หลังจากที่ได้กล่าวถึงเกราะทางจีนและเกาหลีไปแล้ว
คราว นี้จะขอกล่าวถึงรูปแบบของเกราะทางญี่ปุ่นบ้าง
ซึ่งแม้ว่าในระยะเริ่มแรก ญี่ปุ่นจะได้รับรูปแบบของชุดเกราะมาจากจีน,เกาหลี
แต่ก็ได้พัฒนาจนกลาย เป็นรูปแบบเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร
โดยเกราะญี่ปุ่นนั้น เริ่มปรากฏว่ามีการใช้มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
เรื่อยมาจนกระทั่ง ยุคที่ซามูไรสิ้นอำนาจเมื่อร้อยกว่าปีก่อนนี้เอง
...........................................................
ญี่ปุ่น
เป็น ชนชาติที่มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ในพื้นที่ที่โดดเดี่ยวที่สุดแห่ง
หนึ่ง ของโลก ซึ่งแหล่งอารยธรรมที่ใกล้ที่สุดก็คืออารยธรรมจีน
โดยญี่ปุ่นได้ รับเอาวัฒนธรรมจีนในหลายด้าน ผ่านทางคาบสมุทรเกาหลีใน
ระยะแรกเริ่มก่อน ที่จะค่อยๆปรับปรุงจนกลายเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่น
อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวใน ที่สุด
ภาพเกราะไม้ญี่ปุ่นในสมัยโจมน
วัฒนธรรม แรกๆบนหมู่เกาะญี่ปุ่นคือวัฒนธรรมโจมน ซึ่งจัดเป็นวัฒนธรรมยุคหินใหม่
มี ข้อสันนิษฐานว่าประชากรโจมนน่าจะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับชาวไอนุปัจจุบัน
ภาย หลังจากนั้นจึงได้เกิดวัฒนธรรมของชนกลุ่มใหม่ซึ่งอพยพมาจากแผ่นดินใหญ่
เรียก ว่าวัฒนธรรมยาโยอิ(๓๐๐ ปีก่อนค.ศ.-ค.ศ.๓๐๐)ชุมชนในสมัยนี้เริ่มรู้จักการเกษตร และรับเอาวิธีการผลิตโลหะ, การขี่ม้าโดยใช้ดาบและสวมเกราะมาจาก
คาบสมุทร เกาหลี
ซึ่ง เกราะในสมัยยาโยอิช่วงแรกๆก็น่าจะใช้วัสดุจำพวกไม้หรือหนังสัตว์ จนต่อมาใน
ระยะ หลังจึงมีรูปแบบเดียวกับชุดเกราะที่ใช้ในคาบสมุทรเกาหลีตอนใต้ โดยทำจาก
แผ่น โลหะยึดด้วยหมุดหรือสายหนัง แผ่นเกราะด้านหน้าสามารถเปิดออกเพื่อใช้สวม
ชุด เกราะแบบนี้เรียกว่าTanko
นัก รบสมัยยาโยอิ
สมัย โคฟุน(ค.ศ.๓๐๐-๗๐๐)ชุมชนที่อยู่บนหมู่เกาะญี่ปุ่นเริ่มมีการรวมตัวกันเป็น ก๊ก
เป็นเหล่า มีการรบพุ่งเพื่อขยายดินแดนออกไป เกิดเป็นแคว้นน้อยใหญ่ขึ้นหลายแคว้น สำหรับแคว้นที่มีอำนาจและมีอิทธิพลมากที่สุดนั้นคือแคว้นยามาโตะ
ปฐม จักรพรรดิ พระเจ้าจิมมุ เทนโน
ลักษณะของชุดเกราะญี่ปุ่น ในระยะนี้ ทำจากโลหะเช่นเดียวกับสมัยยาโยอิ แต่เริ่ม
ปรากฏชุดเกราะรูป แบบใหม่ขึ้นมา โดยรับอิทธิพลมาจากแผ่นดินใหญ่ เป็นเกราะที่
