กลางดึกในย่านบรองซ์ของมหานครนิวยอร์ค ดอนน่า ลอเรีย สาวน้อยวัย 16 ปี กำลังนั่งคุยกับเพื่อนชายอยู่ในรถ จู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งเดินตรงมาหาแล้วชักปืนออกมากระหน่ำยิงใส่เธอถึง 5 นัด เลือดของดอนน่า ลอเรีย กระจายไปทั่วทั้งรถ เธอขาดใจตายทันที ในขณะที่เพื่อนชายได้รับบาดเจ็บสาหัส...นั่นคือเหยื่อคนแรกที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับความบ้าคลั่งของเดวิด เบอร์โควิทซ์ ฆาตกรต่อเนื่องที่มุ่งฆ่าหญิงสาวโดยเฉพาะ
ในตอนแรกตำรวจเชื่อว่าคดีนี้น่าจะเป็นฝีมืออันธพาลประจำถิ่น เพราะย่านบรองซ์ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความโหดเถื่อน มีเหตุตีรันฟันแทงกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่อีกสามเดือนต่อมาก็เกิดเหตุการณ์เดียวกันขึ้นกับ โรสแมรี่ คีแกน ซึ่งกลับจากงานปาร์ตี้พร้อมเพื่อนชาย ก่อนที่ทั้งสองจะลงจากรถ ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วจ่อยิงเขาไปในระยะเผาขน เพื่อนชายของโรสแมรี่ถูกยิงเข้าที่ศรีษะ ส่วนโรสแมรี่รอดคมกระสุนไปได้อย่างปาฏิหาริย์ เธอจึงตัดสินใจเหยียบคันเร่งพารถหนีฆาตกรทันที
ต่อมาในตอนค่ำวันที่ 26 พฤศจิกายน 1976 ดอนน่า เดมาซี่ และเพื่อนสาว โจแอนน์ โลมิโน ถูกชายคนหนึ่งที่ทำทีเข้ามาถามทางเปิดฉากกราดยิงใส่ ดอนน่าบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนโจแอนน์โชคร้ายกระสุนพุ่งเข้าเจาะกระดูกสันหลัง ต้องกลายเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต จากนั้นอีกหนึ่งเดือนต่อมา เศรษฐีนีสาว คริสติน ฟรอยด์ก็ถูกยิงตายในลักษณะเดียวกัน คือไม่รู้ที่มาที่ไปคนร้าย ไม่มีเหตุจูงใจ และไม่มีใครได้รับผลประโยชน์จากการตายของเธอ ทุกคดีมีความคล้ายกัน ทำให้ตำรวจจับทางได้ว่ามหานครนิวยอร์กกำลังเผชิญหน้ากับฆาตกรต่อเนื่องเข้าให้แล้ว
สามเดือนหลังจากคดีของคริสติน่า ในเย็นวันอังคารที่ 8 มีนาคม 1977 ระหว่างที่เวอร์จิเนีย วอสเคอริเชี่ยน นักศึกษาสาวชาวบัลแกเรียกำลังเดินกลับบ้านตามปกติ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินสวนมา พอได้ระยะประชิด ชายแปลกหน้าก็ชักปืนจ่อยิงที่หัวของเธอทันที เวอร์จิเนียรีบยกหนังสือขึ้นบังตามสัญชาตญาณ แต่กระสุจก็พุ่งทะลุหนังสือเล่มหนาเจาะเข้ากลางหน้าผากจนเวอร์จิเนียล้มลงขาดใจตายคาที่ ในตอนหน้าสิ่วหน้าขวานนั้นเอง บังเอิญฝั่งตรงข้ามมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านมา แต่แทนที่ฆาตกรจะสาดกระสุนใส่เขาเหมือนที่ทำกับเวอร์จิเนีย คนร้ายกลับยิ้มให้แล้วทักหน้าตาเฉยว่า "สวัสดี" เหตุการณ์นี้ทำให้ตำรวจมั่นใจว่าคนร้ายจะเลือกฆ่าเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น พยานผู้เห็นเหตุการณ์ได้บรรยายรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายอย่างละเอียด จนพอจะจินตนาการออกว่าเจ้าฆาตกรต่อเนื่องน่าจะเป็นชายผิวขาว อายุประมาณ 25-30 ปี สูงประมาณ 6 ฟุต รูปร่างสันทัด และมีผมสีเข้ม แต่นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีใครให้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ได้อีกเลย
