ปรากฏการณ์ลึกลับ Raining-Animals



ในช่วงทศวรรษที่ 19 ชาร์ลส์ ฟอร์ท (Charles Fort) คน อเมริกันได้คนบันทึกรายงานเรื่องราวแปลกๆ  แบบนี้เอา ไว้มากมาย ผลงานตีพิมพ์เป็นหนังสือออกมาก็หลายเล่ม แต่เล่มที่โด่งดังที่สุดคือ The Book of the Damned หรือ ที่รู้จักกันในชื่อฟอร์เทียน่า (Forteana) ซึ่งเป็น หนังสือที่รวบรวมเหตุการณ์การประหลาดต่างๆ เอาไว้เพียบ เช่น ฝนกบ ฝนปลา ฝนเมล็ดพืช ฯลฯ(เสริมนัดหน่อย ความจริงThe Book of the Damned ยอด ขายประสบผลล้มเหลวนะครับ ด้วยความกดดันฟอร์ทจึงเผาบันทึกกว่า 40000 ชิ้นทิ้ง จากนั้นก็พาภรรยาย้ายไปอยู่ลอนดอนก่อนจะเขียนหนังสืออีกสามเล่มคือ New Land(1921), Lo!(1931), และเล่มสุดท้าย Wild Talents(1932) ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความลึกลับและ ความสามารถของร่างกายคน)

                ดัง นั้นส่วนใหญ่คนจะเรียกฝนกบฝนปลาเหล่านี้ว่า ฟอร์เทียน่า



 เรื่องราวของฝนที่ตกมาเป็นกบเป็นปลานี้มีมา ตั้งแต่สมัยโบราณกาลแล้วนะครับ เมื่อราวๆ ค.ศ. 200 อธาเนียส แห่ง เนาคราตีส ได้รวบรวมงานเขียนของคนยุคโบราณกว่าแปดร้อยคน ไว้ในงานเขียนของเขาที่มีขนาดยาวถึง 15 เล่มในชื่อ “งานเลี้ยงของนักปราชญ์” ในหนังสือเล่มที่ว่ามีเรื่องราวของฝนที่ตกลงมาเป็นสัตว์ด้วย

                ตัวอย่างเช่น ไฟลาร์ตุส ที่บันทึกเหตุการณ์ที่เมืองเปโอเมียและเมืองดาร์ตาเนียเอาไว้ว่ามีฝนกบตกลง มาจากสวรรค์ติดต่อกันอยู่หลายสัปดาห์ ท้องถนนและบ้านเรือนเต็มไปด้วยกบจนชาวเมืองต้องปิดประตูหน้าต่างป้องกันไม่ ให้มันเข้าไปในบ้าน ทำอย่างนี้แล้วยังไม่ได้ผล กบยังคงเข้าไปในบ้านในครัวจนได้ ทำให้ข้าวปลาอาหารเสียหายหมด ประชาชนไม่สามารถใช้น้ำได้ เพราะกบตกลงไปตายในน้ำ ตามท้องถนนเต็มไปด้วยซากกบจนแทบไม่มีที่ย่ำเท้า จนในที่สุดประชาชนต้องทิ้งเมือง เพราะไม่สามารถทนกลิ่นเน่าของซากกบได้

             

สมัย ก่อนนั้นเชื่อว่าสาเหตุที่กบตกลงมาจากฟ้าก็เพราพระผู้เป็นเจ้าเบื้องบนดัน บาลให้ตกลงมาเพื่อลงโทษมนุษย์หรือแสดงเหตุอาเพศ แต่ดูเหมือนฟ้าจะลงโทษมนุษย์บ่อยๆ เหมือนกัน เพราะว่าจากสมัยก่อนและถึงปัจจุบัน เหตุการณ์ที่ว่านี้เกิดขึ้นแทบไม่ขาดสายหลายกรณี เช่น

