Harry Houdini: ยอดนักมายากล

Harry Houdini (1874 - 1926)
 
 
ชื่อจริง "Erich Weisz" (เปลี่ยนเป็น "Ehrich Weiss" เมื่อเขาย้ายถิ่นฐานไปอยู่อเมริกา)
 
 
แม้เวลาจะผ่านมากว่า 80 ปี หลังการตายของฮูดินี่แล้ว แต่เมื่อถามชาวอเมริกาถึงนักมายากลที่เขารู้จัก ชื่อของ "แฮรี่ ฮูดินี่" ก็มักจะขึ้นมาติดอันดับต้นๆ เสมอ ซึ่งนั่นก็คงจะเพียงพอแก่การพิสูจน์แล้วว่าชายผู้นี้เป็นนักมายากลที่ยิ่งใหญ่และเปี่ยมความสามารถแค่ไหน "เคล็ดลับของโชว์แมนชิพไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณจะแสดงเช่นไร หากอยู่ที่ว่าคุณจะทำอย่างไรให้ผู้ชมเชื่อว่าสิ่งที่คุณแสดงนั้นเป็นของจริง" นั่นเป็นคำพูดของนักมายากลที่เก่งกาจที่สุดผู้หนึ่งเท่าที่โลกเคยมีมา
 
 
"ปีเตอร์ ฮูดินี่" หรือชื่อจริง "เอริค เวซ" เป็นชาวยิวอเมริกาเชื้อสายฮังกาเรี่ยน เขาเกิดที่บูดาเปส ประเทศฮังการี เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 1874 (ขณะที่ฮูดินี่ยังมีชีวิตอยู่ เขาบอกว่าตัวเองเกิดที่รัฐวิสคอนซิล ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งหลังการจากเสียชีวิตของเขาแล้ว จึงได้มีการยืนยันจากใบสูติบัตรว่าเขาเกิดที่บูดาเปส) "แฮรี่ ฮูดินี่" ซึ่งเป็นชื่อบนเวทีนี้เอามาจากชื่อของ "แฮรี่ เคลลาร์" นักมายากลที่ฮูดินี่ชื่นชอบและ "ฌอง ยูจีน โรเบิร์ต ฮูดีน" ผู้เป็นบิดาของมายากลยุคใหม่
 
 
ฮูดินี่ทำงานเป็นนักมายากลในละครสัตว์ตั้งแต่เขายังเป็นวัยรุ่นอยู่ เมื่ออายุได้ 17-18 ปีก็แต่งงานกับ "Wilhelmina Beatrice Rahner" หรือเบส ซึ่งเป็นผู้ช่วย เธอกลายมาเป็นคู่ชีวิตและผู้เข้าใจที่ดีของฮูดินี่ทั้งในชีวิตส่วนตัวและชีวิตการเป็นนักมายากล
 
 
ปี 1894 เขาใช้ชื่อ "แฮรี่ ฮูดินี่" เปิดตัวสู่สังคมในฐานะนักมายากลมืออาชีพ และในปี 1899 ฮูดินี่ก็โดดเด่นออกมาในมายากล "หลบหนีจากการคุมขัง" เขากล่าวโฆษณาตัวเองกับหนังสือพิมพ์ว่า "ไม่มีลูกกลอนใดในโลกนี้ที่เขาไขไม่ออก" แน่นอนว่าบริษัทผลิตลูกกลอนและกุญแจทั่วอเมริกาพากันแสดงความไม่พอใจต่อคำกล่าวนี้มาก หากฮูดินี่ก็พิสูจน์คำพูดด้วยการแสดงมายากล เป็นต้นว่าการกระโดดลงไปในแม่น้ำโดยที่ใส่กุญแจข้อมือ การใส่เครื่องพันธนาการแล้วมัดตัวเองแขวนห้อยหัวกลางอากาศ การหลบหนีจากถังที่เต็มไปด้วยนมหรือการแสดงการหลบหนีจากห้องขังเดี่ยวในคุกและเขานี่เองที่เป็นต้นแบบของมายากลสลับที่ (สลับตัวนักมากลและผู้ช่วยในพริบตา)
 
หลังจากการทัวร์ยุโรปในปี 1900 ชื่อของฮูดินี่ก็กลายมาเป็นที่รู้จักในฉายา "The Handcuff King" การแสดงที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮูดินี่คือการหลบหนีจาก The Chinese Water Torture Cell ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องทรมานของจีน (คุกน้ำของฮูดินี่จะมีด้านหน้าเป็นกระจกและในกรณีที่ฮูดินี่หนีออกมาไม่ได้ ผู้ช่วยก็จะใช้ขวานทุบที่กระจกเพื่อช่วยเขาออกมา แต่ไม่เคยปรากฏว่าฮูดินี่ทำพลาดในการแสดงนี้) ก่อนจะเริ่มการแสดง ฮูดินี่จะให้ผู้ชมสามารถขึ้นมาตรวจดูคุกน้ำได้อย่างใกล้ชิดเพื่อให้หมดความสงสัย แล้วฮูดินี่ซึ่งถูกใส่กุญแจขาก็จะถูกหย่อนห้อยหัวลงไปในคุกน้ำที่มีฝาด้านบนถูกล็อคด้วยกุญแจอย่างแน่นหนา ม่านด้านหน้าจะถูกปิดลงและเมื่อเวลาผ่านไปท่ามกลางความตึงเครียดของผู้ชม ฮูดินี่ซึ่งตัวเปียกโชกก็จะปรากฏตัวออกมาเป็นอิสระ กล่าวกันว่าผู้ชมต่างพากันลุกขึ้นปรบมือด้วยความประทับใจในการแสดงของเขา
 
