เพื่อนๆ รู้จักวิญญาณอาฆาต หรืออนเรียว (怨霊) ของญี่ปุ่นกันไหมคะ? ถ้าพูดถึงคำว่าวิญญาณอาฆาตแล้ว ก็คงนึกถึงวิญญาณของคนที่มีความแค้นหลงเหลืออยู่ ทำให้เมื่อตายไปจึงกลายเป็นวิญญาณเพื่อกลับมาแก้แค้นค่ะ ซึ่งในญี่ปุ่นมีวิญญาณอาฆาตสามตนด้วยกันที่เป็นสุดยอดของตำนานการแก้แค้นของญี่ปุ่นค่ะ โดยคนญี่ปุ่นเรียกวิญญาณสามตนนี้ว่า “สามวิญญาณอาฆาต (三大怨霊)” ค่ะ
ความพิเศษของสามวิญญาณอาฆาตที่ทำให้วิญญาณสามตนนี้แตกต่างจากตำนานวิญญาณอาฆาตอื่นๆ ก็คือวิญญาณอาฆาตเหล่านี้ต่างเป็นวิญญาณของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ที่มีตัวตนอยู่จริงค่ะ ดังนั้นเรื่องราวการแก้แค้นของวิญญาณทั้งสามตนนี้มีเค้าโครงเรื่องจริงอยู่ไม่มากก็น้อยค่ะ โดยสามวิญญาณอาฆาตนี้ได้แก่ สึกาวาระโนะ มิจิซาเนะ (菅原道真) ไทระโนะ มาซาคาโดะ (平将門) และจักรพรรดิสุโตคุ (崇徳天皇) ค่ะ
ถึงตอนนี้เพื่อนๆ ก็คงจะรู้จักสามวิญญาณอาฆาตไปคร่าวๆ แล้ว ต่อไปเราจะมารู้จักวิญญาณอาฆาตตนแรกกันค่ะ นั่นคือ สึกาวาระโนะ มิจิซาเนะ หรือเทพเท็นจิน (天神) เทพเจ้าแห่งการเรียนรู้ของญี่ปุ่นค่ะ
ประวัติ
สึกาวาระโนะ มิจิซาเนะเป็นเสนาบดีฝ่ายขวา (右大臣) และคนสนิทในจักรพรรดิอุดะ (宇多天皇) ซึ่งครองราชย์ในสมัยเฮอัน (平安時代) ค่ะ ด้วยความสามารถในหลายแขนงทำให้สึกาวาระโนะ มิจิซาเนะได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งคานอำนาจกับตระกูลฟุจิวาระ (藤原氏) ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางที่มีอำนาจมากที่สุดในสมัยนั้นค่ะ
อย่างไรก็ตาม เมื่อสึกาวาระได้ตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาไม่นานจักรพรรดิอุดะก็ได้ทรงลาผนวชทำให้เขาเสียผู้สนับสนุนในราชสำนักคนสำคัญไป ขุนนางตระกุลฟุจิวาระที่เห็นโอกาสนี้จึงได้วางแผนใส่ร้ายสึกาวาระโนะ มิจิซาเนะจนทำให้เขาถูกเนรเทศไปยังเกาะคิวชู (九州) ค่ะ
กล่าวกันว่าเมื่อได้ยินข่าวการเนรเทศ จักรพรรดิอุดะที่ทรงลาผนวชแล้วได้ทรงวิ่งไปหาจักรพรรดิไดโกะ (醍醐天皇) เพื่อขอให้ละโทษเนรเทศแต่กลับถูกฟุจิวาระโนะ สุกาเนะ (藤原菅根) ขัดขวาง ทำให้คำร้องให้ละโทษเนรเทศไปไม่ถึงจักรพรรดิไดโกะ สึกาวาระโนะ มิจิซาเนะจึงถูกเนรเทศในที่สุดค่ะ และภายหลังการถูกเนรเทศเพียง 2 ปี สึกาวาระโนะ มิจิซาเนะที่สุขภาพทรุดโทรมอยู่แล้วก็ได้เสียชีวิตลงด้วยอายุ 59 ปีในปีค.ศ. 903 ค่ะ
การกลับมาของวิญญาณอาฆาต
