เมื่อพ่อแม่คู่ หนึ่งหัวใจสลาย และไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
โดยปราศจากลูก น้อยอันเป็นแก้วตา ดวงใจ.......
พวกเขาจึง ตัดสินใจฆ่าตัวตายตามลูกน้อยไป
รอยยิ้มอันสดใสท้าทายกล้องของเด็กน้อยวัยห้าขวบ นามว่า
Sam Puttick ที่มีคุณพ่อนีลชาวอังกฤษวัย 34 ปี และคุณแม่
คาซูมิชาวญี่ปุ่นวัย 44 ปี อยู่เคียงข้าง รอยยิ้มของ พวกเขา
ช่างดู มีความหวัง แม้ว่า พวกเขาจะต้องเผชิญความเจ็บ ปวด
เมื่อแซมลูกชายตัวน้อยต้องโชคร้ายกลายเป็น อัมพาตจาก
อุบัติเหตุรถ ชนกันเมื่อตอนที่ เขาอายุได้เพียง 18 เดือนเท่านั้น
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม รูปนี้ก็ได้ถูกนำขึ้นเป็นโปสเตอร์เพื่อรณรงค์
หาทุนเข้ามูลนิธิวิจัยโรคทางกระดูกสันหลัง และ ด้วยสโลแกนที่ว่า
Our future is his future.... แซมและครอบครัวจึงดูเหมาะสมที่สุด
ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายหวังว่า ผลงานการวิจัยที่ได้ทำการศึกษา
กันอยู่ในขณะนี้ จะช่วยทำให้หนูน้อยแซม และใครๆ อีกหลายคน
ที่ต้องเผชิญความทุกข์จากภาวะพิการนี้ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น และ.....
โดยเฉพาะ นีล กับ คาซูมิ ทั้งคู่หวังเป็นอย่างมาก...ว่า สักวันหนึ่ง
แซมจะได้กลับมาเดิน วิ่งเล่น และใช้ชีวิตเป็นปกติได้อีกครั้งหนึ่ง
Jonathan Miall หัวหน้ามูลนิธิงานวิจัยด้านกระดูกสันหลังกล่าวว่า
ทั้งนีล และ คาซูมิ ให้ความสนับสนุนโครงการวิจัยนี้เป็นอย่างมาก
"ยิ่งเมื่อผมขออนุญาตนำแซมมาเป็นพรีเซนต์เตอร์ เพื่อรณรงค์
ในโครงการดังกล่าว ทั้งคู่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี"
พวกเขามักจะสร้างกำลังใจให้ตัวเองเสมอว่า สักวันความก้าวหน้า
ทางการแพทย์จะทำให้ชีวิตแซมดีขึ้น ดังนั้นเขาจึงทุ่มเทกำลังใจ
ช่วยงานนี้อย่างเต็มที่โดยหวังว่าสักวันหนึ่ง ปาฏิหารย์จะเกิด
แต่แล้ว พวกเขาก็ไม่อยู่รอให้ถึงวันนั้น เมื่อแซมติดเชื้อโรค
เยื่อหุ้มสมองอักเสบในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ ผ่านมา
และทำการรักษาตัวได้เพียงแค่สี่วัน หนูน้อยก็ต้อง
ลาจากโลกนี้ไป แซมจากไปอย่างสงบที่บ้านของ
พ่อแม่เขาในหมู่บ้าน Brokerswood เมือง Wiltshire
จากนั้นสองวันถัดมา พ่อกับแม่ของแซมก็ได้ขับรถตู้
ไปยัง East Sussex ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของพวกเขา
ประมาณ 150 ไมล์ เพื่อฆ่าตัวตายด้วยการกระโดด
หน้าผาที่บริเวณประภาคารของ Beachy Head
(ตามที่เห็นอยู่ในภาพ ข้างบนนี้) พร้อมกับร่าง
อันไร้วิญญาณของหนูน้อยแซมในเป้ใบใหญ่
และตำรวจก็ยังพบว่ามีเป้อีกใบใส่ของเล่นของแซม ซึ่ง
มีรถแทรคเตอร์ของเล่นอันโปรดปรานของแซม(ตามที่
