1. การหายไปกลางอากาศ
ในปี 1953 เรืออากาศเอกเฟลิกซ์ มอนคลา กำลังประจำการอยู่ที่ฐานทัพอากาศคินรอสในรัฐมิชิแกน เมื่อยานบิน ไม่ทราบที่มาปรากฏขึ้นในจอเรดาร์ มอนคลาก็รีบขับเครื่องบินประจัญบานสกอร์เปี้ยน F-89 ไปตรวจสอบทันที
เจ้าหน้าที่เรดาร์ภาคพื้นดินรายงานว่ามอนคลาบินด้วยความเร็ว 500 ไมล์ต่อชั่วโมงจนเข้าใกล้วัตถุปริศนานั้นในระยะ 7,000 ฟุต ขณะกำลังอยู่เหนือทะเลสาบซุพีเรีย แล้วทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ภาคพื้นหลายคนที่กำลังเฝ้าจอเรดาร์อยู่ก็เห็นว่าเครื่องบินของมอนคลา รวมเข้าเป็นชิ้นเดียวกับยานบินลึกลับนั้น และหายไปจากจอพร้อมๆ กัน
การค้นหาและช่วยเหลือต้องเจอกับความว่างเปล่า เพราะไม่มีซากหรือชิ้นส่วนไม่ว่าจะของลำไหนตกอยู่เลย องค์การการบิน ของแคนาดาเองก็ยืนยันว่าในเวลานั้นไม่มีเครื่องบินลำใดของแคนาดาอยู่ในบริเวณนั้นเลย นับแต่นั้นก็ไม่มีใครพบเห็นมอนคลา และเครื่องบินของเขาอีกเลย
2. การหายไปกลางทะเล
ในปี 1955 เรือ MV Joyita ออกเดินทางเที่ยวสั้นๆ เป็นระยะเวลา 2 วัน พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือรวม 25 คน แต่เรือลำนี้กลับหายไปอย่างลึกลับกลางมหาสมุทรแปซิฟิคตอนใต้นานถึง37 วันกว่าจะถูกพบใกล้ฟิจิ
เรือ MV Joyita ก็เคยได้ชื่อว่าเรือที่ไม่มีวันจมเหมือนกับไททานิค ซึ่งเรือลำนี้ก็ไม่ได้จมซะทีเดียว เพราะมันสามารถลอยเอื่อยๆ มาแบบน้ำท่วมครึ่งลำมาได้จนกระทั่งมีคนเจอ แต่สินค้าหายไปถึง 4 ตัน ทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ ท่อนซุง อาหารและน้ำมัน เรือยางทั้งหมดหายไปแต่มีผ้าพันแผลเปื้อนเลือดตกอยู่มากมาย
เส้นสีแดงแสดงเส้นทางที่เรือต้องเดินทาง แต่วงกลมสีชมพูคือจุดที่พบเรือในอีก 37 วันต่อมา
นักวิชาการคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่าเรือน่าจะเกิดปัญหาบางอย่างทำให้น้ำไหลเข้าท่วมและเริ่มจม ลูกเรือจึงส่งสัญญาณขอความ ช่วยเหลือออกไป (น่าจะส่งเพราะวิทยุตั้งไว้ที่ช่องนี้ แต่ไม่มีหลักฐานว่าส่งสำเร็จ) ทุกคนจึงสละเรือ แต่เรือชูชีพมีไม่พอสำหรับทุกคน คาดว่าส่วนหนึ่งคงลอยคอในเสื้อชูชีพและรอการช่วยเหลือซึ่งไม่มีวันมาถึง จึงน่าจะค่อยๆ เสียชีวิตเพราะจมน้ำหรือฉลามกิน แต่ที่ยังน่าสงสัยอยู่คือเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่ได้ขึ้นเรือชูชีพ พวกเขาหายไปไหน และเรือลำนี้มาโผล่ตรงนี้ได้อย่างไรหลังหายไป นานกว่า 1 เดือน
3. การหายไปกลางอากาศที่หลอนกว่า
