10 ปริศนาโลกที่ถูกไขได้แล้ว แต่คุณอาจไม่เคยรู้

เรื่องลึกลับ ตำนาน ความเชื่อ ถูกบอกเล่าสืบต่อกันมาปากต่อปาก หลายเรื่องถูกบิดเบือน แต่งเติม เพิ่มสีสันลงไปเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนที่มักจะชอบเรื่องในทำนองนี้ ถึงแม้ว่าปริศนาหลายอย่างจะถูกอธิบายได้อย่างชัดเจนไปแล้ว แต่ก็ยังมีกลุ่มคนอีกมาก ที่ไม่ยอมเปิดใจรับฟังความจริง เพราะมันอาจทำลายความเชื่อที่ตัวเองมีมาตั้งแต่เด็ก

 

วันนี้เพชรมายาจึงขอพาทุกท่านมาชมปริศนาต่างๆ ของโลก ที่ถูกไขได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่คุณอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน มาดูกันว่าจะมีเรื่องไหนที่น่าสนใจกันบ้าง

 

1. สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

 

 

ตำนาน : หรือที่รู้จักกันดีในนามสามเหลี่ยมอาถรรพ์ที่อยู่บริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ โดยพื้นที่ๆ ถูกขีดไว้เป็นรูปสามเหลี่ยมคร่าวๆ แห่งนี้ได้กลืนกินเรือและเครื่องบินให้หายไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่เคยมีใครรู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นหายไปที่ไหน

 

 

ความจริง : ความผลการวิจัยค่าเฉลี่ยของจำนวนครื่องบินและเรือที่หายไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ไม่ได้มีความแตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ ในมหาสมุทรเลย ตำนานแห่งนี้เริ่มมาจากการประโคมข่าวของนักข่าวในทศวรรษที่ 1950 ซึ่งผลจากการไปสำรวจพื้นที่แห่งนี้จริงๆ ไม่พบว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ และในทุกวันนี้ พื้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ถือเป็นพื้นที่ๆ มีการจราจรคับคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และไม่มีการหายของเครื่องบินและเรือมาตั้งแต่ปี 1999 แล้ว

 

2. บลูป (Bloop)

 

 

ตำนาน : เสียงคลื่นความถี่ต่ำลึกลับ ที่องค์การสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NOAA) สามารถตรวจจับได้ในช่วงฤดูร้อนของปี 1997 บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกใกล้กับเส้นศูนย์สูตร ซึ่งระบบฟังเสียงใต้น้ำของนาวิกโยธินสหรัฐที่ใช้ตรวจหาเรือดำน้ำของสหภาพโซเวียต สามารถจับเสียงของบลูปได้หลายครั้ง NOAA ได้บรรยายว่า Bloop นั้นมีความถี่สูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลากว่าหนึ่งนาที และเป็นเสียงดังในบริเวณกว้างพอที่เซนเซอร์จำนวนมากในระยะกว่า 5,000 กิโลเมตรสามารถตรวจจับได้ ซึ่งหลายคนเชื่อว่ามันเป็นเสียงของสัตว์ประหลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าปลาวาฬสีน้ำเงินหลายเท่า ถึงจะทำเสียงดังขนาดนี้ได้

 

 

ความจริง : NOAA Vents Program ให้เหตุผลของเสียงดังกล่าวว่า เป็นเสียงของการสั่นไหวของภูเขาน้ำแข็ง (Icequake) ขนาดใหญ่มาก โดยเสียงภูเขาน้ำแข็งไหวนี้ มีคลื่นความถี่ที่เหมือนกับเสียงของบลูป และมีความเป็นไปได้ที่เสียงนี้จะดังเกินไปกว่า 5,000 กิโลเมตรอีกด้วย

 

3. พีระมิดอียิปต์

 

ตำนาน : เป็นเรื่องที่ชาวโลกต่างสงสัยกับวิธีการก่อสร้างพีระมิดในอียิปต์เมื่อราว 2 พันปีก่อนว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งก้อนหินขนาดใหญ่ที่ไม่ได้อยู่ในบริเวณนั้น วิธีการขนก้อนหินขึ้นไป หรือการคำนวนโครงสร้างที่ซับซ้อนต่างๆ ซึ่งหลายคนเชื่อว่า มันอาจเกิดขึ้นจากฝีมือของสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญากว่ามนุษย์

 

 

