9 วิธีรักษา"ผู้ป่วยทางจิต"ของแพทย์ในประวัติศาสตร์ ที่โหดร้ายจนคุณรู้สึกดีใจที่ได้เกิดมาในยุคปัจจุบัน

ในประวัติศาสตร์การแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้าจึงมีวิธีการรักษาแบบลองผิดลองถูกกันเรื่อยมา ถ้าคนไข้คนไหนเจอแบบลองถูกก็ดีไป แต่ถ้าเจอแบบลองผิดมานี่บอกได้เลยว่า ตายลูกเดียว

เหมือนกับ 9 วิธีการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตของจิตแพทย์ในสมัยก่อน ที่ได้ชื่อว่าโหดร้ายและอันตรายมากที่สุดเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนใช้วิธีรักษาแบบนี้มาก่อน แล้วคุณจะดีใจที่เกิดมาในยุคปัจจุบัน

1. รักษาด้วยอินซูลินบำบัด : เป็นวิธีที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคจิตเภท โดยจะฉีดอินซูลินให้กับคนไข้ตอนที่พวกเขามีอาการโคม่า และถ้าได้รับการฉีดอินซูลินติดต่อกันนานเป็นสัปดาห์จะทำให้สมองเสียหายและเกิดโรคอ้วนร้ายแรงได้

2. ภาวะขาดการนอนหลับ : เป็นการบำบัดโดยขัดขวางการนอนของผู้ป่วยไม่ให้ผู้ป่วยได้นอนหลับเพียงพอ ผลที่ตามมาคือทำให้เกิดปัญหาทางจิตอย่างรุนแรง แทนที่จะเป็นการรักษากลับยิ่งทำให้ป่วยหนักกว่าเดิมอีก

3. เจาะกะโหลก : เชื่อว่าการเจาะรูเข้าไปในกะโหลกศีรษะเพื่อให้สมองได้สัมผัสอากาศ เป็นวิธีการรักษาอาการป่วยทางจิตซึ่งเชื่อว่าเป็นการชำระล้างและทำให้ผู้ป่วยฟื้นฟูปัญหาทางจิตใจ แต่มันกับทำให้ผู้ป่วยทรมานทั้งบางคนยังเสียชีวิตอีกด้วย

4. การบำบัดด้วยน้ำร้อน : เป็นวิธีที่นิยมใช้ในปลายศตวรรษที่ 19 ลแะต้นศตวรรษที่ 20 โดยเชื่อว่าการอาบน้ำอุ่นจะทำให้ผ่อนคลายและจิตใจสดชื่นแจ่มใส แต่บางครั้งน้ำที่ใช้มันร้อนเกินไปจนลวกผู้ป่วยจากสุขกลายเป็นทุกข์แทน

5. การบำบัดด้วยน้ำเย็น : เป็นการบำบัดที่เลวร้ายยิ่งกว่าน้ำอุ่นอีก โดยจิตแพทย์จะให้ผู้ป่วยนอนแช่น้ำเย็นที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งเป็นเวลานาน แต่มันกลับไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้นเลย

6. การทำหมันในผู้หญิง : โดยจะใช้เฉพาะกับผู้ป่วยหญิงที่มีอาการทางจิต โดยเฉพาะโรคจิตเภทเพื่อลดพฤติกรรมก้าวร้าว แต่แล้วในปี 1970 การบำบัดด้วยวิธีนี้ก็ถูกยกเลิกไปในสหรัฐฯ

7. กำจัดเชื้อโรค : โดย Dr. Henry Cotton เป็นจิตแพทย์ในศตวรรษที่ 20 เขาเชื่อว่าผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตนั้นเป็นผลมาจากการติดเชื้อโรคที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย และวิธีรักษาของเขาคือ "ผ่าตัดเอาเชื้อโรคออก" ดังนั้นเขาจึงผ่าตัดเอาอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายออก แต่มันทำให้ผู้ป่วยได้รับความเดือดร้อนมากกว่าจะหาย

8. ฉีดเชื้อมาลาเรีย : เป็นวิธีการรักษาในศตวรรษที่ 20 โดยแพทย์เชื่อว่าผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตเป็นผลกระทบมาจากระบบประสาทและโรคซิฟิลิส ดังนั้นจึงต้องฉีดเชื้อมาลาเรียเข้าไปเพื่อให้โรคซิฟิลิสหายไป แต่มันกลับทำให้ผู้ป่วยมีไข้สูงมากและป่วยเป็นโรคมาลาเรีย