ตามคำบอกเล่าในศาลเจ้าบางแห่งของเทพเท็นจินได้กล่าวว่าภายหลังการเสียชีวิตของสึกาวาระโนะ มิจิซาเนะไปหลายปี ในค่ำคืนหนึ่งของฤดูร้อน วิญญาณของสึกาวาระได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งบนเขาฮิเอ (比叡山) ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเกียวโต (京都市) เพื่อขอให้เจ้าอาวาสไม่เข้ามาขัดขวางการแก้แค้นของตนค่ะ
หลังจากนั้นในปีค.ศ. 906 เป็นต้นไป ขุนนางตระกูลฟุจิวาระหลายคน รวมถึงผู้มีส่วนร่วมในการเนรเทศของสึกาวาระได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ทั้งโดยไม่ทราบสาเหตุ ถูกฟ้าผ่าเสียชีวิต เสียชีวิตด้วยโรคร้าย หรือบางคนก็หายสาบสูญไป แม้แต่มงกุฎราชกุมารของจักรพรรดิไดโกะเองก็ยังเสียชีวิตไปด้วย จนเริ่มมีข่าวลือในเกียวโตว่าการเสียชีวิตเหล่านี้เกิดจากคำสาปของสึกาวาระโนะ มิจิซาเนะค่ะ โดยเมื่อยิ่งเวลาผ่านไปความรุนแรงก็ยิ่งทวีคูณ จนมีเหตุการณ์หนึ่งที่สายฟ้าได้ผ่าลงมาในเขตพระราชฐานชั้นในทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็มีขุนนางตระกูลฟุจิวาระอยู่ด้วย ทำให้ความเชื่อว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นคำสาปของสึกาวาระโนะ มิจิซาเนะยิ่งแพร่หลายมากขึ้นไปอีกค่ะ
ทางพระราชสำนักจึงได้ประกาศให้โทษเนรเทศของสึกาวาระเป็นโมฆะและสร้างศาลเจ้าเท็นมังงู (天満宮) ขึ้นและบูชาสึกาวาระโนะ มิจิซาเนะในฐานะเทพแห่งความรู้และการศึกษาหรือเทพเท็นจินเพื่อให้วิญญาณของสึกาวาระโนะ มิจิซาเนะสงบลงค่ะ
เรื่องราววิญญาณอาฆาตของสึกาวาระโนะ มิจิซาเนะก็ได้จบลงเท่านี้ค่ะ ถึงอย่างนั้น ปัจจุบันสึกาวาระโนะ มิจิซาเนะนับเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งที่มีผู้มาไหว้สักการะที่ศาลเจ้ามากที่สุดองค์หนึ่งเลยค่ะ
ตำนานการแก้แค้นของ “สามวิญญาณอาฆาต” : ไทระโนะ มาซาคาโดะ
เรามาทำความรู้จักวิญญาณอาฆาต (怨霊) ตนที่สองคือ “ไทระโนะ มาซาคาโดะ (平将門) ” กันต่อเลยค่ะ
ประวัติ
ไทระโนะ มาซาคาโดะเป็นซามูไรที่เก่งกาจและโด่งดังมากที่สุดในสมัยเฮอัน (平安時代) เลยก็ว่าได้ค่ะ นอกจากนี้ยังนับเป็นซามูไรรุ่นบุกเบิกอีกด้วยค่ะ ไทระโนะ มาซาคาโดะเกิดในตระกูลไทระ (平氏) ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากจักรพรรดิคันมุ (桓武天皇) จึงนับได้ว่าเขาเกิดมาในตระกูลที่มีอำนาจพอสมควรเลยค่ะ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากญี่ปุ่นในสมัยนั้นไม่มีกฎหมายด้านการรับมรดกที่ชัดเจน ทำให้ไทระโนะ มาซาคาโดะถูกญาติๆ ของเขาพยายามแย่งมรดกที่ดินของเขาภายหลังการเสียชีวิตของบิดา ปัญหานี้ได้มาถึงจุดแตกหักเมื่อไทระโนะ มาซาคาโดะถูกลอบโจมตีโดยกลุ่มนักรบของลุงของเขารวมถึงนักรบจากตระกูลมินาโมโตะ (源氏) แต่ไทระโนะ มาซาคาโดะสามารถเอาชนะได้อย่างรวดเร็วและแก้แค้นด้วยการบุกรุกพื้นที่ของศัตรูและเผาที่ดินทั้งหมด รวมถึงฆ่าคนอีกจำนวนมากในที่นั้นด้วย ทำให้เขาถูกเรียกตัวไปยังราชสำนักเพื่อรับการไต่สวน แต่ภายหลังเขาก็ได้รับการอภัยโทษค่ะ
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ระหว่างไทระโนะ มาซาคาโดะกับคนในตระกูลยังคงเกิดขึ้นต่อมาเรื่อยๆ ทำให้เขาต้องคอยไปให้การในราชสำนัก จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาขัดหมายเรียกจากราชสำนักและซ่องสุมกำลังเข้ายึดครองดินแดนต่างๆ แทนค่ะ ถึงจะเรียกว่ายึดครอง แต่ไทระโนะ มาซาคาโดะกลับปฏิบัติต่อชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างดี ต่างกับทางราชการที่มักเอาเปรียบชาวบ้านตลอดมา ทำให้ชาวบ้านในหลายพื้นที่มองเขาว่าเป็นผู้ที่มาช่วยเหลือและยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดีค่ะ ด้วยเหตุนี้ทำให้ทางเมืองหลวงกลัวว่าไทระโนะ มาซาคาโดะจะเตรียมการโค่นล้มอำนาจจักรพรรดิ จึงได้ประกาศให้เขาเป็นกบฏและได้ออกคำสั่งให้นักรบกลุ่มหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วยทหารของฟูจิวาระโนะ ฮิเดซาโตะ (藤原秀郷) เพื่อนของไทระโนะ มาซาคาโดะ รวมถึงทหารของญาติๆ ของเขา ให้นำศีรษะของไทระโนะ มาซาคาโดะกลับมา
และในคืนวันที่ 14 เดือนยี่ ปีค.ศ. 940 กองทัพของไทระโนะ มาซาคาโดะถูกลอบโจมตีกลางดึกที่จังหวัดชิโมอุสะ (下総国) และตัวไทระโนะ มาซาคาโดะเองก็ถูกตัดศีรษะนำกลับไปยังเมืองหลวงที่เกียวโต (京都市)แล้วเสียบประจานไว้ที่ตลาดทางตะวันออกของเมืองเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างให้กับคนที่คิดจะก่อกบฏค่ะ
การกลับมาของวิญญาณอาฆาต
มีเรื่องเล่าว่าแม้ว่าศีรษะของไทระโนะ มาซาคาโดะจะถูกเสียบประจานอยู่เป็นเดือนแล้ว แต่น่าแปลกที่ศีรษะนั้นไม่เน่าเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ดวงตาของศีรษะนั้นยังดูดุดันขึ้นและริมฝีปากก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรอยแสยะยิ้ม และทุกคืนจะมีคนได้ยินเสียงศีรษะตะโกนว่า “ร่างของข้าอยู่ไหน!? มานี่สิ! มาต่อกับหัวของข้าให้ข้าได้สู้อีกครั้ง!” จนกระทั่งคืนหนึ่งศีรษะของไทระโนะ มาซาคาโดะเรืองแสงขึ้นและลอยไปยังทางจังหวัดชิโมอุสะที่เขาถูกฆ่า แต่ระหว่างทางศีรษะกลับตกลงที่หมู่บ้านชาวประมงแห่งหนึ่งซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเมืองเอโดะ (江戸) ค่ะ