ความจริง : มีการศึกษาวิจัยหลายแห่งที่บอกถึงความเป็นไปได้ในการสร้างพีระมิด อย่างกลุ่มนักวิจัยชาวดัตช์ที่ระบุว่า แรงงานทาสจำนวนมากในสมัยนั้น ใช้วิธียกหินวางบนรถเลื่อน และใช้วิธีเทน้ำลงบนทรายเพื่อลากมันได้ง่ายขึ้น หรืออีกทฤษฎีก็คือการขนย้ายหินโดยการขุดคลอง และใช้น้ำเพื่อลดภาระในการขนย้ายหิน และใช้การทำอุโมงค์ผันน้ำ เพื่อนำหินขึ้นไปสู่แต่ละชั้นของพีระมิด

 

4. หินแกะสลักอิคา

 

 

ตำนาน : หินเหล่านี้เป็นของสะสมจากอาณาจักรอินคาในศตวรรษที่13-14 ที่ถูกพบในจังหวัดอิคา ซึ่งบางก้อนมีการแกะสลักเป็นรูปมนุษย์กำลังขี่ไดโนเสาร์ มนุษย์ล่าไดโนเสาร์ บางภาพมีลักษณะเหมือนกับมนุษย์อวกาศ ดวงดาว และเทคโนโลยีขั้นสูง นั่นทำให้หลายคนเชื่อว่า มนุษย์ในสมัยนั้นอาจเคยย้อนเวลากลับไปในยุคไดโนเสาร์ หรือไม่มนุษย์ก็อยู่ร่วมกับไดโนเสาร์มาตั้งแต่แรกงั้นหรือ ?

 

 

ความจริง : ฮาเวียร์ คาเบรรา ดาร์กัว นักฟิสิกส์ชาวเปรู ได้รับหินแกะสลักอิคาจำนวนมากจากชาวนานามว่า บาซิลิโอ อัสชูยา ผู้ที่อ้างว่ามันเป็นของจริง แต่สุดท้ายเขาได้สารภาพว่า มันเป็นสิ่งที่เขาทำขึ้นมาเอง โดยการนำหินไปอบในมูลสัตว์และแกะสลักด้วยมีด ซึ่งเรื่องนี้ทาง BBC ได้รายงานเอาไว้ในปี 1977 ต่อมาในปี 1998 นายวิเซนเต ปารีส ได้ตรวจสอบหินอิคา และพบว่ามีร่องรอยของสีสมัยใหม่ และรอยแกะสลักก็คมชัดเกินกว่าที่จะเป็นงานศิลปะในยุคศตวรรษที่ 13-14

 

5. แท่งเสาเหล็กแห่งเดลี

 

 

ตำนาน : แท่งเสาเหล็กอายุกว่า 1,600 ปีที่อินเดีย ที่อยู่ยงคงกระพันมานานในที่เปิดโล่ง โดยไม่เป็นสนิมแม้แต่น้อย ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ล้วนหาคำอธิบายของเสาเหล็กแห่งนี้ไม่ได้ และยกให้มันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติอันดับต้นๆ ในอินเดีย

 

 

ความจริง : ผลจากการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ให้เห็นว่า เสาดังกล่าวถูกเคลือบด้วยเหล็กที่มีส่วนประกอบของฟอสฟอรัส ที่ป้องกันไม่ให้มันเกิดสนิมและการถูกกัดกร่อน ซึ่งเป็นกระบวนการทำเหล็กของอินเดียโบราณนั่นเอง

 

6. ข้อความจดบันทึกในโอดิสซีย์
 

 

 

ตำนาน : โอดีสซีย์ เป็นบทประพันธ์มหากาพย์กรีกโบราณหนึ่งในสองเรื่องของโฮเมอร์ คาดว่าประพันธ์ขึ้นในราว 800 ปีก่อนคริสตกาล ที่แคว้นไอโอเนีย แต่สิ่งที่เป็นปริศนาในบันทึกเล่มนี้คือ การจดบันทึกข้อความต่างๆ ที่ไม่สามารถแปลได้ อยู่ในหนังสือเล่มนี้ ที่หลายคนสงสัยว่ามีความหมายอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังกันแน่

 

 

ความจริง : เป็นการจดบันทึกคำแปลแบบชวเลขฝรั่งเศสโบราณ โดยเป็นวิธีการเขียนอย่างรวดเร็วโดยการใช้อักษรย่อหรือสัญลักษณ์เฉพาะ ซึ่งอาจจะมีแต่ผู้จดเท่านั้นที่ทราบความหมายนี้

 

7. การหายไปของลูกเรือแมรี เซเลสต์

 

 

ตำนาน : ในปี 1872 เรือบรรทุกสินค้าสัญชาติอังกฤษที่ชื่อ ‘เดอี กราเซีย’ พบเรือที่ชื่อว่า ‘แมรี เซเลสต์’ ลอยอยู่กลางทะเลอย่างผิดปกติบริเวณตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก หลังจากที่กัปตันเรือเดอี พยายามติดต่อกับเรือแมี กลับไม่พบการเคลื่อนไหวใดๆ บนเรือแม้แต่น้อย และเมื่อเขาส่งลูกเรือขึ้นไปตรวจสอบก็พบว่า ลูกเรือทั้งหมดบนเรือกว่า 10 ชีวิตหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่สิ่งที่แปลกคือของทุกอย่างบนเรือยังคงอยู่เป็นปกติ ราวกับผู้คนเพิ่งสาบสูญไปไม่กี่นาที