ปี 1978 นักบินเครื่องเซสน่า 182L เฟรเดอริก วาเลนทิค รายงานว่าพบเห็น UFO ระหว่างทางที่เขาบินไปยังเกาะคิง ประเทศออสเตรเลีย เขาระบุว่ายานบินลำดังกล่าวบินอยู่เหนือเขาสูงขึ้นไป 1,000 ฟุต อันที่จริงคือเขาพูดว่า
"เครื่องบินแปลกๆ ลำนั้นร่อนอยู่เหนือหัวผมอีกแล้ว มันบินร่อนอยู่และมันไม่ใช่เครื่องบิน"
หลังจากนั้นไม่นานเครื่องบินของเขาก็รวนและหายไปจากจอเรดาร์แบบถาวร แม้จะมีข้อโต้แย้งว่าเฟรเดอริกเชื่อเรื่อง UFO เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงอาจมโนไปเองก็ได้ว่าเจอเข้ากับ UFO จริงๆ แต่เสียงที่ยังบันทึกได้ในช่วง 17 วินาทีสุดท้ายก่อนที่เขา จะหายไปก็เป็นเสียงโลหะแปลกๆ ที่ยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนไหนบอกได้ว่ามันคือเสียงอะไรจนถึงทุกวันนี้ และในสัปดาห์เดียวกัน นั้นเองก็มีรายงานการพบเห็น UFO บริเวณใกล้เคียงเข้ามาอีก 10 ฉบับ
4. การปล้นสะท้านโลก
เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อ D.B. Cooper (ดี.บี. คูเปอร์) มาบ้างแล้ว เพราะเขาเป็นสลัดอากาศชื่อดังที่สุด รายหนึ่งของโลก มีนิยายและภาพยนตร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากเขามากมาย
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 1971 ชายคนหนึ่งจี้เครื่องบินโบอิ้ง 727 ที่กำลังเดินทางจากพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ไปยังซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน เขาเรียกค่าไถ่ได้เป็นเงินถึง 2 แสนเหรียญสหรัฐก่อนจะกระโดดออกจากเครื่องและหายไปแบบไร้ร่องรอยพร้อมกับเงินที่ว่านั้นเงินในถุงของคูเปอร์ที่หาพบในป่าและริมแม่น้ำกลายเป็นของสะสมราคาแพง
FBI ทุ่มเททุกอย่างเป็นสิบๆ ปีในการตามหาตัวคูเปอร์ แต่ก็ยังไม่สามารถไขคดีนี้ได้ นี่จึงเป็นคดีจี้เครื่องบินครั้งเดียวในประวัติศาสตร์การบินของสหรัฐอเมริกาที่ยังไขไม่ได้ แน่นอนว่าความเป็นปริศนาถึงทุกวันนี้ทำให้เกิดทฤษฎีขึ้นมามากมายที่พยายามอธิบายว่าดีบี คูเปอร์เป็นใคร เขาหายไปไหน และเงินหายไปไหน แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนพอจะสนับสนุนได้เลย แม้จะมีคนชื่อมาร์ล่า คูเปอร์อ้างว่าเคยเห็นลุงของเธอกลับบ้านมาแบบสะบักสะบอมหลังคืนที่เครื่องบินโดนจี้ แต่แม้จะเทียบลายนิ้วมือแล้วก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าตกลงใช่หรือไม่ใช่กันแน่
5. การหายไปอย่างประหลาดที่สามเหลี่ยมเบนนิงตัน
