ในช่วงสงครามนั้นแต่ละฝ่ายย่อมคิดค้นและพัฒนาอาวุธใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อใช้ในการเอาชนะฝ่ายตรงข้าม และ "ก๊าซพิษ" (Mustard gas หรือก๊าซกำมะถัน) ก็เป็นหนึ่งในอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นมาเพราะง่ายในการผลิต ทั้งยังส่งผลกระทบต่อฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี โดยก๊าซพิษถูกพัฒนาคิดค้นขั้นมาช่วงต้นไป 1822 แต่แล้วในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กองทัพเยอรมันได้นำไปใช้เมื่อปี 1917 กับทหารอังกฤษ แคนาดา และเบลเยียม
Mustard gas เป็นชื่อของก๊าซพิษที่ได้มาจากสีเหลืองน้ำตาลเหมือนกับสีของมัสตาร์ด แถมกลิ่นยังเหม็นมากอีกด้วย สามารถปล่อยเป็นไอสู่อากาศจากนั้นมันก็จะสัมผัสกับผิวหนัง ดวงตา หรือการสูดดมเข้าร่างกาย
และมันถูกนำไปพัฒนาต่อจนกลายเป็นระเบิดส่วนใหญ่นิยมนำไปใช้ในสงครามและความขัดแย้งหลายรูปแบบตั้งแต่ช่วงสงครามโลกเป็นต้นมา
ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อนั้นหลังจากได้สัมผัสก๊าซพิษมันจะส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังอย่างรุนแรงและมีอาการคันจนทำให้เกิดบาดแผลขนาดใหญ่ และรุนแรงขึ้นจนผิวหนังถูกเผาไหม้เลยทีเดียว ที่สำคัญมันสามารถทะลุผ่านเสื้อผ้าได้อีกด้วย แม้ว่าจะใส่เสื้อผ้าหนาขนาดไหนก็ตาม ยิ่งถ้าสูดดมมันเข้าไปจะส่งผลร้ายแรงต่อระบบทางเดินทายใจ
และหลังจากที่ถูกก๊าซพิษเป็นเวลา 24 ชั่วโมงอาการเลวร้ายที่สุดก็จะเกิดขึ้นเพราะผิวหนังส่วนใหญ่ในร่างกายจะถูกเผาไหม้จนไม่สามารถเยียวยาได้ราวกับคนที่ตายทั้งเป็นเลยทีเดียว
และถึงแม้ว่าเหยื่อจะสามารถรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ต้องเข้ารับการบำบัดและต้องทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บปวดไปอีกนาน ที่สำคัญยังมีแนวโน้มสูงมากที่จะเป็นมะเร็งในอนาคต
แม้ว่ามันจะเป็นอาวุธที่ดูโหดร้าย ป่าเถื่อน และไร้มนุษยธรรมเพราะคนส่วนใหญ่ที่โดนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งนั้น แต่ก๊าซพิษก็ยังถูกนำมาใช้เป็นอาวุธจนทุกวันนี้ สะท้อนให้เห็นได้เลยว่าสงครามไม่มีอะไรดีเลย มีแต่เสียกับเสีย แถมคนที่ทุกข์ทรมานก็คงหนีไม่พ้นประชาชนผู้บริสุทธิ์นั่นเอง...!!