ชาวบ้านที่พบศีรษะได้ทำความสะอาดศีรษะและทำพืธีฝังให้ นอกจากนี้ยังมีการสร้างศาลเจ้าขึ้นบนหลุมศพ ซึ่งก็คือศาลเจ้า “คุบิสุกะ (首塚) ” ที่แปลว่า “เนินศีรษะ”ค่ะ โดยไทระโนะ มาซาคาโดะได้รับการเคารพบูชาในฐานะนักรบที่แท้จริงและเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านความอยุติธรรมจากราชสำนักและชนชั้นสูงค่ะ อย่างไรก็ตามก็ดูเหมือนว่าวิญญาณของเขายังไม่พอใจเนื่องจากมีชาวบ้านพบเห็นวิญญาณของซามูไรบริเวณศาลเจ้าของเขาค่ะ
ช่วงต้นศตวรรษที่ 14 (ช่วงปี 1300) ได้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้นและมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านเชื่อว่านี่เป็นคำสาปของไทระโนะ มาซาคาโดะจึงได้ย้ายศีรษะของเขาไปยังศาลเจ้าคันดะ (神田神社) และบูชาเขาในฐานะเทพเจ้าองค์หนึ่งค่ะ ซึ่งดูเหมือนว่าจะได้ผลเมื่อทุกอย่างสงบลง จนกระทั่งจักรพรรดิเมจิ (明治天皇) ได้ทรงเสด็จมาเยือนบริเวณแห่งนี้ค่ะ เนื่องจากการที่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นศัตรูของราชวงศ์อย่างไทระโนะ มาซาคาโดะได้รับการบูชาในขณะที่จักรพรรดิเสด็จมาเยือนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกมองว่าไม่เหมาะสม ไทระโนะ มาซาคาโดะจึงถูกปลดออกจากตำแหน่งเทพเจ้า และศาลเจ้าของเขาก็ถูกย้ายออกไปยังศาลเจ้าเล็กๆ อีกแห่งค่ะ
เรื่องราวไทระโนะ มาซาคาโดะยังไม่จบลงค่ะ เมื่อแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในแถบคันโต (関東大震災) ในปีค.ศ. 1928 ได้ทำลายเมืองโอเทมาจิ (大手町) ไปเสียส่วนมาก บริเวณศาลเจ้าคุบิสุกะของไทระโนะ มาซาคาโดะได้ถูกเลือกให้เป็นที่ตั้งชั่วคราวของกระทรวงการคลังค่ะ แต่ไม่นานหลังจากนั้นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังก็ได้ล้มป่วยและเสียชีวิตลง รวมถึงพนักงานอีกหลายคนที่เสียชีวิต ล้มป่วย หรือประสบอุบัติเหตุภายในอาคารของกระทรวงค่ะ ทำให้เกิดข่าวลือว่าอาจจะเป็นคำสาป อาคารของกระทรวงจึงถูกทุบทิ้งและได้มีการจัดพิธีรำลึกแด่ไทระโนะ มาซาคาโดะที่ศาลเจ้าคันดะค่ะ