 

 

ความจริง : ซากของเรือแมรีถูกกู้ขึ้นมาในปี 2001 โดยสิ่งที่อธิบายข้อสงสัยนี้ได้ก็คือ การที่เรือแมรีได้ขนแอลกอฮอลเป็นจำนวนมากเอาไว้ใต้ท้องเรือเป็นครั้งแรก และลูกเรือทุกคนได้สละเรือหนีทันทีหลังจากที่มันเกิดติดไฟขึ้นและกลัวว่ามันจะระเบิด นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า มันไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรมาก แต่นั่นก็ทำให้ทุกคนหวาดกลัวและไม่มีใครได้พบกับลูกเรือแมรีอีกเลย

 

8. สัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนส

 

 

ตำนาน : สัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนส หรือมีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า เนสซี เป็นที่รู้จักและโด่งดังไปทั่วโลก หลังจากมีผู้ถ่ายภาพของมันได้ในปี 1934 และหลังจากนั้นก็มีรายงานการพบเห็นเนสซีจากผู้คนนับไม่ถ้วนในทะเลสาบล็อคเนสแห่งนี้ บางคนเชื่อว่ามันเป็นไดโนเสาร์ที่อยู่มาตั้งแต่ยุคโบราณ หรือบางคนก็เชื่อว่ามันเป็นงูทะเลยักษ์ที่อาศัยอยู่ในส่วนลึกที่สุดของทะเลสาบ

 

 

ความจริง : ภาพถ่ายที่โด่งดัง ที่ถูกถ่ายโดย โรเบิร์ต เคนเนท วิลสัน ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ ซึ่งรูปนี้ได้รับการเปิดเผยในปี 1998 จาก คริสเตียน สเปอร์ลิง ชายวัย 90 ปี ว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมสร้างภาพนี้ ที่จริงแล้วเป็นเพียงแค่หุ่นจำลองที่ติดกับเรือดำน้ำเด็กเล่นเท่านั้น

 

9. พื้นที่ลึกลับ (Mystery Spot)

 

 

ตำนาน : พื้นที่ลึกลับแห่งนี้อยู่ใกล้กับเมืองซานตาครูซ ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งถูกเปิดให้เข้าชมในปี 1941 โดยเป็นพื้นที่เล็กๆ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 150 ฟุต ซึ่งคุณจะพบว่าสิ่งของในที่แห่งนี้จะสามารถกลิ้งขึ้นที่สูงได้ การทรงตัว แรงโน้มถ่วงในบริเวณนี้จะทำให้คุณรู้สึกแปลก บางคนเชื่อว่ามันเป็นเพราะพลังงานแม่เหล็กที่อยู่ในบริเวณนี้

 

 

ความจริง : จริงๆ แล้วมันคือภาพลวงตา โดยพื้นที่แห่งนี้มีความโน้มเอียงราว 20 องศา พร้อมกับบ้านที่ถูกทำขึ้นมาในลักษณะพิเศษ และนั่นทำให้การรับรู้ด้วยสายตาและความรู้สึกของคุณคิดว่า มันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ

 

10. ผีและวิญญาณ

 

 

ตำนาน : มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เคยมีประสบการณ์การพบเห็นหรือได้สัมผัสกับผีและวิญญาณ ซึ่งแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่เชื่อว่าผีมีจริง แต่ก็มีเงื่อนไขอีกมากมายที่ทำให้คุณไม่สามารถพบเจอผีได้ตลอดเวลาที่คุณต้องการ

 

 

ความจริง : นักวิทยาศาสตร์พบว่า มีคลื่นไฟฟ้าขนาดเล็กในส่วนหนึ่งของสมอง ที่ทำให้ผู้คนเห็นภาพบางอย่างขึ้น อย่างเช่นในกรณีผีอำ ที่เกิดจากความไม่สัมพันธ์ระหว่างการทำงานของสมองกับร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการภาพหลอน หูแว่ว รวมไปถึงเสียงแปลกๆ เช่นกัน แต่ถึงแม้เรื่องผีจะมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ แต่ผู้คนก็เลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็นอยู่ดี

 

ที่มา : scoopwhoop | เรียบเรียงโดย เพชรมายา

Credit: http://petmaya.com/10-world-mystery-solved
9 พ.ย. 59 เวลา 01:19 8,167 10
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...