                -วันที่ 4 สิงหาคม 1838 ชายคนหนึ่งเดินไปถนนทาวเวอร์กรุงลอนดอน เขาได้แลเห็นกบเล็กๆ จำนวนมากหลายสิบตัวอยู่บนทางเท้าและถนน ซึ่งเขาคาดว่ากบเหล่านั้นคงจะตกจากท้องฟ้าพร้อมกับฝนตกหนักเมื่อราวหนึ่ง ชั่วโมงก่อนหน้านั้น โดยข่าวนี้ถูกนำมาเขียนในหนังสือพิมพ์เมอร์เรอร์ของงอังกฤษ

                -ปี ค.ศ.1839 กรุงลอนดอนอีกเช่นกัน ในขณะที่เอ็ดเวิร์ด เจมสส์ นักสัตว์วิทยากำลังเดินเล่นในสวนฟูลแลมของเขา ก็ได้พบกบตัวเล็กๆ กระโดกันไปมาอยู่เป็นจำนวนมาก เขาสังเกตว่าพื้นดินในบริเวณนั้นไม่มีที่ตรงไหนแฉะพอให้ลูกอ๊อตฟักออกมาเป็น ตัวได้ ทางเดียวเท่านั้นที่กบพวกนี้เกิดขึ้นได้คือมาจากท้องฟ้านั้นเอ

                -ใน น.ส.พ.เดลีย์ มิร์เรอร์ ฉบับ 24 ตุลาคม 1981 ก็เขียนไว้ว่า"...สุภาพสตรีสูงอายุท่าน หนึ่งได้แจ้งต่อศูนย์อนุรักษ์ธรรมชาติแห่งเมืองกลอสเตอร์ไชร์ ว่า ในขณะที่ฝนตกหนัก และเธอเดินกางร่มอยู่ริมถนนนั้น ได้มีลูกกบน้อยสีชมพูจำนวนนับร้อย หล่นจากฟ้าตกลงมาบนร่มของเธอ และบนถนนหนทางเกลื่อน จากนั้นมันก็กระโดดเชิ้บๆลงไปในคูนํ้าใกล้ๆ บางตัวก็หายไปในสวนหลังบ้านแถวนั้น แต่ละตัวมีขนาดแค่เล็บหัวแม่มือ เรื่องนี้ผู้สันทัดกรณีเรื่องกบกล่าวว่า มันเป็นกบที่ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด และที่เป็นสีชมพูก็เพราะผิวหนังของมันบางจนเห็นเส้นเลือดฝอยภายในนั้น เอง..."


        

-รายงาน ของ หนังสือพิมพ์เบคฟอร์ดไชร์ไทม์ส ฉบับ 24 ตุลาคม 1982 รายงานการสัมภาษณ์ผู้เห็นเหตุการณ์ฝนประหลาดไว้ว่า มิสซิสวิดา แม็ควิลเลี่ยม อธิบายว่า "อาทิตย์นั้น อากาศชุ่มชื้นมาก มีฝนตกกระหน่ำ ฉันยืนอยู่ที่ระเบียงและมองไปยังกรงแมว ที่หลังคากรงนั้นฉันเห็นตัวอะไรเล็กๆ ดิ้นกระแด่วๆ อยู่หลายตัวคล้ายลูกกบ แล้วฉันก็ต้องตื่นเต้นเมื่อเหลียวมองเห็นเจ้าสิ่งนั้นปรากฏ อยู่เกลื่อนกลาดเต็มไปหมดทั่วทั้งพื้นดิน มันต้องมากับสายฝนอย่างแน่นอน วันรุ่งขึ้นเมื่อฝนหยุดตก ฉันได้ลงไปที่สวนเพื่อตัดหญ้า กลับพบว่าสนามหญ้ามีกบสีเขียวสีดำตัวเล็กๆ เต็มไปหมด รวมทั้งที่ห้อยติดอยู่บนกิ่งไม้พุ่มไม้ด้วย ขนาดของมันราวสามส่วนสี่นิ้ว ฉันกับหลานตัวน้อยๆช่วยกันเก็บเอามันไปปล่อยในสวนหลังบ้านอย่างสนุกสนาน ตลอดฤดูร้อนพวกเราเฝ้าดูแลและทำเพิงบังแดดให้พวกมันได้ อาศัย แต่น่าเสียดายที่ปลายปีก็มีเหลืออยู่แค่ 3 ตัว ซึ่งโตเต็มที่แล้ว..."

                -หรือในข่าวของ น.ส.พ.แคมเดน แห่งรัฐอาร์คันซอ ฉบับวันที่ 2 มกราคม 1973  รายงานว่า"ฤดูร้อนปี 1926 ผมเป็นแคดดี้ประจำสนามกอล์ฟของเมือง ปีนั้นมันแห้งแล้งติดต่อกันยาวนาน หญ้าบนแฟร์เวย์แห้งกรอบเป็นสีนํ้าตาลเลยเชียว พอช่วงบ่ายก็เกิดพายุอย่างกะทันหัน มีทั้งฟ้าร้องและฟ้าผ่าน่ากลัวมาก ฝนซัดกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา พวกเราเห็นกบตัวเล็กๆร่วงพรูลงมา ขนาดของมันเท่ากับเหรียญสลึง พวกมันยังมีชีวิตและกระโดดหย็อง แหย็ง นับเป็นพันๆตัว ผมกับนักกอล์ฟจ้องมองพวกมันอย่างตะลึงพรึงเพริดไม่เชื่อสายตา... ดับบลิว เอ. วอล์เกอร์ รายงาน"

                -แต่กบบางตัวก็โชคไม่ดีพอ เช่นจากปากคำของนายเอฟ. เจ แม็คมานัส แห่งลากูนาบีช,แคลิฟอร์เนีย "...ตอนเป็นเด็กผมอาศัยอยู่ในฟาร์มแห่งหนึ่งในรัฐมินเนโซตา, ผมยังจำได้แม่นเมื่อบังเกิด พายุฝน ท่าทางมันดูรุนแรง เราจึงพากันวิ่งเข้าบ้าน หลังพายุสงบเราออกมา ก็เห็นฝูงไก่ของเรากำลังไล่จิกกินกบตัวน้อยๆ และปลาเยอะแยะที่ดิ้นกระเสือกกระสนอยู่กลางลาน..."
     



จากรายงาน บันทึก กล่าวไว้ว่าสิ่งที่มีการตกลงมาเป็นจำนวนมากไม่ใช่เพียงแค่ปลาอย่างเดียวเท่า นั้นนะครับ หากแต่ยังมีสัตว์อีกหลายชนิด เช่น กบ คางคก หอย จระเข้ ทาก งู อีกทั้งเมล็ดธัญพืชอีกนานาชนิดอีกด้วย เช่น

                -ในปี 1555 โอเลาส์ แมกมุส ของสวีเดนได้บันทึกเรื่องราวของฝนกบ หนู หนอน และก้อนหิน ในหนังสือภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมของสแกนดิเนเวียเอาไว้ โดยฝนที่ประหลาดที่สุดคือเขาเขียนคือฝนเล็มมิง(Lemmming) ที่เกิดขึ้นในแลปป์แลนด์ เล็มมิงเป็นสัตว์จำพวกหนูหางสั้น เป็นสัตว์ที่ชาวบ้ากลัวกันหนักหนาเพราะว่ามันเป็นสัตว์มีพิษ กัดใครอาจเจ็บปวดถึงตาย และเมื่อตกลงมาก็เหมือนกรณีของกบคือข้าวของชาวบ้านเสียหายและซากเน่าของมัน