ช่วงศตวรรษที่ 20 ได้มีอุบัติเหตุ ไฟไหม้ อาการเจ็บป่วย และรายงานการพบเห็นสิ่งแปลกประหลาดขึ้นบริเวณศาลเจ้าค่ะ แต่ทุกครั้งหลังเกิดเหตุการณ์เหล่านี้จะมีการทำพิธีปัดเป่าค่ะ จนสุดท้ายในปีค.ศ. 1984 ไทระโนะ มาซาคาโดะก็ได้ถูกบูชาในฐานะเทพเจ้าอีกครั้งค่ะ จนปัจจุบันนี้ก็ยังมีความพยายามในการบรรเทาความโกรธแค้นของไทระโนะ มาซาคาโดะอยู่ค่ะ เช่นรายการโทรทัศน์จะต้องเดินทางไปเคารพหลุมศพที่ฝังศีรษะของเขาในเมืองโอเทมาจิ จังหวัดโตเกียว (東京都) ก่อนที่จะถ่ายทำรายการเกี่ยวกับเขาค่ะ และศาลเจ้าคุบิซุกะเองก็ได้รับการบูรณะเรื่อยมาโดยทางท้องถิ่นและอาสาสมัครค่ะ
กว่าเรื่องราวของไทระโนะ มาซาคาโดะจะจบลงก็ใช้เวลานานเป็นพันปีทีเดียวค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าที่ญี่ปุ่นจะมีเรื่องราวแบบนี้อยู่ด้วยใช่ไหมคะ? ต่อไปเราจะมารู้จักกับวิญญาณอาฆาตตนสุดท้ายกันค่ะ นั่นคือจักรพรรดิสุโตคุ (崇徳天皇) ค่ะ
ตำนานการแก้แค้นของ “สามวิญญาณอาฆาต” : จักรพรรดิสุโตคุ
ในที่สุดเราก็มาถึงวิญญาณอาฆาต (怨霊) ตนสุดท้ายในสามวิญญาณอาฆาต (三大怨霊) กันแล้วค่ะ นั่นคือจักรพรรดิสุโตคุ (崇徳天皇) ค่ะ
ประวัติ
จักรพรรดิสุโตคุประสูติในปีค.ศ. 1119 และเป็นราชโอรสองค์โตในจักรพรรดิโทบะ (鳥羽天皇) อย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้กันในราชสำนักว่าจักรพรรดิสุโตคุนั้นแท้จริงแล้วเป็นโอรสของอดีตจักรพรรดิชิราคาวะ (白河天皇)ค่ะ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จักรพรรดิสุโตคุมักได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดีจากจักรพรรดิโทบะซึ่งเป็นพระบิดาในนาม บ้างกล่าวว่าจักพรรดิโทบะมักเรียกจักรพรรดิสุโตคุว่า “ลูกนอกสมรส” ค่ะ
ทางด้านอดีตจักรพรรดิชิราคาวะผู้เป็นพ่อแท้ๆ ของจักรพรรดิสุโตคุนั้น แม้ว่าจะสละราชบัลลังก์ไปแล้ว แต่ก็ยังถือว่ามีอำนาจพอสมควรค่ะ และเมื่อตอนที่จักรพรรดิสุโตคุยังมีอายุเพียง 5 ชันษา และจักรพรรดิโทบะมีอายุ 21 ชันษา จักรพรรดิชิราคาวะก็ได้บังคับให้จักรพรรดิชิราคาวะสละราชบัลลังก์ และจักรพรรดิสุโตคุก็ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแทนค่ะ
แต่หลังจากที่อดีตจักรพรรดิชิราคาวะสิ้นพระชนม์ อดีตจักรพรรดิโทบะเริ่มเกลี้ยกล่อมจักรพรรดิสุโตคุให้สละราชสมบัติโดยกล่าวว่าชีวิตหลังสละราชสมบัตินั้นดีกว่าตอนเป็นจักรพรรดิอยู่มาก ทั้งยังเสนอให้จักรพรรดิสุโตคุรับโอรสในอดีตจักรพรรดิโทบะ คือเจ้าชายนาริฮิโตะ (体仁親王) มาเป็นบุตรบุญธรรมค่ะ และเมื่อจักรพรรดิสุโตคุทำตามข้อเสนอในที่สุดในปีค.