ถ้าพูดถึงเรื่องพื้นที่สามเหลี่ยมที่มักมีการหายไปอย่างลึกลับ เราก็จะนึกถึงสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา หรือสามเหลี่ยมมังกร ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน แต่ยังมีพื้นที่สามเหลี่ยมเล็กๆ ที่ไม่ได้อยู่กลางทะเลอีกที่หนึ่งที่มีกรณีคนหายบ่อยๆ เช่นกัน บริเวณนี้คือสามเหลี่ยมเบนนิงตันในรัฐเวอร์มอนต์ของสหรัฐอเมริกา
ช่วงที่มีการหายตัวไปบ่อยที่สุดบริเวณนี้คือระหว่างปี 1920 - 1950 โดยการหายไปที่จะนำมาเล่าให้ฟังนี้เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยค่ะ เพราะจริงๆ ในช่วงนั้นแทบจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ถึงปีละสองครั้งเลย
วันที่ 1 ธันวาคม 1946 พอลล่า เวลเดน วัย 18 ปีหายไปขณะออกไปเดินเล่น เธอถูกพบครั้งสุดท้ายโดยกลุ่มนักเดินเขาที่กำลัง เดินตามหลังเธออยู่ พวกเขาให้การว่าเห็นเธอครั้งสุดท้ายตอนที่เธอเลี้ยวไปตามทางเดิน แต่เมื่อพวกเขาเดินมาถึงเลี้ยวนั้นก็ไม่เห็นเธอแล้ว และการตามหาอย่างจริงจังจากเจ้าหน้าที่ทั่วเมืองก็ไม่เป็นผล
วันที่ 1 ธันวาคม 1949 ทหารผ่านศึกนายหนึ่งนามว่าเจมส์ เทตฟอร์ดหายไปอย่างไร้ร่องรอยบนรถบัสที่คนแน่นขนัด ผู้โดยสาร 14 คนให้การว่าเห็นเทตฟอร์ดนั่งหลับอยู่ในที่นั่งบนรถแต่พอรถจอดเมื่อถึงที่หมาย เทตฟอร์ดก็หายไปกับอากาศเลย มีการสืบสวนและตามหามากมายแต่ก็ไม่มีใครได้เจอเขาอีกเลยเช่นกัน
6. การหายไปของกลุ่มฮิปปี้ที่สโตนเฮนจ์
ภาพกลุ่มฮิปปี้ที่เข้าไปตั้งแคมป์ในปี 1984 (ไม่ใช่กลุ่มที่หายไป)
ในสมัยก่อนนั้นสโตนเฮนจ์ที่อังกฤษเปิดให้คนทั่วไป เข้าไปตั้งแคมป์หรือจัดพิธีกรรมทางศาสนาแบบค้างคืนได้ ซึ่งในเดือนสิงหาคมของปี 1970 ก็มีกลุ่มฮิปปี้เข้าไปกางเต็นท์นอนภายในวงหินพร้อมก่อกองไฟ แต่เวลาประมาณตีสอง ของคืนที่เกิดเหตุนั้น ก็เกิดพายุรุนแรงขึ้นในแถบนั้นและมีฟ้าผ่าลงมามากมาย
พยาน 2 คนที่เห็นเหตุการณ์คือชาวไร่และเจ้าหน้าที่ตำรวจให้การว่าพวกเขาเห็นฟ้าผ่าเป็นสายลงมาที่หินหลายก้อนของสโตนเฮนจ์ และบริเวณในวงหินก็เกิดแสงสีน้ำเงินที่สว่างมากจนพวกเขาต้องปิดตา ซึ่งขณะนั้นทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้คนในแคมป์นั้น และเมื่อสายฟ้าหายไป ทั้งคู่ก็รีบวิ่งไปที่สโตนเฮนจ์เพื่อจะช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ หรือคาดว่าจะเจอศพที่โดนฟ้าผ่าจนเสียชีวิต แต่สิ่งที่พวกเขาพบมีแค่เต็นท์ที่ไฟไหม้และกองไฟที่ยังไม่ดับเท่านั้น
เสียดายที่ตอนนั้นยังไม่มีกล้องมือถือที่จะช่วยบันทึกภาพหรือคลิปได้อย่างฉับไว จึงไม่แน่ใจว่าทั้งหมดโดนฟ้าผ่าอย่างรุนแรง จนไหม้เป็นจุณแล้วปลิวไปกับสายลมหมดแล้วหรือไม่ แต่สโตนเฮนจ์เองก็มีพลังงานบางอย่างที่ทำให้สงสัยว่าเรื่องนี้อาจมี อะไรมากกว่าตาเห็น
7. การหายไปของคนทั้งหมู่บ้าน
ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บคืนหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ปี 1930 นายพรานชาวแคนาดา โจ ลาเบลล์ เดินทางมาจนถึง หมู่บ้านชาวอินูอิตที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ข้างทะเลสาบอันจิกุนิ แต่ลาเบลล์ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าคนทั้งหมู่บ้านหายไปแบบไร้ร่องรอย
ลาเบลล์เจอชามสตูว์ที่พร้อมทานตั้งอยู่บนโต๊ะอาหาร เสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ในบ้านก็วางอยู่ปกติ แต่หลุมศพในเขตสุสาน ของหมู่บ้านกลับถูกขุดขึ้นมาหมดและกลายเป็นหลุมเปล่า นอกจากนี้เขายังเจอศพฝูงสุนัขลากเลื่อนที่อดข้าวจนตายถูกฝังอยู่ใต้หิมะหนา 12 ฟุต
ตัวอย่างครอบครัวชาวอินูอิต (ไม่ใช่กลุ่มที่หายไป)
ลาเบลล์รีบไปยังสถานีโทรเลขที่ใกล้ที่สุด และส่งข้อความไปแจ้งตำรวจภูเขาของแคนาดา ซึ่งเมื่อตำรวจมาถึงก็ไม่สามารถ สรุปสาเหตุการหายไปของคนกว่า 2,000 คนในหมู่บ้านนี้ได้ แต่ก่อนหน้าที่ลาเบลล์จะไปถึงหมู่บ้านนี้ตำรวจก็ได้รับรายงาน จากนายพรานหลายคน เรื่องการพบเห็นแสงสีน้ำเงินแปลกตาเคลื่อนที่อยู่แถวๆ เส้นขอบฟ้า นายพรานคนหนึ่งแจ้งว่าเห็น วัตถุบินได้รูปร่างประหลาดเคลื่อนที่ตรงมายังทะเลสาบอันจิกุนิ โดยตอนแรกวัตถุนี้มีรูปร่างทรงกระบอก แต่สักพักก็เปลี่ยน เป็นทรงกระสุน
8. การหายตัวของแม่ลูก
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 1987 คอร์ริน่า มาลินอสกี้ คุณแม่วัย 26 ปีจากเซาธ์แคโรไลนา สหรัฐอเมริกา หายตัวไป ขณะไปทำงาน รถของเธอจอดไว้หน้าโรงงานแต่ตัวเธอกลับไม่มาทำงานวันนั้น ซึ่งเรื่องแค่นี้คงไม่น่าติดอันดับความลึกลับหรอก ถ้าไม่ใช่ว่า
วันที่ 4 ตุลาคม 1988 เกือบ 1 ปีต่อมา ลูกสาวของคอร์ริน่าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน แอนเน็ตต์วัย 8 ปีหายตัวไป ระหว่างเดินทางไปโรงเรียน เด็กน้อยเดินไปรอรถเมล์ที่ป้ายหน้าโรงงานแห่งเดียวกันนี้และหายตัวไปเลย เรื่องแปลกอีกอย่างคือ ที่ป้ายรถประจำทางนั้นมีกระดาษแผ่นหนึ่งตกอยู่ โดยมีข้อความว่า
"พ่อคะ แม่กลับมา ฝากกอดพวกเด็กผู้ชายด้วยนะคะ"
แม้ลายมือจะดูเร่งรีบ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านลายมือก็สรุปว่าเป็นลายมือของแอนเน็ตต์แน่นอน หลายคนสรุปว่าคอร์ริน่าคงกลับมารับ ลูกสาวเพื่อที่จะได้หายไปด้วยกัน แต่ทำไมเธอถึงทิ้งลูกชายอีก 2 คนไว้ และทำไมต้องรอเกือบปี
ขอบคุณที่มา:http://www.cmxseed.com/cmxseedforumn/index.php?topic=140300.0
credit :: พี่พิซซ่า@Dek-D.com