กิ้งก่าบาซิลิสก์ (Basilisk)
สัตว์แปลกวันนี้หน้าตาอาจดู เหมือนกิ้งก่าธรรมดาๆ แต่ดูแปลกๆตา แต่อย่าเพิ่งตัดสินหน้าตาบ้านๆของมันนะครับ เพื่อนเคยได้ยินข่าวหนึ่งซักเมื่อประมาณปีที่แล้วพูดถึง "กิ้งก่าสะเทินน้ำสะเทินบก" พอพูดอย่างนี้บรรดาคนรักสัตว์เลี้ยงแปลกๆ ชักเริ่มจะสนใจขึ้นมาทันที
และด้วยความที่เจ้ากิ้งก่าบาซิลิสก์ไม่เป็นกิ้งก่าหน้าตาประหลาดๆ และที่สำคัญหาดูไม่ได้ในเมืองไทยแล้ว "กิ้งก่าบาซิลิสก์" ยังเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่วิ่งบนน้ำได้อย่างน่าทึ่ง ภาพที่หาดูได้ยากนี้มีให้ดูฟรีใน "เทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์"
เจ้า กิ้งก่าบาซิลิสก์ (Basilisk) สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกแห่งแอฟริกาใต้ คงสร้างความมันงงให้กับใครๆ ที่ได้เห็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีขนาดโตเต็มวัยได้ถึง 80 เซนติเมตรนี้ วิ่งฉิ่วบนผิวน้ำโดยไม่จม และเพื่อไขปริศนาว่าเจ้าสัตว์เลื้อยคลานนี้เคลื่อนที่ไปบนผิวน้ำได้อย่างไร ทีมสารคดีของสถานีเอ็นเอชเค (NHK) แห่งญี่ปุ่นจึงได้แบกกล้องที่มีความเร็วชัตเตอร์ 1 ในล้านวินาทีไปบันทึก ภาพกิ้งก่าที่ริมบึงประเทศคอสตาริกา
ภาพจากกล้องคุณสมบัติพิเศษนี้ เอ็นเอชเคนำมาเผยแพร่ผ่านสารคดีมหัศจรรย์ธรรมชาติ ตอน กิ้งก่าบาซิลิสก์ (Nature Wonder Land II: Lizard Dashing on Water – Basilisk, Costa Rica) ในเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ (Science Film Festival) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-28 พ.ย.51 นี้ ซึ่งผู้จัดการวิทยาศาสตร์และเยาวชนจำนวนหนึ่งได้รับชมภาพยนต์เรื่องนี้ที่ จัดฉาย ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ (ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ เอกมัย)
กิ้งก่าบาซิลิสก์ (basilisk) นั้นเราคงไม่คุ้นเคย เพราะเขาอยยู่ในป่าดิบชื้นแถบอเมริกาใต้โน่น เจ้ากิ้งก่านี้ยาวจากหัวทางประมาณ 60-80 เซนติเมตร แม้จะหนักเพียง 200-600 กรัม แต่เราตึงผิวของน้ำพยุงไว้ก็ไม่อยู่แน่ ดังนั้นถ้ามีอะไรทำให้มันต๊กกะใจ จอมยุทธ์บาซิลิสก์จะใช้เคล็ดวิชาพิสดารกางนิ้วเท้าซึ่งมีพังผืดออก แล้ววิ่งหน้าตั้ง สลับขาโกยแน่บพุ่งไปบนผิวน้ำอย่างรวดเร็ว
รูปลักษณ์ภายนอกของกิ้งก่าบาซิลลิสก์ จะมีเกล็ดเขียว-ขาว-ดำ มีครีบบนหลังเหมือนปลา และสำหรับตัวผู้จะมีหงอนเพิ่มขึ้นมาด้วย เจ้ากิ้งก่าชนิดนีจะอาศัยอยู่ริมน้ำ เมื่อฟักออกจากไข่แล้วต้องเอาตัวรอดด้วยตัวเอง เนื่องจากพ่อ-แม่จะไม่ดูแล ดังนั้นการเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ออกจากไข่จึงช่วยให้สัตว์ชนิด นี้รวดพ้นจากนักล่าที่มีอยู่ชุกชุมในน้ำได้