ศ. 1142 เจ้าชายนาริฮิโตะก็ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิโคะโนะเอะ (近衛天皇) แทนบุตรหลานของจักรพรรดิสุโตคุ และอดีตจักรพรรดิโทบะก็ได้ขึ้นมามีอำนาจแทนค่ะ และเพื่อเป็นการกำจัดอำนาจของจักรพรรดิสุโตคุ อดีตจักรพรรดิโทบะได้ส่งพันธมิตรของจักรพรรดิสุโตคุออกไปยังต่างจังหวัดอันห่างไกล และนำผู้สนับสนุนของตนเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงแทนค่ะ
จักรพรรดิสุโตคุไม่สามารถทำอะไรได้เลย จนกระทั่งจักรพรรดิโคะโนะเอะทรงประชวรและสิ้นพระชนม์ในปีค.ศ. 1155 โดยไม่มีรัชทายาท จักรพรรดิสุโตคุที่มีทายาทเป็นของตนเองแล้วจึงเห็นโอกาสที่จะทวงอำนาจคืนโดยจักรพรรดิสุโตคุและกลุ่มผู้สนับสนุนได้ประกาศว่าบัลลังก์ควรตกทอดสู่รัชทายาทของจักรพรรดิสุโตคุแต่ทางราชสำนักได้ประกาศให้โอรสองค์ที่สี่ของจักรพรรดิโทบะขึ้นเป็นจักรพรรดิโกะชิราคาวะ (後白河天皇) แทน ในปีต่อมาเมื่ออดีตจักรพรรดิโทบะสิ้นพระชนม์ความขัดแย้งนี้ได้กลายเป็นสงครามกลางเมืองที่รู้จักกันว่า “การปฏิวัติโฮเก็น (保元の乱)”
แต่สงครามกลางเมืองนี้ได้จบลงในศึกเดียวโดยฝ่ายที่ชนะคือฝ่ายจักรพรรดิโกะชิราคาวะค่ะ ผู้ที่สนับสนุนจักรพรรดิสุโตคุทุกคนถูกตัดสินประหารชีวิตพร้อมทั้งคนในครอบครัวทั้งหมด และจักรพรรดิสุโตคุเองก็ถูกเนรเทศออกจากเกียวโต (京都府) ไปยังจังหวัดซานุกิค่ะ (讃岐の国) จักรพรรดิสุโตคุได้ทรงออกผนวชและอุทิศชีวิตที่เหลือในการคัดพระคัมภีร์ส่งกลับไปยังเกียวโตค่ะ แต่ทางราชสำนักกลับปฏิเสธพระคัมภีร์ที่จักรพรรดิสุโตคุส่งกลับมาให้ ด้วยกลัวว่าจักรพรรดิสุโตคุจะพยายามสาปราชสำนักผ่านคัมภีร์เหล่านี้ โดยมีเรื่องเล่าว่าจักรพรรดิสุโตคุได้กัดลิ้นตนเองและใช้เลือดเขียนคำสาปลงในพระคัมภีร์ค่ะ หลังจากนั้นไม่นานจักรพรรดิสุโตคุก็ได้สิ้นพระชนม์ลง โดยบ้างได้กล่าวว่าจักรพรรดิสุโตคุได้ตรัสไว้ก่อนสิ้นพระชนม์ว่า “เราจะเป็นจอมมารแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นคอยสาปส่งราชวงศ์” ค่ะ และเมื่อข่าวการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิสุโตคุไปถึงเมืองหลวง จักรพรรดิโกะชิราคาวะได้รับสั่งไม่ให้ใครไว้อาลัยแก่จักรพรรดิสุโตคุและทางราชสำนักจะไม่จัดพิธีศพให้เป็นอันขาด
การกลับมาของวิญญาณอาฆาต