ข่าวฆาตกรต่อเนื่องออกอาละวาด สร้างความหวาดผวาและลุ้นระทึกไปทั่วนิวยอร์ค แต่ไปๆ มาๆ คนที่ลุ้นที่สุดกลับเป็นตัวฆาตกรเอง เมื่อรออยู่นานตำรวจก็ยังไม่สาวมาถึงตัวสักที ฆาตกรร้ายก็หมดความอดทนจึงลงมือสังหารโหดอีกครั้งในวันที่ 17 เมษายน 1977 และทิ้งจดหมายท้าทายแนบทิ้งไว้กับศพของเหยื่อว่า "ผมรู้สึกเจ็บปวดที่พวกคุณบอกว่าผมเกลียดผู้หญิง เปล่าเลยผมไม่ใช่สัตว์ร้าย ผมเป็นเพียงลูกชายของแซม เมื่อไหร่ก็ตามที่แซมดื่มหนักเขาจะร้ายกาจมาก เขาจะตบตีครอบครัว บางครั้งก็จะจับผมมัดไว้หลังบ้านหรือไม่ก็โรงรถ แซมชอบดื่มเลือด เขาจึงสั่งให้ผมออกไปหาเลือดให้ อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะหยุดผม พวกคุณต้องฆ่าผมเสีย ฟังให้ดีพวกตำรวจ ยิงผมเสียหรือไม่ก็ไสหัวไปให้พ้นทางผม
จดหมายฉบับนี้ถูกตำรวจเก็บเงียบเป็นความลับ แต่ไม่นานจดหมายอีกฉบับที่มีเนื้อหาคล้ายกันก็ถูกส่งไปยังนักข่าวหนังสือพิมพ์ ทำให้ชาวนิวยอร์คได้รับรู้ถึงความบ้าของฆาตกรกันถ้วนหน้า ขณะเดียวกันการฆ่าต่อเนื่องก็ยังดำเนินไปไม่ขาดสาย เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 1977 เวลาตีสาม จูดี้ พลาซิโด และเพื่อนชาย ซาลวโตเร ลูโป ถูกกระสุนปริศนา 4 นัดยิงเข้าใส่หลังจากกลับจากดิสโกในย่านควีนส์ ทั้งคู่โชคดีที่เพียงแค่บาดเจ็บสาหัส แต่ก็รอดมาได้หลังจากรักษาตัวกันอยู่นาน
31 กรกฎาคม 1977 เวลาเช้าตรู่ สเตซี่ มอสโกวิทซ์ กับแฟนหนุ่ม บ๊อบบี้ ไวโอเลนเต ถูกยิงระหว่างกำลังจู๋จี๋กันอยู่ในรถ สเตซี่ตายทันที ส่วนบ๊อบบี้แม้จะรอดชีวิตมาได้แต่ก็ต้องเสียตาข้างซ้ายไปข้างหนึ่ง ความอุกอาจของฆาตกรทำให้ความหวาดกลัวยิ่งกระจายตัวออกปกคลุมนิวยอร์ค แต่ไม่ว่าฆาตกรจะเก่งแค่ไหน ถ้าลงมือสำเร็จหลายครั้งติดต่อกันแล้ว คนร้ายก็มักจะชะล่าใจจนทำผิดพลาดเสมอ ตอนลงมือฆ่าสเตซี่ คนร้ายย่ามใจขนาดหนักจนไม่รอให้มืดก่อนอย่างทุกที หญิงวัยกลางคนชื่อ คาซซิลเลีย เดวิส เพื่อนบ้านของสเตซี่จึงแอบเห็นหน้ามือปืนได้ถนัดตา
คาซซิลเลียเล่าว่าเธอประจวบเหมาะเดินสวนกับคนร้าย แต่พอเห็นปืนในมือเขา เธอก็รีบหลบเข้าบ้านแทบไม่ทัน จากนั้นพอเสียงปืนดังขึ้น คาซซิลเลียก็รีบไปแอบมองทางหน้าต่างก็ได้เห็นชายคนเดิมกำลังดึงใบสั่งจราจรออกจากหน้ารถแล้วขับหนีไป พอได้เงื่อนงำสำคัญ ตำรวจจึงรีบติดต่อไปที่สำนักงานจราจรให้ค้นหาว่ามีใครถูกออกใบสั่งในวันเวลานั้นบ้าง และใบสั่งใบนั้นนั่นเองที่เป็นจุดจบของ "เดวิด เบอร์โควิทซ์" ปีศาจฆาตกรนักฆ่าต่อเนื่องแห่งนิวยอร์ค