หากมองด้วยสายตาปกติ เราแทบจะไม่เห็นว่ากิ้งก่าบาซิลลิสก์เคลื่อนที่ไปบนผิวน้ำด้วยท่าทางแบบใด แม้แต่กล้องที่ใช้กันทั่วไปก็ไม่สามารถบันทึกการเคลื่อนไหวที่มีความเร็ว 18 เมตรต่อวินาที หรือเกือบ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เมื่อวิเคราะห์ด้วยกล้องที่มีความเร็วชัตเตอร์เป็นพิเศษ เราได้เห็นภาพกิ้งก่าเคลื่อนที่บนผิวน้ำได้ถึง 5 ก้าว ในเวลา 0.25 วินาที หรือเพียงแค่เรากระพริบตาครั้งเดียว
ทั้งนี้จังหวะในการเปลี่ยนก้าวของกิ้งก่าบาซิลิสก์ใช้เวลาเพียงแค่ 0.052 วินาที ซึ่งการเคลื่อนที่อันรวดเร็วนี้ อุ้งเท้าของเจ้าบาซิลิสก์จะฟองอากาศลงไปในน้ำด้วย จากการวิเคราะห์ภาพถ่ายสรุปได้ว่ามีพลังงาน 3 อย่างที่ช่วยพยุงตัวไม่ให้กิ้งก่าบาซิลลิสก์จมน้ำ คือ แรงบาซิลิสก์ ซึ่งเกิดจากเท้ากระทุ้งผิวน้ำทำให้เกิดแรงพยุงตัว แรงต้านทานและแรงลอยตัวจากอากาศที่ช่วยพยุงเจ้ากิ้งก่าไว้ไม่ให้จม โดยกิ้งก่าจะจุ่มเท้าอีกข้างก่อนที่แรงจะหมด
แมงมุมทารันทูราเป็นแมงมุมดึกดำบรรพ์ จากการสำรวจพบว่าแมงมุมทารันทูรา มีมากกว่า 700 ชนิด ทารันทูราแต่ละชนิดมีความเป็นอยู่หลากหลาย บางชนิด อยู่ในพื้นที่กึ่งทะเลทราย บางชนิดอาศัยในป่าร้อนชื้น บางชนิดอาศัยในรู และบางชนิดอยู่บนต้นไม้ ทารันทูราล่าเหยื่อด้วยการกัดบางชนิดสามารถป้องกันตัวโดยการเตะขนที่ก้น เพื่อให้ปลิวไปถูกศัตรูเพื่อให้เกิดอาการคัน ในธรรมชาติทารันทูรา หาอาหารด้วยวิธีการล่าเหยื่อไม่ใช่สร้างใยให้เหยื่อมาติดแบบแมงมุมในกลุ่ม spider ทารันทูราสามารถอดอาหารได้นานหลายเดือน การที่แมงมุมหยุดกินอาหารในบางช่วงจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่การได้รับอาหารอย่างสม่ำเสมอก็ทำให้ทารันทูราเจริญเติบโตเร็วอีกด้วยคน ไทยเรียกว่าบึ้ง มี4 ชนิด บึ้งดำ, บึ้งลาย, บึ้งน้ำตาล, บึ้งน้ำเงิน ทารันทูรามีการลอกคราบ ในวัยเล็กจะมีการลอกคราบบ่อย มากกว่าสัปดาห์ละครั้ง เมื่อโตมากขึ้นระยะห่างการลอกคราบแต่ละครั้งจะเพิ่มขึ้น เช่น เดือนละ 1ครั้ง ถึงปีละ 2 ครั้งเมื่อโตเต็มวัย
อายุของแมงมุมทารันทู รา :
ตัวผู้จะมีอายุประมาณ 2 ปี ตัวเมียสามารถมีอายุได้ถึง 20ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละชนิดด้วย
ปัจจุบัน แมงมุมทารันทูราได้ถูกนำออกจากป่ามาเลี้ยงในเมือง โดยผู้หลงใหลในชีวิตสัตว์โลก และได้ทำการเพาะพันธุ์แมงมุม เพื่อดำรงสายพันธุ์แมงมุมให้คงอยู่ในโลกต่อไปในยุคสังคมเมืองขยายตัวอย่าง รวดเร็ว ท่านผู้สนใจเริ่มเลี้ยงทารันทูราควรตระหนักว่า ทารันทูราทุกชนิดกัดได้ ไม่ควรจับเล่นแม้แต่แมงมุมที่คิดว่าเชื่อง
