เจียงซือ เชื่อว่าเป็นผีดิบที่ไม่เน่าเปื่อยและแค่อาศัยนอนหลับอยู่ในโลงศพหรือถ้ำหรื่อที่ที่ไร้แสงอาทิตย์ในตอนกลางวัน
และในเวลากลางคืนจะออก หากินด้วยการดูดเลือดของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ด้วยการกระโดด เจียงซือมีผิวที่ขาวซีดและมีขนยาว ซึ่งเกิดจากเชื้อรา ที่เจริญเติบโตบนร่างกายของมัน แต่ถ้าเจียงซือกระโดดข้ามกระสอบข้าว จะก้มลงนับเมล็ดข้าวทุกเมล็ด ซึ่งวิธีป้องกันเจียงซือ บางครั้งจะใช้การโปรยเมล็ดพืชหรือข้าวไว้ตามทางเดินหรือหลังคาบ้าน เพื่อถ่วงเวลาให้เจียงซือนับเมล็ดข้าวจนถึงเช้า
แท้จริงแล้ว เจียงซือ เป็นความเชื่อในทางไสยศาสตร์ของลัทธิเต๋าหรือเหมาซาน ชาวจีนมีความเชื่อว่า เมื่อมีผู้ตายลง ศพจะต้องถูกฝังในบ้านเกิด ในสมัยโบราณการคมนาคมเป็นไปอย่างลำบาก นักบวชในลัทธิเหมาซาน จึงทำพิธีปลุกศพให้ลุกขึ้นมากระโดดตามตัวเป็นขบวน โดยมีการการสั่นกระดิ่งเป็นเครื่องให้จังหวะ ซึ่งถือว่าเป็นพิธีลับห้ามให้ผู้คนทั่วไปเห็น ซึ่งวิธีการเช่นนี้เป็นที่นิยมกระทำในเขตปกครองตนเองชนชาติถูเจีย-แม้ว เซียงซี (อยู่ทางทิศตะวันตกของมณฑลหูหนาน) เรียกว่า “การขนศพในเซียงซี”) ถือเป็นคำบอกเล่าหรือความเชื่อประการหนึ่งในท้องถิ่น
ในหนังสือที่แต่งจากการคำบอกเล่านี้ ชื่อ The Corpse Walker ของเหลียว ยี่วู่ ระบุว่า พิธีนี้จะกระทำกัน 2 คน โดยผู้กระทำจะสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่คลุมตัวไว้ทั้งหมด และแต่งตัวศพด้วยชุดคลุมสีขาวและคลุมศีรษะด้วยผ้าคลุม พร้อมกับใช้โคมไฟเป็นเครื่องนำทาง ขณะที่ออกเดินจะร้องบอกเตือนอยู่เป็นระยะ ๆ ว่า ให้ระวังอุปสรรคต่าง ๆ ที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งพิธีนี้จะกระทำกันในเวลากลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงการมีผู้พบเห็นและสภาพอากาศที่เย็นเหมาะกับการกระทำ ซึ่งศพของผู้ตายจะมองไม่เห็นผู้นำทางเนื่องจากถูกปิดบังไว้ด้วยเสื้อคลุม
อย่างไรก็ตาม มีผู้แย้งว่า แท้จริงแล้วเรื่องเจียงซือหรือพิธีขนศพนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งขึ้นมาของขบวนการขนย้ายหรือลักลอบขโมยศพแบบผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นไปได้ว่าการที่เห็นเป็นศพกระโดดเป็นขบวน คือ การที่มัดศพกับท่อนไม้ไผ่ต่อ ๆ กัน หรือแบกขึ้นหลัง
นอกจากนี้แล้ว ในหมู่บ้านในชนบทที่ห่างไกลของอินโดนีเซีย มีประเพณีการฝังศพที่เชื่อว่า จะให้ผู้ตายเดินกลับมาฝังศพตัวเองในบ้านเกิด หากเป็นกรณีที่ผู้ตาย เสียชีวิตในที่ห่างไกลจากบ้านเกิด จะทำการฝังไปก่อน เมื่อผ่านไปหลายปี ญาติ ๆ จะขุดศพขึ้นมาแต่งตัวให้เหมือนยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีการคลุมหน้าศพ และทำพิธีปลุกให้ศพเดินกลับบ้านเอง โดยเลือกเส้นทางที่เงียบที่สุด มีข้อห้าม คือ ห้ามแห่หรืออุ้มศพเป็นอันขาด หากใครไม่ปฏิบัติตามก็จะเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ทำพิธีกรรมนี้ บอกว่าแท้จริงแล้ว ก็เป็นญาติของผู้ตายนั้นเป็นผู้อุ้มศพเอง