ผลิตจากโลหะ แผ่นเล็กหลายๆชิ้นร้อยด้วยเชือกเข้าด้วยกัน(Lamellar) แต่รูปทรงยัง
คง คล้ายกับชุดเกราะที่นิยมใช้กันก่อนหน้านี้เรียกว่า Keiko
ตุ๊กตา ดินเผาฮานิวะ
สมัย นารา(ค.ศ.๗๑๐-๗๙๔)เป็นช่วงที่มีการตั้งเมืองหลวงถาวรครั้งแรกที่เมืองนารา
ซึ่ง วางผังตามแบบเมืองฉางอันของจีนสมัยราชวงศ์ถัง ญี่ปุ่นในสมัยนี้มีการติดต่อกับจีนอย่างมาก
ภาพตุ๊กตาดินเผา แสดงถึงรูปแบบของเกราะในยุคนั้น
เกราะ ญี่ปุ่นในสมัยนารายังคงเป็นแบบ Tanko และ Keiko แต่มีการพัฒนารูปแบบ
ของ หมวกศึก โดยมีชิ้นส่วนกระบังหู มีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเรียกว่าfukigaeshi
ซึ่งส่งอิทธิพลต่อเกราะ ญี่ปุ่นยุคหลังๆต่อไปด้วย
ภาพเกราะสมัยนารา
เกราะ สมัยนาราอีกแบบหนึ่ง
สมัยเฮอัน(ค.ศ. ๗๙๔-๑๑๘๕)ช่วงสมัยนี้ จักรพรรดิค่อยๆมีอำนาจทางการเมืองลดลง
โดยตระกูล ฟูจิวาระเริ่มมามีบทบาทในราชสำนักแทน ช่วงปลายสมัยเฮอัน เริ่มมีการ
แข่ง อิทธิพลระหว่างนักรบจากสองตระกูลใหญ่คือ ไทระ และ มินาโมโตะ โดย
สงคราม ระหว่างตระกูลครั้งแรกนั้น ฝ่ายไทระชนะศึกทำให้ได้เข้ามามีอำนาจแทนที่
ตระกูล ฟูจิวาระ แต่ต่อมาภายหลัง ฝ่ายมินาโมโตะได้หวนกลับมาล้างแค้น และได้ชัย
ชนะ ในสงครามที่ดันโนะอุระ
ขุนศึกสมัยเฮอัน
เกราะ นักรบญี่ปุ่นสมัยเฮอัน เริ่มปรากฏแผงกำบังไหล่(sode) มีการพัฒนารูปแบบ
เกราะ สำหรับทหารม้า กลายเป็นเกราะแบบที่เรียกว่า O-yoroi และแบบDomaru
สำหรับ ทหารราบ
O-yoroi
Domaru
ไพร่ พลสวมเกราะDomaru
สมัยคามาคุระ(ค.ศ. ๑๑๘๕-๑๓๓๓)หลังจากตระกูลมินาโมโตะได้ชัยชนะ
มินาโมโตะ โยริโตโมะ ได้สถาปนาตนเป็นโชกุน(แม่ทัพสูงสุดผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน)
คนแรกโดยมี กลุ่มขุนศึกที่เรียกว่า"ซามูไร"เป็นกำลังหลักในการรักษาฐานอำนาจ
แต่ต่อ มา ตระกูลโฮโจก็ได้เข้ามามีอำนาจแทนที่ฝ่ายมินาโมโตะ
รูปแบบของเกราะ ในสมัยคามาคุระตอนต้นยังคงมีลักษณะแบบเดียวกับในสมัยเฮอัน
ต่อ มาจึงเริ่มมีการใช้ปลอกแขน(Kote)สวมแขนทั้งสองข้าง จากแต่เดิมที่จะสวม
เพียง ข้างเดียว และมีการใช้โซ่เหล็กถักเป็นสวมประกอบในชุดเกราะ
นอกจากนี้ยัง มีการเพิ่มเกราะส่วนแผงกันขา(Haidate)อีกด้วย
เกราะ สมัยคามาคุระ
ค.ศ.๑๒๗๔ และ๑๒๘๑ ทัพมองโกลของกุบไลข่านยกพลมาตีญี่ปุ่น แต่ก็ต้องถอย