ในช่วงปี 1920 การตายของมารดาสร้างความสะเทือนใจให้กับฮูดินี่เป็นอย่างมาก เขาจึงหันไปหาไสยศาสตร์ด้วยความอยากพบแม่ของเขาอีกครั้ง แต่การได้พบแต่นักเชิญวิญญาณจอมปลอมก็ทำให้ฮูดินี่โกรธจนถึงกับประกาศตนเป็นไซคิกฮันเตอร์ (บางที่ก็ว่าไซคิกโซลเจอร์) เพื่อเปิดโปงกลลวงต่างๆ ที่นักเชิญวิญญาณจอมปลอมเหล่านี้ทำไว้ (ฮูดินี่มีการติดต่อกับ เซอร์อาเธอร์โคแนน ดอยล์ เกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์อยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งเขาได้เขียนในจดหมายว่าดอยล์ "เป็นคนโดนหลอกง่ายมาก")
 
ฮูดินี่รู้ว่านักเชิญวิญญาณหลอกเขา เพราะเมื่อวิญญาณเข้าทรง อีกฝ่ายจะเรียกชื่อ "ฮูดินี่" ซึ่งเป็นชื่อบนเวทีแทนที่จะเรียก "เอริค" ซึ่งเป็นชื่อจริงของเขา บางรายก็ตอบเขาว่า yes ทั้งๆ ที่แม่ของฮูดินี่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ กล่าวว่าฮูดินี่โกรธมากจนถึงกับลืมตัววิ่งออกมาจากห้องด้วยใบหน้าอันแดงก่ำ
 
เมื่อปลายศตวรรษที่ 19 นั้น พี่น้องตระกูลฟอกซ์ซึ่งเป็นผู้สร้างกระแสความนิยมในพิธีอัญเชิญวิญญาณได้ออกมายอมรับว่าพิธีเชิญวิญญาณของพวกเธอเป็นของปลอม ซึ่งคำประกาศนี้ได้สร้างภาพลบให้กับนักเชิญวิญญาณและนักไสยศาสตร์ทั่วโลกจนมีจำนวนลดลงไปมาก หากพอย่างเข้าต้นศตวรรษที่ 20 นักเชิญวิญญาณซึ่งครั้งหนึ่งเกือบจะสูญพันธุ์ไปจากอเมริกากลับเพิ่มจำนวนขึ้นมาอีก ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นต่างมีผลมาจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งมีผู้เสียญาติมิตรไปในสงครามเป็นจำนวนมากนั่นเอง และฮูดินี่ก็ไปพบนักเชิญวิญญาณเหล่านี้ ใช้ไหวพริบและความช่างสังเกตุของตนเปิดโปงกลลวงเหล่านั้น ซึ่งในช่วงนี้ฮูดินี่ถูกโจมตีและกลั่นแกล้งโดยผู้นิยมไสยศาสตร์ไม่น้อยทีเดียว
 
ฮูดินี่กลายมาเป็นหนึ่งในคณะผู้วิจัยทริคของไสยศาสตร์ซึ่งลงคอลัมภ์ในนิตยสาร "ไซเอนทิกอเมริกา" มีการลงประกาศจะมอบเงินรางวัลให้กับผู้ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าวิญญาณและไสยศาสตร์มีจริง (แต่ไม่ปรากฏว่ามีใครได้เงินรางวัลนี้ไป) ฮูดินี่เป็นแกนนำในการเปิดโปงทริคเหล่านี้หลายครั้ง ซึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดคือการปะทะกับ มีน่า แครนดอน ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "มาร์เจอร์รี่" นั่นเอง ใจจริงแล้ว ฮูดินี่อยากจะเชื่อว่าไสยศาสตร์และวิญญาณมีจริง จึงได้ทุ่มตัวให้กับการเปิดโปงเหล่านี้มาก เขาต้องการจะพบนักเชิญวิญญาณตัวจริงที่จะสามารถทำให้เขาได้พูดคุยกับแม่อีกครั้ง แต่เขาก็ไม่มีโอกาสได้พบของจริงจนตลอดชีวิต
 
ปี 1926 ซึ่งฮูดินี่จัดทัวร์แสดงครบรอบ 35 ปีของชีวิตนักมายากลนั่นเอง เขาได้แสดงมายากลซึ่งให้ผู้อื่นชกเข้าที่ท้องน้อยเต็มแรงและตัวเขาจะไม่มีบาดแผลอันใดเลย ซึ่งในวันที่ 22 ตุลาคม หลังจากเสร็จการแสดง มีนักเรียนมหาวิทยาลัยแมคกิลมาพบฮูดินี่ที่หลังเวที และเมื่อฮูดินี่ลุกขึ้นต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม อีกฝ่ายก็ชกเข้าที่ท้องของเขาอย่างแรง (เจ้าตัวทำเพราะเชื่อว่าฮูดินี่เป็นอมตะจริงๆ) ฮูดินี่ที่ไม่ได้มีการเตรียมตัวรับมือ ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาทรมานอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลานานก่อนจะเสียชีวิตด้วยโรคไส้ติ่งอักเสบโดยฉับพลันในวันที่ 31 ตุลาคม ฟลอเรนซ์ ซิกเฟลด์ซึ่งเข้าร่วมในงานศพถึงกับกล่าวเมื่ออยู่ต่อหน้าหีบศพว่า "ผมกล้าพนัน ว่าเขาคงไม่อยู่ในโลงนี่แล้ว"
Credit: http://lonesomebabe.spaces.live.com
24 มิ.ย. 53 เวลา 10:32 2,485 38
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...