกครั้ง เธอก็เลยโดนขายต่อให้นายทหารระดับสูงคนนึง เธอกล่าวว่า : “คนต่อๆมาล้วนเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาบอกว่าฉันควบคุมยาก ก็เลยตีฉันตั้งแต่แรกเลย”
นายทหารยศสูงตนนั้นทำระเบิด เขามีห้องใต้ดินที่เต็มไปด้วยรถ วัตถุระเบิดแบบเหลว และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เขาก็เลยบังคับให้ลามิญาช่วยทำเสื้อกั๊กระเบิดพลีชีพ วันนึงต้องทำ 50 ชุด ตอนที่เธอทำเสื้อกั๊กเธอยังคงได้ยินเสียระเบิดจากที่ไกลๆตลอดเวลา เธออยากให้ระเบิดลงที่ๆเธออยู่ เธอจะได้ไม่ต้องถูกทรมานสักที
ต่อมามีสาว Yazidi อีกสองสามคนก็ถูกพาตัวไปที่นั่น ลามิญาก็เลยโน้มน้าวให้พวกเธอหนีไปด้วยกัน และเนื่องจากหลบหนีก็เลยต้องขึ้นศาล หลังจากนั้นมีหมอผ่าตัดคนนึงซื้อเธอไป เขาให้เธอช่วยงานในโรงพยาบาล แล้วให้มือถือเธอเครื่องนึงจะได้ติดต่อได้สะดวก แต่เธอใช้มันในการติดต่อหาคุณอาที่อาศัยอยู่ที่ Kurdistan โชคดีที่ตอนนั้นที่ๆเธออยู่อยู่ห่างจากเมืองที่คุณอาอยู่ไม่ไกล อาของเธอก็เลยจ้างคนเป็นเงิน $7,500 ดอลล่าห์สหรัฐ (ประมาณ 240,000 บาท) ให้มาช่วยเธอ
คืนที่หลบหนี เธอกับ Katherine เด็กสาวจากบ้านเกิดเดียวกัน และ Almas วัย 9 ขวบหนีออกมาด้วยกัน แต่โชคไม่ดีที่ตอนตี 4 Katherine เหยียบโดนกับระเบิด Katherine กับ Almas เสียชีวิตทันที ลามิญาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุการณ์ระเบิดครั้งนั้นเกิดขึ้นก่อนเดือนกันยายน เธอจำสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เลือนลางมาก สุดท้ายเป็นทหารชาวเคิร์ดที่มาช่วยชีวิตเธอ นำเธอส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาบาดแผล แต่จากอาการบาดเจ็บทำให้คุณหมอจำเป็นต้องควักลูกตาขวาของเธอ
จากนั้น Luftbrucke Irak องค์กรสำหรับช่วยเหลือเด็กและเหยื่อการก่อการร้ายของเยอรมันก็ส่งเธอไปที่เยอรมัน เธอได้รับการผ่าตัดอีกหลายครั้งที่นั่น จนดวงตาข้างซ้ายกลับมาใช้การได้ตามปกติ บาดแผลบนใบหน้าจางลง แต่บาดแผลในจิตใจกลับยากที่จะรักษา จนถึงตอนนี้ลามิญาก็ยังคงฝันร้าย เธอเล่าว่า : “ฉันคิดถึงเด็กผู้หญิงคนอื่นที่กำลังทรมาน”
Mayada น้องสาววัย 9 ขวบของเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น ส่วนพี่น้องอีก 5 คนของเธอหลบหนีออกมาได้แล้ว ลามิญาอยากกลับไปเรียนอีกครั้ง ตอนนี้เธอกำลังแสดงความกล้าหาญด้วยการเป็นกระบอกเสียงแทนเหยื่อคนอื่น กระตุ้นให้ทั่วโลกรู้ว่ายังมีหญิงสาวชาว Yazidi อีก 3,600 คนที่ยังติดอยู่ในความทรมาน
ลามิญาเล่าว่า : “คนเหล่านั้นต้องการที่จะทำลายเพื่อร่วมชาติและศาสนาของฉัน แต่พวกเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไป หน้าที่ของฉันก็คือไปบอกเด็กผู้หญิงเหล่านั้นว่า พวกเธอไม่ได้โดดเดี่ยว พวกเราจะทำให้พวกที่ทำร้ายพวกเราพวกนั้นได้รับผลกรรม”
เด็กสาวอายุ 18 ปี ได้รับทุกข์ทรมานมามากมาย แต่กลับกล้าที่จะยืนขึ้นมาใหม่ แชร์เรื่องราวของเธอออกไป ให้คนทั่วโลกได้รับรู้ว่ามีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังได้รับทุกข์ทรมานอยู่