เห็นอยู่ในภาพข้างบน) หล่นอยู่ข้างๆ ศพพวกเขาด้วย
นีลและคาซูมิพบกันที่ทำงานและตกหลุมรักกัน
นีลเรียนจบจากมหาวิทยาลัย Exeter สาขาโบราณคดี
แต่ภายหลังมาทำงานเป็นนักแปล และล่าสุดลาออกมาเป็น
นักออกแบบเวบไซต์ นีลเป็นคนใจดี ใจกว้าง และเป็นผู้ชาย
นิสัยดีมากๆ คนหนึ่ง.....นั่นเป็นนิยาม ที่เพื่อนๆ กล่าวถึงเขา
หลังจากทั้งคู่มีแซม ลูกชายตัวน้อยคนนี้ก็มาเติมเต็มความสุข
ที่มีอยู่แล้วให้สมบูรณ์แบบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พวกเขาอาศัย
อยู่ในบ้านคอทเทจอันสวยงาม โดยมีลำธารที่เป็นบ่อเลี้ยงปลาเทราท์
ไหลผ่านสวนหลังบ้านของพวกเขา ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น
หมู่บ้านที่สวยงามแห่งหนึ่งของอังกฤษ นั่นคือหมู่บ้าน Bratton
ซึ่งอยู่ในเมือง Wiltshire นอกจากนี้เพื่อนบ้านทุกคน ก็ยังยกย่องว่า
พวกเขานับเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และเป็นมิตรกับทุกๆ คนในหมู่บ้านแห่งนี้
เพื่อนบ้านยังยืนยันอีกว่า สองคนนี้รักกันมาก และเมื่อแซมเกิดมา
ดูเหมือนพ่อแม่คู่นี้จะปรีดาเป็นที่สุด วันที่แซมเกิด นีลดีใจมาก
และฉลอง ด้วยการเดินเคาะประตูบ้านเพื่อแจกขนมคุ้กกี้และ
แจ้งข่าวดีนี้ให้กับเพื่อนบ้านทั่วทั้งหมู่บ้าน เลยทีเดียว
หลายต่อหลายครั้งที่เพื่อนบ้านมักจะเห็นนีลพาแซมเดินเล่น
ดูธรรมชาติ ชมนก ชมไม้ ดูเป็ด ดูกระต่าย ไปทั่วหมู่บ้าน
ทำให้แซมเป็นเด็กอารมณ์ดี ร่าเริงแจ่มใส่ ไม่ค่อยร้อง
กวนใจใคร เพราะมีพ่อแม่ดูแลอย่างใกล้ชิดนั่นเอง
แต่ความสุขก็อยู่กับพวกเขาได้ไม่นาน เมื่อวันหนึ่งในเดือน
กรกฎาคม ปี 2005 คาซูมิขับรถพาลูกน้อยไปเยี่ยมเพื่อน และ
เกิดอุบัติเหตุรถชนประสานงากับรถอีกคันหนึ่ง ทำให้แซมได้รับ
บาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง และเป็นอัมพาต ซึ่งเป็นอาการเดียวกัน
กับ คริสโตเฟอร์ รีฟ นักแสดงชื่อดังผู้สวมบทซุปเปอร์แมนนั่นเอง
หลังจากนั้นเป็นต้นมา แซมก็ต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาล
มาตลอดสองปีเต็มเพื่อรับการรักษาโรคอัมพาตนี้ โทบี้เพื่อน
ของนีล บอกว่า พ่อแม่คู่นี้ภูมิใจในตัวแซมมากที่เข้มแข็ง และ
อดทน ต่อความเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องไปเข้ารับการรักษาตัว
แซมไม่เคยปริปากบ่นเลยแม้แต่น้อย..... สมองของแซมไม่ได้
ถูกทำลาย และแซมก็ยังเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดเหมือนเดิม
เพียงแต่ขยับตัวทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นอัมพาตเท่านั้น เอง
แต่ที่เป็นปัญหา ใหญ่ก็คือกระดูกสันหลังนั้นโดนกระทบกระเทือน
อย่างรุนแรง จนทำให้แซมไม่สามารถหายใจได้สะดวกนัก
