read:http://petmaya.com/great-fire-of-meireki
กิโมโน คือชุดแต่งกายของชาวญี่ปุ่นโบราณ โดยมีลักษณะเป็นชุดคลุมแขนยาวลวดลายสวยงาม ซึ่งในอดีตผู้คนมักจะใส่กันเป็นเรื่องปกติ แต่ปัจจุบัน ชุดกิโมโน จะถูกนำมาใส่ในงานพิธีที่เป็นทางการเท่านั้น ซึ่งวันนี้เพชรมายาไม่ได้มานำความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับกิโมโนมาบอกเล่าให้ทุกคนฟัง แต่นี่คือเรื่องของ “กิโมโนต้องสาป” ที่เป็นต้นเหตุให้ชาวญี่ปุ่นต้องตายนับไม่ถ้วน
เรื่องราวของกิโมโนต้องสาปนี้ เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์เมเรกิ เมื่อเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับเด็กสาว 3 คน ที่เสียชีวิตก่อนที่จะได้สวมชุดกิโมโนตัวหนึ่ง จนในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าใส่กิโมโนตัวนี้ และมันถูกขนานนามว่าเป็น “กิโมโนต้องสาป"
วันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 1657 พระรูปหนึ่งได้รับมอบหมายให้เผากิโมโนตัวนี้ (สาเหตุไม่แน่นอนว่าเป็นการทำลายอาถรรพ์หรือสวดส่งวิญญาณ) แต่ดูเหมือนว่าความน่ากลัวของกิโมโนต้องสาปไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เพราะทันทีที่เปลวไฟลุกโชติช่วง ก็เกิดลมพัดรุนแรงจนทำให้สะเก็ดไฟจากกิโมโนปลิวไปทั่ว จนไปติดโบสถ์ของวัดฮงเมียวที่ทำจากไม้ และหลังจากนั้นไฟก็เผาทำลายวัดจนไม่เหลือและลุกลามต่อไปจนไม่สามารถหยุดยั้งได้
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเมืองเอโดะ (ปัจจุบันคือโตเกียว) ซึ่งบ้านเรือนผู้คนส่วนใหญ่ในสมัยนั้นทำจากไม้และกระดาษ และถนนระหว่างบ้านเรือนก็ค่อนข้างแคบ เมื่อสะเก็ดไฟถูกลมพายุพัดปลิวไปอีก ทำให้คราวนี้ เปลวไฟได้โหมกระหน่ำทั้งเมืองเอโดะ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ถูกเรียกว่า “มหาอัคคีภัยแห่งเมเรกิ”
ถึงแม้ในเอโดะเองจะมีหน่วยดับเพลิงที่เพิ่งก่อตั้งมา 21 ปีก่อนหน้านี้ แต่นั่นก็ไม่เพียงพอต่อเปลวไฟขนาดใหญ่ที่ลุกลามไปทั้งเมือง
จนถึงเย็นวันที่ 2 ลมได้เปลี่ยนทิศ และพัดเอาไฟจากทางใต้ลามกลับเข้ามายังใจกลางเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทโชกุน ที่ปัจจุบันเรียกว่า “พระราชวังอิมพีเรียลโตเกียว”
แน่นอนว่าบ้านเรือนของผู้คนและผู้รับใช้โชกุนที่อยู่รอบนอกเสียหายจนหมด ปราสาทบางส่วนถูกไฟไหม้จนพังทลาย มหาอัคคีภัยได้ลุกลามเผาทำลายเมืองเอโดะเป็นเวลา 3 วันเต็ม บ้านเมืองถูกไฟเผาทำลายไปถึง 60-70% และมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้มากกว่า 100,000 คน
นี่อาจเป็นอาถรรพ์ของกิโมโนต้องสาป หรืออาจเป็นเพียงแค่เหตุบังเอิญก็เป็นได้ แต่มันก็ได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมไฟไหม้ที่ร้ายแรงทีสุดในญี่ปุ่น และถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ไฟไหม้ที่รุนแรงที่สุดในโลกไม่แพ้ไฟไหม้ในกรุงลอนดอนในปี 1666 และไฟไหม้กรุงโรมในศตวรรษที่ 1 เท่าเลยทีเดียว
ที่มา เพชรมายา