                   -ใน ปี 1872 ที่เมืองบูคาเรสท์ ( Bucharest ) ในประเทศโรมาเนีย เริ่มจากเมฆฝนที่ครึ้มมาตั้งแต่หัวค่ำ พอเว ลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่งฝนก็ลงกระหน่ำอย่างหนัก หน่วงและท่ามกลางสายฝนอันชุ่มฉ่ำนั้นเองทุกคนในเมืองก็มีอาการขนลุกขนพอง ด้วยความ ขยะแขยงคลื่นเ***ยนไปตามๆกัน เพราะสิ่งที่ตกลงมาพร้อมกับฝนก็คือตัวพยาธิสีดำและน้ำตาลขนาดยาว 3 - 4 มม. นับล้านๆตัว รุ่งเช้าเมื่อ ฝนหยุดตกแล้วทุกคนในเมืองก็พบว่าตามพื้นถนน หลังคาบ้านช่อง แอ่งน้ำ ใบหญ้าเต็มไปด้วยกองทับถมของตัวพยาธิยึกยือเลอะเทอะไป หมด (

                -ในปี 1877 เมืองเมมฟิส ( Memphis ) ฝนตกกระหน่ำอย่างหนักพร้อมกับงูเป็นๆ หลายหมื่นหลายพันตัว เลื้อยกันให้ยั้งเยี้ยไปหมด แต่ยังโชคดีที่เป็นงูขนาดเล็ก ซึ่งพบว่าตัวยาวที่สุดประมาณ 8 - 12 นิ้วเท่านั้น และก็โชคดี ที่ไม่มีใครในเมืองโดนมันกัดเลยสักคน มีแต่ความโกลาหลวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงงูที่ตกลงมามีหลายชนิดทั้งงูทะเล และงูบนบกที่มีอยู่ชุกชุมในภูมิประเทศแถบนั้น

                -ปี 1881 ที่เมือง วอร์เชสเตอร์ประเทศอังกฤษ วันหนึ่งเกิดมีปูและหอยตกลงเรี่ยรายตามท้องถนน

                -เมื่อปี 1930 เมืองวิกส์เบอร์ก ( Vicksburg ) ณ ตำบลโบรีน่า ( Borina ) 8 ไมล์ ห่างจากตัวเมืองในสหรัฐอเมริกา เกิดพายุฝนลูกเห็บตกกระหน่ำอย่างหนัก ชั่วเวลาเพียง 4 - 5 นาที ปรากฏว่ามีเต่าพันธุ์ "Gopher" ( เป็นเต่าขนาดเล็กโตเต็มที่เท่าหนู ) ตกลงมาพร้อมกับลูกเห็บด้วยหลายร้อยตัวกลาดเกลื่อนไปทั่วท้องทุ่ง บางตัวก็ตาย บางตัวก็มีชีวิตอยู่

                -ปี ค.ศ 1945 ที่เมืองมาร์คสวิลล์ รัฐหลุยส์เซียนา สหรัฐอเมริกา ฝนตกลงมาเป็นปลา ซึ่งประชาชนในเมืองนั้นตกใจมาก หลายคนถูกปลาหล่นใส่ มันตกลงมากับฝนเป็นทางยาว 1,000 ฟุต กว้าง 70-90 ฟุต

                -ในปี 1918  ประเทศ อังกฤษ ฝนตามถนนหนทางหลังคาบ้านเรือน โดยฝนนั้นมีแต่ปลาไหลตัวเล็กๆเลื้อยกันให้ยั้วเยี้ยไปหมด ผู้คนต่างวิ่งหนี ร้องกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ และเมื่อนำปลาไหลเหล่านี้ไปวิเคราะห์ก็พบว่ามันเป็นปลาไหลพันธุ์ ( Sand-eel ) ซึ่งเป็นปลาไหลตัวเล็ก ขนาดยาวที่สุด ประมาณ 7 - 8 ซม.