ดังนั้นเมื่อแซมต้องเข้าโรงเรียนเหมือน เด็กคนอื่นๆ
แซมก็ต้องอยู่ภายใต้การ ดูแลรักษาพยาบาลอย่างใกล้ชิด
ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกๆ 7 วัน ตลอดทั้ง 365 วัน เลยทีเดียว
(นั่นหมายถึงพวกเขาต้องดูแลแซมอย่าง ใกล้ชิดตลอดทุกเวลา
นาที.....โดยไม่รู้กำหนดว่าวัน ไหนที่แซมจะหายจากโรคนี้)
หลังจากที่แซมได้รับอุบัติเหตุทั้งสองสามีภรรยาก็ขายบ้าน
คอทเทจทิ้งไป และมาซื้อบ้านใหม่ราคาหนึ่งล้านปอนด์
ในเมือง Brokerswood เพื่อขยายตัวบ้านเป็นเหมือนสถาน
พยาบาล และจัดตั้งอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ ที่จำเป็น
ในการรักษาชีวิตของแซมให้อยู่กับพวกเขาไปนานๆ
จากนั้นสองสามีภรรยาก็พากันลาออกจากงานในตำแหน่ง
นักแปลของโรงงานของรถยนต์ฮอนด้า ใน สวินดอน เพื่อ
มาดูแลแซมอย่างเต็มตัว พร้อมกับจัดตั้งเวบไซต์ ที่ชื่อ
stuff4sam ขึ้นมาเพื่อหาเงินบริจาคไปซื้อ เครื่องมือแพงๆ
ทางการแพทย์ที่บริษัทประกันไม่คุ้มครอง เพื่อนำมาช่วย
รักษาพยาบาลให้แซมมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีที่ สุดเท่าที่จะทำได้
ทางโรงพยาบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยดูแลแซมทุกวัน
ยกเว้นวันสุดสัปดาห์ ดังนั้นทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ จะมีเพียง
พ่อและแม่คอยดูแลแซม เขาทั้งสามคนพ่อแม่ลูกมักจะใช้เวลา
อยู่ด้วยกันลำพังในช่วงนี้ และหลายครั้งหลายหน ผู้คนแถวนั้น
ก็จะเห็นพ่อแม่คู่นี้คอยพาลูกออกไปชมธรรมชาติตามคันทรี่ พาร์ค
เขาทั้งสองอยากให้แซมมีชีวิตเหมือน เด็กคนอื่นๆ ที่ปกติ
คาซูมิเคยพาแซมไปเยี่ยมครอบครัวที่ ญี่ปุ่น หลังจากที่แซม
กลายเป็นอัมพาตไปแล้ว และเธอต้องใช้เวลาถึงสี่เดือน
เพื่อเตรียมตัวเดินทางในครั้งนั้น เธอลงทุนขนกระเป๋าใส่
เครื่องมือทางการแพทย์ที่จำเป็นสำหรับ แซมไปด้วยถึง 65 ใบ
และเมื่อพวกเขากลับมา พวกเขาเล่าว่า แซมมีความสุขมาก
ที่ได้ไปเยี่ยมครอบครัวฝ่ายแม่ในครั้งนี้ แถมยังซื้อ
ขนมญี่ปุ่นมาฝากเด็กๆ ในหมู่บ้านอีกด้วย
Cindy Stocking แม่ทูนหัวของแซมซึ่งมีอาชีพเป็นคุณครู
อยู่ในเมือง Wiltshire กล่าวว่า นีลกับคาซูมิรักแซมมาก
และพวกเขาคงอยู่ต่อไปไม่ได้ถ้าไม่มีแซม พวกเขาจึง
ตัดสินใจขอไปอยู่พร้อมหน้ากันในสวรรค์ แซมเป็นเด็กที่
น่ารักมากๆ การสูญเสียเขาไปมันคงยากที่จะทำใจได้
เธอบอกว่า พ่อแม่คู่นี้ไม่เคยแสดงความชิงชังหรือโกรธแค้น
กับคู่กรณีในอุบัติเหตุที่ทำให้แซมต้องเป็นอัมพาตเลยแม้แต่น้อย
อาจจะเป็นเพราะว่า ตำรวจสรุปสำนวนว่า เป็นอุบัติเหตุที่ไม่ได้
เกิดจากความผิดของใคร และ คู่กรณีที่ว่านี้ก็คือ Josephine Elias
อายุ 52 ปี ซึ่งเป็นแม่ของลูกชายวัย 23 และ 24 ปี ก็กล่าวว่า......
เธอขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง กับเหตุการที่เกิดขึ้นกับแซม
และเหตุการณ์ล่าสุดที่นีลและคาซูมิฆ่าตัวตายตามลูกไปด้วย.....
เพื่อนสนิทของ นีลอย่าง Tony Roe เล่าให้ฟังว่า เขากับนีลเป็น
เพื่อนกันตั้งแต่เรียนอยู่ ที่มหาวิทยาลัย Exeter และเขาก็ได้รับเกียรติ
ให้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว เมื่อนีลตัดสินใจแต่งงานกับ คาซูมิ เมื่อ สิบสอง
ปีก่อน โดยมีการจัดงานทั้งในประเทศอังกฤษและญี่ปุ่น นีลกับคาซูมิ
เป็นคนจิตใจดีไม่เคยคิดร้าย หรือโกรธแค้นใครเลย แม้กระทั่งคู่กรณี
ในอุบัติเหตุรถ ชนดังกล่าว "เขาทั้งคู่บอกผมเสมอว่า มันเป็นอุบัติเหตุ
พวกเขายอมรับสภาพและเข้าใจ ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร และมุ่งมั่น
ที่จะดูแล รักษา แซมให้ดีที่สุด และหวังให้แซมมีความสุข ดังนั้น
หลังจากอุบัติเหตุครั้งนี้ เขาทั้งคู่จึงสละชีวิตที่มีทั้งหมดให้กับการ
ดูแลแซม.....ผมจึงพอนึกออกว่า เมื่อไม่มีแซมอยู่ในโลกนี้แล้ว
พวกเขาจะหัวใจสลายขนาดไหน และทำไมจึงตัดสินใจเช่นนี้"
"แม้ว่าหลายคนจะมองว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย
แต่ผมก็อยากให้ทุกคนเข้าใจและมองเห็นพลังความรัก
ของนีลและคาซูมิที่มีต่อแซม ซึ่งแสดงออกมาให้เห็นว่า
พวกเขาไม่มีวันจะยอมอยู่ในโลกนี้ได้โดยปราศจากลูกน้อย"
ซูเพื่อน บ้านของทั้งคู่เล่าว่า.... วันเกิดเหตุ เธอมีลางสังหรณ์
อยู่เหมือนกัน เพราะปกติเวลานีลและคาซูมิจะเดินทางไปไหน
พวกเขามักจะแวะมาฝากบ้านไว้กับซูทุกครั้ง แต่ครั้งนี้พวกเขา
ขับรถออกไปอย่างเงียบๆ พอได้ข่าวอีกทีก็พบว่า ทั้งคู่ได้จาก
โลกนี้ไปแล้ว....."มันทำให้ฉันถามตัวเองเป็นร้อยๆ ครั้งว่า
นี่ถ้าพวกเรารู้ว่าเขาคิดอะไรกันอยู่ เราจะช่วยหยุดเขา....