กลับไป เพราะประสบกับพายุไต้ฝุ่น(คนญี่ปุ่นเรียกพายุนี้ว่า"คามิกาเซ่")
ซามูไร เตรียมรับศึกที่อ่าวฮากาตะ เกาะคิวชู
ปลายสมัยคามาคุระ ทางราชสำนักนำโดยพระจักรพรรดิโกไดโง ได้แข็งขืนต่อ
อำนาจโชกุน ซึ่งทางโชกุนโฮโจได้ส่งแม่ทัพชื่ออาชิกางะ ทาคาอุจิไปปราบปราม
แต่ปรากฏ ว่าทาคาอุจิกลับไปเข้าฝ่ายจักรพรรดิและโค่นอำนาจโชกุนตระกูลโฮโจลง
ได้ สำเร็จ จึงทำให้ราชสำนักกลับมามีอำนาจการเมืองอีกครั้ง แต่ทว่าในภายหลัง
ทา คาอุจิได้ตั้งตนเป็นโชกุนเสียเอง และปลดจักรพรรดิโกไดโงลงจากราชบัลลังก์
อา ชิกางะ ทาคาอุจิ
สมัยมุโรมาจิ(ค.ศ. ๑๓๓๓-๑๕๖๘)จัดเป็นยุคสมัยแห่งความวุ่นวาย โชกุนไม่อาจ
ปกครองบ้านเมือง ได้ เหล่าไดเมียว(เจ้าเมือง)ต่างสั่งสมกำลัง รบพุ่งกันเพื่อแย่งชิง
ความ เป็นใหญ่ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดจนได้ชื่อว่าเป็นยุคแห่งสงคราม
กลาง เมือง (sengoku)
เริ่มมีการนำเข้าอาวุธยุทธภัณฑ์จากตะวันตกเช่น ปืนไฟ และเกราะ
เหล็กแบบตะวันตก
ช่วงสมัยนี้ เป็นช่วงที่เกราะญี่ปุ่นมีการพัฒนารูปแบบมากขึ้น
มี เกราะแบบใหม่เรียกว่า Haramaki
ซึ่งคล้ายกับเกราะDomaru แต่เปิดทางด้านหลังเพื่อสวม
เกราะNanban gusoku ที่ได้รับอิทธิพลมาจากเกราะเหล็กแบบยุโรป
สมัย อะซึจิ-โมโมยามะ(ค.ศ.๑๕๗๓-๑๖๐๓)
โอดะ โนบุนากะ ตั้งตนเป็นใหญ่ โดยสามารถโค่นโชกุนตระกูลอาชิกางะได้สำเร็จ
และ เริ่มต้นปราบปรามก๊กต่างๆเพื่อรวมญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่ง แต่ก็เสียชีวิตลงเสียก่อน ซึ่ง
ต่อมาโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ แม่ทัพคู่ใจของโนบุนากะ เป็นผู้ที่ทำสำเร็จในที่สุด
โดยหลังจากการรวม ประเทศได้ ก็เริ่มมีการมองไปยังแผ่นดินใหญ่ ในค.ศ.๑๕๙๒
โทโยโทมิ ฮิเดโยชิได้ส่งทัพบุกโชซอน(เกาหลี)เพื่อเป็นฐานกำลังในการโจมตี
ต้าหมิ ง(จีน) แต่ต้องพบกับการต่อต้านจากฝ่ายโชซอนอย่างหนัก จนต้องถอนทัพ
กลับ ในที่สุด
หลังจากโทโยโทมิ ฮิเดโยชิเสียชีวิต ได้เกิดการแย่งชิงอำนาจกันในหมู่ไดเมียว
และซามูไร เกิดเป็นสงครามครั้งใหญ่ โดยในค.ศ.๑๖๐๐ สงครามที่ทุ่งเซกิงาฮาระ
โดย ฝ่ายของโทกุงาวะ อิเอยาสึได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด
เกราะญี่ปุ่นในช่วงนี้จะ มีลักษณะที่รัดกุม กระชับกับตัวผู้สวมมากขึ้น
หมวกเกราะมีกระบังที่สั้น ลงเพื่อให้เอี้ยวคอได้สะดวกขึ้น
นอกจากนี้ยังลดขนาดชิ้นส่วนแผงกำบังไหล่ ลงอีกด้วย