เรื่องเล่าเกี่ยวกับจักรพรรดิสุโตคุได้เล่าว่าภายหลังจักรพรรดิสุโตคุสิ้นพระชนม์พระศพก็ยังไม่ถูกเผาในทันทีเนื่องจากต้องรอคำสั่งจากทางการอีกที ที่น่าแปลกคือแม้ว่าจะผ่านไปแล้ว 20 วันพระศพก็ยังไม่เน่าสลาย จนกระทั่งเมื่อมีการขนโลงศพมาเพื่อบรรจุพระศพ ก็ได้มีพายุลูกใหญ่พัดเข้ามา ทำให้ทุกคนในบริเวณต้องทิ้งโลงศพไว้และหาที่หลบพายุ จนเมื่อพายุผ่านไปจึงพบว่าพื้นหินรอบๆ บริเวณเปียกไปด้วยน้ำฝนสีแดงที่ดูเหมือนเลือดอยู่ และเมื่อถวายพระเพลิงพระศพก็ได้เกิดกลุ่มเมฆสีดำขึ้นเหนือกรุงเกียวโตซึ่งเชื่อกันว่ากลุ่มเมฆนี้เป็นเขม่าควันจากพระอัฐิค่ะ
หลังจากนั้นก็ได้เกิดภัยพิบัติต่างๆ ขึ้นในกรุงเกียวโต เริ่มจากสมาชิกในพระราชวงศ์ของจักรพรรดิโกะชิราคาวะต่างสิ้นพระชนม์กะทันหัน และในตัวเมืองหลวงเองก็ได้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อยคนค่ะ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้ทำให้อำนาจของราชสำนักอ่อนแอลง นอกจากนี้ความขัดแย้งต่างๆ ที่เป็นผลมาจากการปฏิวัติโฮเก็นก็ได้ทำให้เกิดสงครามย่อยๆ ขึ้นจนนำไปสู่สงครามเก็มเปย์ (源平合戦) ระหว่างตระกูลไทระ (平氏) กับตระกูลมินาโมโตะ (源氏) ภายหลังสงครามสงบลง อำนาจการปกครองของญี่ปุ่นก็ได้เปลี่ยนจากจักรพรรดิมาอยู่ในระบบโชกุน (将軍) ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่คามาคุระ (鎌倉) แทนค่ะ ซึ่งการเสียอำนาจของระบบจักรพรรดินี้ว่ากันว่าเป็นคำสาปของจักรพรรดิสุโตคุค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น คนญี่ปุ่นเองก็มีวัฒนธรรมในการนับถือบูชาวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปในฐานะเทพเจ้าเพื่อให้วิญญาณเหล่านั้นช่วยคุ้มครองดูแลตนค่ะ (คล้ายการบูชาผีในประเทศไทยเลยค่ะ) จักรพรรดิสุโตคุเองก็ได้รับการบูชาในฐานะเทพเจ้าในปีค.ศ. 1868 โดยมีการสร้างศาลเจ้าชิรามิเนะ (白峰神宮) ในเกียวโตขึ้นเพื่อเคารพบูชาจักรพรรดิสุโตคุค่ะ
เรื่องราวของจักรพรรดิสุโตคุและสามวิญญาณอาฆาตก็ได้จบลงเพียงเท่านี้ค่ะ สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตได้จากเรื่องราวของวิญญาณอาฆาตทั้งสามตนนี้คือแม้ว่าแต่ละเรื่องจะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่ากลัวเกี่ยวกับการแก้แค้นและคำสาปของวิญญาณอาฆาต แต่หากมองดีๆ แล้วเราจะพบว่าทั้งหมดต่างเป็นผู้ที่พ่ายแพ้ให้กับความไม่สุจริตในเกมการเมืองค่ะ ทั้งการใส่ร้าย การแก่งแย่งชิงดี และการเอารัดเอาเปรียบ ทั้งหมดนี้ต่างเป็นสิ่งที่เรายังเห็นได้ในการเมืองในทุกวันนี้ในทุกๆ ประเทศค่ะ ซึ่งประวัติของสามวิญญาณอาฆาตนี้ต่างเป็นตัวอย่างในอดีตให้คนในปัจจุบันอย่างพวกเราศึกษาได้ค่ะ