                -ค.ศ. 2000 ที่ประเทศเอธิโอเปียมี รายงานว่ามีปลาตกลงมาจากท้องฟ้านับล้านตัว

 



 คำ ถามที่สงสัยกันก็คงจะไม่พ้นข้อที่ว่า แล้วบรรดาปลาหรือสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นไปอยู่ในอากาศได้ยังไง ? แล้วตกลงมาเป็นฝนได้อย่าง ไร ?

                มี ผู้รู้และผู้สันทัดกรณี รวมทั้งผู้ที่ศึกษาปรากฏการณ์เหล่านี้อย่างจริงจัง โดยทฤษฏีเด่นๆ ก็มีดังต่อไปนี้

                เกิดบนท้อง ฟ้าแล้วตกลงมา คือสัตว์ทั้งหลายนั้นเกิดและโตอยู่บนเมฆหรือท้องฟ้า ซึ้งผู้รู้บอกว่าบนโลกเรามีชั้นบรรยากาศหนึ่งที่อาจมีสิ่งที่ว่าคือ “ทะเลซุปเปอร์ซาร์กัสโซ” ล่องลอยอยู่เหนือโลก วันดีคืนดีกบและปลาอาจตกลงมาผิวโลกก็ได้ ซึ่งแน่นอนทฤษฎีนี้ก็มีคนมาเถียงอีกโดยบอกว่าถ้ามีจริงทำไมเครื่องบินหรือ จรวดไม่เคยเจอทะเลที่ว่านี้ อีกทั้งถ้าสัตว์พวกนี้เกิดบนท้องฟ้าจริงอวัยวะภายในและรูปร่างของมันจะต้อง แปลกกว่าสัตว์ที่โตบนพื้นดิน แต่นี้เวลาผ่าอวัยวะมันดูปรากฏว่าเป็นแค่สัตว์ธรรมดาทั่วไป

                พายุฟัด คือ พายุเฮอร์ริเคน ทอร์นาโด ไต้ฝุ่น ที่หอบเอาบรรดาสารพัดสิ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งบางทีอาจจะจากแม่น้ำลำคลอง คูหนอง คลองบึง ทะเล หรือมหาสมุทรหรือแล้วแต่ทางที่พายุพัดผ่านไป แล้วเมื่อพายุอ่อนกำลังลง บรรดาสารพัดสิ่งที่พายุพัดหอบเอามาด้วย ก็เลยตกลงไปกลายเป็นสารพัดฝนนี่แหละ แน่ นอนก็มีคนมาเถียงอีกว่าพายุที่ไหนที่เลือกพัดหอบเอาแค่กบ หรือเอาแค่ปลา ไปตกที่อื่น ? ในเมื่อพัดสิ่งมีชีวิตใน คลอง ก็น่าจะมีพวกกุ้ง หอยติดมาด้วยสิ แต่นี้ไม่เห็นมีสักอย่าง แถมคลองบ้านไหนกบมีปลาเป็นพันๆ ตัว แถมชนิดเยวกันหมดอีก ช่วยตอบหน่อยเถอะ

                นอกนั้นก็มีทฤษฏีใหม่ๆ มาตั้งอีกครับ เช่น โทรหายระ(teleportartion)คือปรากฏการณ์สัตว์ทั้งหลายอพยพจากพื้นดินไปบน ฟ้า(แล้วมันขึ้นไป อยู่บนท้องฟ้าไงละนี้)

                เรื่อง ราวฝนประหลาดนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ว่าแท้จริงแล้วมันเกิดจากอะไรกันแน่ อาจจะเป็นแค่ความบังเอิญหรือเป็นเพียงปรากฏการณ์จากธรรมชาติธรรมดาๆ เท่านั้น หรือว่า .................................

 

ดัด แปลงเพิ่มเติมโด ยอริสโตเตกิล ปรสิต ปอตุกีส

http://www.mythland.org/html/modules.php?name=Content&pa=printpage&pid=22

 

Credit: http://atcloud.com/stories/84978
27 มิ.ย. 53 เวลา 01:09 5,064 18 206
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...