เดวิด เบอร์โควิทซ์ เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกสองสามีภรรยาชาวยิว เน็ต และเพิร์ล เบอร์โควิทซ์ รับไปอุปการะ เขาเติบโตขึ้นมาในสภาพที่รู้ดีว่าตัวเองเป็นลูกกาฝาก เดวิดจึงเป็นเด็กก้าวร้าว อารมณ์ร้าย ชอบตัดสินปัญหาด้วยกำลัง ขณะเดียวกันก็รักและบูชาพ่อแม่ยุญธรรมสุดหัวใจ ถ้าหากเน็ตและเพิร์ลยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตของเดวิดก็อาจไม่ต้องเป็นอย่างนี้ แต่โชคร้ายที่เพิร์ลตายไปเสียก่อนด้วยโรคมะเร็งทรวงอกในปี 1967 ส่วนเน็ตก็แต่งงานใหม่ ทำให้เดวิดหมดที่พึ่งทางใจ กลายเป็นเรือที่ไร้หางเสือจะควบคุมชีวิตตนเอง
ในปี 1971 เดวิดถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร เขาจึงได้มีโอกาสฝึกใช้อาวุธปืน และได้ชื่อว่าเป็นนักแม่นปืนมือฉมัง เป็นไปได้ว่าการเห็นเป้านิ่งแหลกกระจุยคามืออาจไปกระตุ้นจิตใต้สำนึกแห่งการฆ่าของเดวิดขึ้นเงียบๆ ยิ่งไปกว่านั้นหลังปลกประจำการ โชคชะตาก็ชักำาให้เขาได้เจอกับแม่ที่แท้จริงและพี่สาวต่างพ่อเข้า ทั้งคู่พยายามเข้ามาดูแลชดเชยเวลาที่หายไปให้เขาอย่างสุดความสามาถ แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว จิตใจของเดวิดซึ่งชอกช้ำกับการล้อเลียนถูกด่าว่าเป็ยลูกที่ถูกทิ้งมาตั้งแต่จำความได้ ไม่สามารถให้อภับมารดาบังเกิดเกล้า ยิ่งแม่ทำดีกับเขาเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเกลียดเธอ เกลียดพี่สาว และสุดท้ายก็เกลียดชังผู้หญิงทั้งโลก
ความเกลียดที่สุมอยู่ในอกกระพือแรงขึ้นทุกวัน จนเดวิดแทบจะทนความบ้าคลั่งของมันไม่ไหว ครั้งหนึ่งเขาต้องเขี่ยนไประบายความอัดอั้นกับเน็ต ส่วนในห้องพักของเขาเองมีลายมือเจ้าตัวเขียนไว้ลวกๆ บนกำแพงว่า "ในความกระหายเลือด ผมอยากจะฆ่าใครสักคน ผมอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเพื่อฆ่าให้สิ้นซาก"
ปฏิบัติการสังหารของเดวิดเกิดขึ้นครั้งแรกในวันคริสต์มาสปี 1975 เขาซื้อมีดล่าสัตว์มาเล่มหนึ่ง ตระเวนขับรถไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความเงียบของราตรีกาล จนกระทั่งเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากร้านขายของชำ เขาก็ตรงเข้าไปแทงเธอทางด้านหลัง จากนั้นก็ขับรถต่อไป พอเจอเหยื่อรายที่สองก็ลงมือเหมือนกับรายแรก เหยื่อสาวทั้งสองคนนี้ไม่ถึงกับตาย แต่การได้เห็นเลือดสดๆ ได้มองเธอร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดก็ทำให้เดวิดสบายใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เดวิดเสพติดความรู้สึกนี้เข้าเต็มเปา เขาจึงลงมือล่าอย่างจริงจังโดยหันไปยึดอาชีพขับรถแท๊กซี่ เพื่อจะได้ตระเวนหาเหยื่ออย่างไม่ผิดสังเกต เขาเพลิดเพลินกับการฆ่าเสียจนตั้งใจว่าจะทำไปตลอดชีวิต ถ้าไม่ถูกจับตัวได้เสียก่อน ก็คงมีหญิงสาวอีกหลายสิบรายต้องสังเวยชีวิตให้กับผู้ร้ายเลือดเย็นคนนี้
หลังจากถูกจับ เดวิดไม่ถูกประหารชีวิตอย่างที่ทุกคนเข้าใจ เพราะคณะลูกขุนเชื่อว่าเขามีอาการป่วยทางจิต อย่างไรก็ตามเขาถูกตัดสินจำคุกถึง 365 ปี ระหว่างอยู่ในเรือนจำเดวิดได้เขียนหนังสือถ่ายทอดประสบการณ์จริงออกมา ซึ่งก็ติดอันดับหนังสือขายดี ทำเงินให้เขาถึง 200,000 ดอลลาร์ (6,000,000 บาท) เลยทีเดียว