เกราะรูปแบบดังกล่าวเรียกว่า Tosei gusoku (เกราะแบบใหม่)
ชุด เกราะของซามูไรระดับสูงจะมีการตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม
และนอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงกำลังพลแบบใหม่ โดยอาศัยพลเดินเท้า
ที่เรียกว่า"อาชิงา รุ"
เสื้อ เกราะของไพร่พลอาชิงารุ
สมัย เอโดะ (ค.ศ.๑๖๐๐-๑๘๖๘)
โทกุงาวะ อิเอยาสึได้รับการสถาปนาเป็นโชกุน และย้ายเมืองหลวงมาที่เมืองปากน้ำ
เอโดะ(โตเกียว) ในช่วงเวลาดังกล่าว ได้มีการแบ่งชนชั้นอย่างชัดเจน โดยอนุญาต
ให้เฉพาะชนชั้นซามูไรเท่านั้น ที่จะมีสิทธิพกพาดาบได้ และนอกจากนี้ ยังได้มีการ
ประกาศนโยบายปิดประเทศ เพื่อป้องกันภัยที่มาจากภายนอกอีกด้วย
ซามูไรสมัยเอโดะ
---------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------
ส่วน ประกอบหลักของเกราะญี่ปุ่น
หมวก(Kabuto)
เกราะลำตัว(Do) และแผงห้อยเชิง(KusaZuri)ซึ่งมักจะอยู่ด้วยกัน
แผงกำบังไหล่(Sode)
ปลอกแขน (Kote)
แผงชายแครง (Haidate)
สนับขา(Suneate)
การสวมเกราะ
การ ใช้เกราะในหมู่นักรบญี่ปุ่นไม่ได้มีแต่กลุ่มซามูไรเท่านั้น
แต่ยังใช้ใน พวกนินจาอีกด้วย โดยเกราะของนินจานั้นจะเน้นความเบา
และคล่องตัวกว่า ซามูไร
ชุดเกราะชาวไอนุ ชนเผ่าทางเหนือของญี่ปุ่น
เรียก อีกชื่อหนึ่งว่า เอมิชิ, เอโสะ เคยรบราขับเคี่ยวกับซามูไรญี่ปุ่นมาแต่โบราณ
ชุด เกราะนักรบอาณาจักรริวกิว(ปัจจุบันคือจังหวัดโอกินาวะของญี่ปุ่น)
โปรด สังเกตว่ามีรูปแบบค่อนข้างคล้ายกับชุดเกราะจีนอย่างมาก
Ryukyu armour
ภาย หลังจากการถูกบังคับให้เปิดประเทศ
ญี่ปุ่นได้เริ่มพัฒนาชาติในด้านต่างๆ ตามแบบตะวันตก
ชนชั้นซามูไรถูกยกเลิก และหันมาใช้ระบบการทหารแบบฝรั่งแทน
ความ จำเป็นในการสวมชุดเกราะออกศึกจึงหมดไปในที่สุด
+++++++++++++++++++++++++++
CREDIT :หนังสือ
-ญี่ปุ่นสร้างชาติด้วยความรักและภักดี
-อาณาจักรโชกุน แหล่งกำเนิดซามูไร
-The Book of The Samurai
-Oriental Armour
CREDIT :เว็บไซด์
-http://www.sengokudaimyo.com/katchu/katchu.html
-http://www.mythbbs.net/BBS/viewthread.php?tid=3620
-http://www.myarmoury.com/feature_jpn_armour.html
และ เว็บบล็อกคุณอัศวินอโยธยาครับ ขอบคุณมากๆเลยเพื่อน
-http://writer.dek-d.com/Ayothaya_knight/story/view.php?id=298414
++++++++++++++++++++++++++++