http://www.meekhao.com/news/medical-research-in-london
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์คือหนึ่งในสุดยอดนักวิทยาศาสตร์อย่างไร้ข้อกังขา และด้วยความที่เขาฉลาดเหนือมนุษย์ ก็ได้นำไปสู่การเกิดคดีที่แม้แต่โคนันยังต้องเงิบ!! ในวันที่ 17 เมษายน ปี 1955 นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ได้เข้าตรวจอาการเจ็บทรวงอกที่โรงพยาบาล Princeton Hospital และในเช้าวันถัดมา เค้าได้สิ้นใจจากอาการโรคเส้นเลือดเอออร์ตาโป่งพอง หรือก็คือเส้นเลือดที่ส่งเลือดไปเลี้ยงร่างกายเกิดแตกออก
เขาเสียชีวิตด้วยวัย 76 แต่แทนที่ศพของเค้าจะได้อยู่อย่างสงบ “อวัยวะส่วนสมอง” ของอัจฉริยะระดับโลกไอน์สไตน์กลับถูกขโมยไปอย่างไร้ร่องรอย และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของมหากาพย์เท่านั้น นายแพทย์ Dr. Thomas Stolz Harvey คือนักพยาธิวิทยา และเขาได้เข้าไปตรวจสอบศพของไอน์สไตน์หลังเสียชีวิตในวันที่ 18 ไปราว 7 ชั่วโมง เค้าอ้างว่าตนได้รับมอบหมายให้มาทำ
หลังจากตรวจสอบสาเหตุการตายเสร็จ เค้าได้ถอดสมองของไอน์สไตน์ออกมาชั่งน้ำหนัก และดูเหมือนเขาจะคาดหวังว่าอยากทำการศึกษาสมองของอัจฉริยะบุคคลรายนี้ ในตอนที่เกิดเรื่องไม่มีใครพบงานวิเคราะห์สมองของไอน์สไตน์หลงเหลืออยู่เลย มันอันตรธานหายไป หลงเหลือเพียงภาพบนสไลด์แผ่นใสที่ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ระดับสูง Wellcome Collection ในกรุงลอนดอน
เหตุการณ์ต่อจากวันนั้น Dr. Thomas Stolz Harvey ได้ทำการจุ่มสมองของไอน์สไตน์ลงไปใน ฟอร์มาลดีไฮด์เพื่อรักษาสภาพ หลังจากนั้นก็ผ่าตาลูกตาของไอน์สไตน์ออกมา ก่อนนำไปให้ Henry Adams ผู้เป็นหมอรักษาดวงตาประจำตัวของไอน์สไตน์ (มีข่าวล่ำลือกันว่า ปัจจุบันดวงตาคู่นั้นยังคงถูกรักษาไว้ในตู้เซฟระดับสูงในนิวยอร์ก)
ทั้งนี้การนำสมองและตาออกจากร่างไอน์สไตน์ถือเป็นสิ่งที่ขัดต่อเจตจำนงค์ของไอน์สไตน์ โดยไอน์สไตน์เคยกล่าวสังเสียว่าให้เผาศพเสียและโปรยเถ้าธุลีของเขาในแบบไม่ต้องยิ่งใหญ่ ทำแบบลับๆก็พอ ดังนั้นสิ่งที่ Thomas Stolz Harvey ทำจึงเป็นสิ่งที่ไม่เพียงละเมิดต่อทางโรงพยาบาล
แต่ยังรวมถึงการขัดต่อปราถนาสุดท้ายของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เขาไม่ใช่แม้แต่แพทย์ด้านประสาท หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสมองด้วยซ้ำศึกขโมยอวัยวะไอน์สไตน์ถือเป็นเรื่องถกเถียงแห่งยุค และยังคงเต็มไปด้วยปริศนา มี 2 ทฤษฏีหลักๆที่ทำให้ Harvey อยากขโมยสมองของไอน์สไตน์ โดยหนึ่งคือเค้าอยากเก็บไว้เอง และสองคืออาจทำตามการร้องขอจาก นายแพทย์ Harry Zimmerman ที่เป็นอาจารย์ของ Harvey และยังเป็นแพทย์ประจำตัวไอน์สไตน์ นอกจากนี้ Harvey ยังเคยอ้างอีกว่าได้รับคำยินยอมจากลูกชายไอน์สไตน์ให้ทำการวิจัยสมอง แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร หลังจาก Harvey ได้สมองเก็บไว้ในมือ โรงพยาบาลทั่วโลกก็ล้วนส่งคำขอที่จะนำมาศึกษาให้แก่ทางโรงพยาบาลต้นสังกัด Princeton ในระยะแรกโรงพยาบาลก็ทำเรื่องยื้อไว้ และสุดท้ายก็ลงเอยที่โรงพยาบาล Princeton ไม่ยอมให้ทำการศึกษา อีกทั้งยังบอกอีกว่า สมองของไอน์สไตน์จะต้องอยู่ที่ New Jersey เท่านั้น
ถึงจุดนี้ Thomas Stolz Harvey ก็ถูกโรงพยาบาลไล่ออก แต่ก่อนจะออกเค้าทำความแสบไว้มหาศาล เพราะเขาได้ลักลอบนำสมองไอน์สไตน์หนีออกมาด้วย โดยเขาติดต่อนักเทคนิคจากมหาวิทยาลัย Pennsylvania ในการแบ่งสมองบางส่วนออกเป็นนับพันชิ้น ก่อนส่งให้นาแยพทย์ Zimmerman จากนั้นเขาก็หลบหนี ความสัมพันธ์กับภรรยาที่เคยคิดจะประกาศเรื่องสมองไอน์สไตน์ก็พินาศ เขายอมหย่าขาด และเสพติดกับการครอบครองสมองของไอน์สไตน์ และหลังจากผ่านไปนานนับทศวรรษ ในปี 1985 ในที่สุดก็มีการตีพิมพ์ผลงานการศึกษาสมองไอน์สไตน์ ซึ่งได้รับการวิเคราะห์จาก Harvey ออกสู่สายตาชาวโลก และมีการพบว่าเซลล์ของไอน์สไตน์นั้นพิเศษกว่าปกติ ต้องการการเผาผลาญมากกว่าปกติ และนั่นคือสิ่งที่ส่งผลให้กรอบความคิดของเค้ากว้างไกลกว่าปกติ ซึ่งหลังจากผ่านพ้นมหากาพย์แห่งการขโมยสมองมาตลอด 50 ปี ที่มีชีวิต Harvey ก็ได้สิ้นลมในปี 2007 และในท้ายที่สุดเขาก็ยอมบริจาคชิ้นส่วนสมอง คืนกลับสู่โรงพยาบาล Princeton ที่ซึ่งเขาขโมยมันออกมา และทำให้ชีวิตอยู่ไม่สุขอีกเลยจนกระทั่งถึงวันลาโลก
ที่มา http://www.businessinsider.com/einsteins-brain-was-stolen-2015-1