ด้วยการเข้าไปอยู่เป็นเพื่อน และคอยปลอบโยน ได้หรือไม่"
"เท่าที่รู้มา หลังจากแซมเสียชีวิต พวกเขาก็ขังตัวเองอยู่ในบ้าน
ไม่พูดไม่จากับ ใครเลย พวกเขาคงหัวใจสลาย จนอยู่ไม่ได้
และต้องขอตายตาม ลูกไป มันอาจจะฟังดูว่าไม่น่าเชื่อว่า
คนเราจะตัดสินใจ แบบนี้ลงไป แต่คงเป็นเพราะแซมคือ
ทุกสิ่งทุกอย่างใน ชีวิตพวกเขากระมัง แซมเปรียบเสมือนแสง
สว่างของพวกเขา และเมื่อแสงสว่างดับไป เขาจะอยู่ได้อย่างไร"
Jonathan Miall หัวหน้ามูลนิธิงาน วิจัยด้านกระดูกสันหลัง
เล่าให้ฟัง ว่า ครั้งแรกที่เขาได้พบกับพ่อแม่ของแซม เขารู้สึก
ประหลาดใจ ที่ทั้งคู่ ดูสงบเยือกเย็น และสามารถควบคุม
สถานการณ์ ร้ายๆ แบบนี้ได้เป็นอย่างดี โดยไม่คิดว่าทั้งคู่
จะ ตัดสินใจเช่นนี้เมื่อสูญเสียแซมไป และนี่ทำให้เขาได้
เรียน รู้ว่า บางครั้งเราไม่มีวันรู้หรอกว่าเบื้องลึกในจิตใจ
ของคนที่ทนทุกข์ กับปัญหานี้มันเป็นอย่างไร..........
โจนาธานคิดว่า ปัญหาของโรคนี้มันมีผลในการเปลี่ยนแปลง
ชีวิตของคนได้เป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่เพียงผู้ป่วย แต่ยังรวม
ไปถึงคนในครอบครัวทั้งหมด อีกด้วย ยิ่งโดยเฉพาะครอบครัวนี้
ซึ่งต้องเผชิญกับความโชค ร้ายตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ ซึ่งมีน้อยรายมาก
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยอัมพาตด้าน นี้จะเป็นคนวัย 18 ถึง 25 ปี ที่มีอุบัติเหตุ
เกิดขึ้นที่กระดูกสันหลัง หรือ คนแก่ที่มักจะลื่นล้มและหลังโดนกระแทก
"ดังนั้นเรา จึงสนใจเคสของแซมเป็นพิเศษ เพื่อพัฒนาผลงานวิจัย
วันแรกที่ผม พบแซม เขาเป็นเด็กขี้อาย แต่พอได้รู้จักกันไปสักพัก
แซมเป็นเด็ก น่ารัก ร่าเริง แจ่มใส ขี้เล่น แม้ว่าเขาจะพอรู้ว่ามัน
เกิดอะไร ขึ้นกับเขาก็ตาม นีลกับคาซูมิ มักจะพูดถึงแซมใน
อนาคตเสมอๆ บางทีเขาก็นึกถึงแซมตอนอายุ 20 บางที
เขาก็วาดฝัน ถึงแซมตอนอายุ 40 เขาทั้งคู่ดูมีความหวังว่า
........สัก วัน แซมจะกลับมาเหมือนคนปกติทั่วไปได้"
"ผมไม่ใช่นักจิตวิทยา แต่ผมก็รู้สึกสะดุดใจว่า ทำไมพ่อและแม่
ของแซมจึงเห็นพ้องต้องกัน ว่าจะต้องตายตามลูก เพราะบางกรณี
บางทีพ่อก็จะห้ามแม่ หรือแม่ก็อาจจะห้ามพ่อไม่ให้ทำการดังกล่าว"