"จิมมี สจวร์ต" นักแสดงฮอลลีวูดผู้ฝันร้ายทุกคืนจากภาพหลอนในสงคราม!!

http://www.meekhao.com/history/jimmy-stewart

 

จิมมี สจวร์ต เป็นที่รู้จักดีในฐานะนักแสดงชื่อดังเจ้าของรางวัลออสการ์ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเขาประสบปัญหาทางจิตอย่างหนักเพราะผลกระทบที่เกิดจากการเป็นนักบินรบในสงครามโลก

เจมส์ เมตแลนด์ สจวร์ต หรือ “จิมมี สจวร์ต” เป็นนักแสดงชาวอเมริกันที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงชายที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลในยุคทองของฮอลลีวูด

ซึ่งหนึ่งในผลงานการแสดงที่ดีที่สุดของเขาก็คือภาพยนตร์ที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกแท้จริงอย่าง “It’s a Wonderful Life” กับภาวะเครียดที่เกิดจากโรค PTSD หรือความผิดปกติที่เกิดจากเหตุสะเทือนใจ หลังจิมมีสูญเสียทหารในบังคับบัญชาไปมากกว่า 130 นายในสงครามโลก

จิมมีจมอยู่กับ “ความทรงจำดำมืด” ที่เลวร้ายเมื่อครั้งที่เขายังเป็นนักบินรบให้กับกองทัพอากาศสหรัฐฯ

เขารู้สึกผิดกับการเสียชีวิตของผู้คนจำนวนมากจากการทิ้งระเบิดในฝรั่งเศสและเยอรมนี และยังคิดว่าการเสียชีวิตของทหารในเครื่องบิน 13 ลำเป็นความรับผิดชอบของเขา

จิมมีเปิดเผยเรื่องราวสุดปวดร้าวเป็นครั้งแรกในหนังสือ Mission: Jimmy Stewart and the fight for Europe โดย Robert Matzen ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่เคยกล่าวถึงความรู้สึกเหล่านี้มาก่อนแม้แต่กับเพื่อนทหารผ่านศึกด้วยกันเอง

และจิมมีก็ได้ปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงออกมาตอนรับบทเป็น George Bailey ใน It’s a Wonderful Life

นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่อง Shenandoah และ Winchester 73 ยังเปิดโอกาสให้เขาได้สัมผัสด้านมืดของตนเองที่ไม่เคยค้นพบมาก่อนแม้แต่ตอนที่เข้าร่วมสงคราม

Matzen เผยว่าการตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพของจิมมีเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจน้อยกว่าการเป็นนักแสดง เพราะปู่ของเขาเคยเข้าร่วมสงครามกลางเมืองและญาติหลายคนของเขาก็เคยต่อสู้ในสงครามปฏิวัติ จิมมีเติบโตขึ้นมาในเมืองอินเดียนา รัฐเพนซิลเวเนีย เขาก้าวสู่วงการบันเทิงครั้งแรกตั้งแต่ตอนที่ยังเรียนหนังสือ หลังร่วมแสดงในละครโรงเรียนและได้รับการติดต่อจาก MGM ในปี 1935 และได้ร่วมแสดงภาพยนตร์ Philadelphia Story ในปี 1940 จนได้รับรางวัลออสการ์ แต่นอกจากการเป็นนักแสดงแล้วจิมมีก็ได้เข้าศึกษาในสถาบันการบิน จนสำเร็จการศึกษาได้รับใบอนุญาตและสามารถเข้าร่วมกับกองทัพอากาศได้ ในตอนแรกเขาไม่ผ่านการคัดเลือกกระทั่งถูกเรียกตัวก่อนการโจมตีท่าเพิร์ลในปี 1941 ไม่นาน หัวหน้าเคยถามว่าเขาจะหันหลังให้กับฮอลลีวูดจริงหรือ จิมมีตอบว่า “การทำเพื่อประเทศชาตินั้นยิ่งใหญ่กว่าทุกสตูดิโอในฮอลลีวูดรวมกัน เมื่อเวลามาถึงเราทุกคนก็ต้องเข้าร่วมการต่อสู้”

จิมมีถูกบรรจุเข้าไปอยู่ในหน่วย Air Force Motion Picture Division เพื่อทำสื่อโฆษณาชวนเชื่อและเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับกองทัพ

ต่อมาก็ได้เข้าร่วมรบและแสดงความสามารถให้ผู้บังคับบัญชาเห็นจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ควบคุมฝูงบินทิ้งระเบิด B-24 bomber group, the 445th, 703rd squadron และนี่คือจุดพลิกผันในชีวิตของจิมมี สจวร์ต

ภารกิจแรกของพวกเขาคือการถล่มฐานทัพนาซีในเมืองคีล จิมมีซึ่งมีสถานะเป็นผู้บังคับบัญชาได้ทำสิ่งที่แตกต่างจากหัวหน้าคนอื่นๆ เขาร่วมบินไปกับทหารทุกนายด้วย ในตอนแรกทุกอย่างเป็นไปตามแผนจนกระทั่งเครื่องบินของพวกเขาเริ่มถูกยิงตกและเกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

จิมมีเป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบซึ่งมันทำให้เขารู้สึกผิดมากกว่าเดิมในตอนที่ต้องเขียนจดหมายถึงครอบครัวของทหารหลายนายว่าพวกเขาสูญหายหรือเสียชีวิตไปแล้ว

หลังจากปฏิบัติภารกิจไปมากกว่า 20 ครั้ง จิมมีก็เต็มไปด้วยบาดแผลทั้งบนร่างกายและในจิตใจ เพราะแม้ว่าจะพยายามอย่างสุดความสามารถแค่ไหนแต่การสูญเสียก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยในสงคราม และ 2 เหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้น เมื่อเครื่องบิน 13 ลำถูกโจมตีจนระเบิดหรือตกลงสู่พื้นดิน ทหาร 130 นายเสียชีวิตจากภารกิจในเมือง Gotha ต่อมาพวกเขาได้รับภารกิจให้ทิ้งระเบิดลงสู่หมู่บ้าน Siracourt ในฝรั่งเศส แต่จากความผิดพลาดทำให้พวกเขาทิ้งระเบิดไปที่เมือง Tonnerre ทำให้ประชาชนจำนวนมากเสียชีวิตและบาดเจ็บ และจิมมีก็โทษตัวเองว่านี่เป็นความผิดของเขาซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา

จิมมีเครียดจัดจนป่วยด้วยโรค PTSD ซึ่งในขณะนั้นถูกเรียกว่า “Flak happy” 

หลังสิ้นสุดสงครามเขาไปพักอยู่ที่บ้านของเพื่อนชื่อ Peter Fonda ในลอสแอนเจลิส โดยไม่ทำอะไรเลยนอกจากจมจ่อมอยู่กับความรู้สึกผิดและการโทษตัวเอง เมื่อ Alex และ Bessie พ่อแม่ของเขา เห็นลูกชายเป็นครั้งแรกหลังกลับจากสงครามก็รู้สึกตกใจมากเพราะจิมมีดูแก่ขึ้นเป็นสิบๆ ปีทั้งๆ ที่เพิ่งเข้าร่วมสงครามแค่ 4 ปีเท่านั้น

จิมมีในตอนนั้นเป็นทหารผ่านศึกที่ได้รับรางวัลเกียรติยศมากมาย แต่เขากลับดูเหมือนชายวัย 50 ทั้งๆ ที่มีอายุแค่ 37 ปี นอกจากนี้เขายังไม่มีงานทำจนกระทั่งผู้กำกับภาพยนตร์ Frank Capra เลือกเขาเข้ามารับบทในเรื่อง It’s A Wonderful Life

จิมมียังคงสามารถแสดงภาพยนตร์ได้ยอดเยี่ยมเหมือนเดิมแต่ขณะเดียวกันบาดแผลจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ไม่เคยลบเลือนหายไป

ต่อมาเขาได้เข้าร่วมสงครามเวียดนามอีกครั้ง และปลดประจำการหลังรับใช้กองทัพมานานกว่า 27 ปี

ทุกครั้งที่จิมมีเห็นผู้คนบนท้องถนนเขาจะนึกถึงทหารใต้บังคับบัญชาที่เสียชีวิตเพราะคำสั่งของเขาหรือประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ต้องล้มตายจากการทิ้งระเบิด และฝันร้ายก็ยังคงคืบคลานเข้ามาหาเขาทุกค่ำคืน

ที่มา http://www.dailymail.co.uk/news/article-3825552/Jimmy-Stewart-suffered-extreme-PTSD-lost-130-men-fighter-pilot-WW-II-acted-anguish-filming-s-Wonderful-Life.html

Credit: http://www.meekhao.com/history/jimmy-stewart
10 ต.ค. 59 เวลา 07:32 1,130
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...