ถ้าถามว่าแมงมุมกัดคนตายหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ มีอยู่เพียง 2 สายพันธุ์ที่มีพิษร้ายแรง Pterinochilus, Poecilotheria ไม่รวมจำพวก trapdoor, spider แต่สายพันธุ์อื่นก็ต้องระวังเช่นกันเพราะขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนมีอาการแพ้ เพียงใด
เลือกชนิดแมงมุมทารันทูรา ที่จะเลี้ยง
ทารันทูรามีหลากหลายชนิด แต่ทารันทูราที่เหมาะกับผู้เริ่มเลี้ยงเป็นตัวแรกมีเพียงไม่กี่ชนิด ซึ่งที่จะแนะนำมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่
Grammostola Rosea
Grammostola Rosea
อาศัยในเขตประเทศชิลี อาศัยในพื้นที่แห้ง ขนจะมีสีชมพูสีขนจะชัดเจนมากในตัวผู้ ทารันทูราชนิดนี้เชื่องมากแทบไม่เคยแสดงอาการก้าวร้าวใดๆราคาถูกและเลี้ยง ง่ายจึงเหมาะสมที่สุดที่จะเลี้ยงเป็นตัวแรกถึงจะเป็นชนิดที่เป็นมิตรที่สุด แต่เคยมีคนโดนกัดมาแล้ว ขอย้ำว่าทารันทูราไม่ควรจับเล่น
Brachypelma Smithi
Brachypelma Smithi
อาศัยในเขตประเทศเม็กซิโก อาศัยในพื้นที่แห้งเป็นแมงมุมที่สวยงามได้รับความนิยมอย่างมาก แมงมุมชนิดนี้สามารถเตะขนได้ เมื่อขนปลิวมาสัมผัสผิวหนังจะทำให้เกิดอาการคัน ปกติแล้วอาการจะไม่รุนแรงมากนักขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าจะมีอาการแพ้หรือ ไม่ Brachypelma Smithi เป็นอันดับที่ 2 ที่แนะนำ เพราะไม่ก้าวร้าว กินเก่ง โตเร็ว เลี้ยงง่าย ราคาไม่แพง แต่ความเป็นมิตรน้อย กว่า Grammostola Rosea
สำหรับแมงมุมทา รันทูรา ขอแนะนำเพียง 2 ชนิด สำหรับผู้เริ่มเลี้ยง แมงมุมที่อาศัยในพื้นที่แห้งเลี้ยงง่ายที่สุด เมื่อคุ้นเคยแล้ว อาจเลี้ยงทารันทูรา ที่อาศัยในรู หรืออาศัยบนต้นไม้ เพิ่มขึ้นตามความพอใจ
ตู้-กล่อง เลี้ยง :
ตู้กระจก ตู้พลาสติก ตู้อคิลิก ก็ได้แล้วแต่ความต้องการของผู้เลี้ยง แต่จะต้องมีช่องระบายอากาศให้ถ่ายเทได้สะดวก และปิดมิดชิดเพื่อไม่ให้แมงมุมทารันทูราปีนหนีได้ สำหรับการเลี้ยงนั้น 1 ตู้ควรเลี้ยงเพียง 1ตัว เท่านั้น เพราะแมงมุมทารันทูราหากเลี้ยงรวมกันอาจกัดกินกันได้ และภายในตู้ควรมีถ้วยน้ำใบเล็กๆ วางไว้เพื่อให้น้ำแมงมุมด้วย
วัสดุ รองพื้นตู้ :
สามารถใช้ได้หลายสิ่ง แต่ที่ต้องการแนะนำ คือ พีทมอส ,ขุยมาพร้าว เหมาะกับแมงมุมทุกประเภท และสามารถเก็บความชื้นได้ดีสำหรับทารันทูราที่ต้องการความชื้น และใส่ให้หนามากขึ้นสำหรับ
ตัวที่อาศัยในรู
อาหารของ แมงมุมทารันทูรา :
แมงมุมทารันทูราเป็นสัตว์ล่าเหยื่อ มักกินแต่สิ่งมีชีวิต การนำเนื้อสัตว์ที่ตายแล้วให้เป็นอาหาร อาจทำได้แต่ยากที่แมงมุมทารันทูรายินดีที่จะกินมัน เมื่อให้อาหารที่มีชีวิตแล้ว หากทารันทูราไม่กินให้เอาออก เพราะเหยื่อตัวนั้นอาจทำอันตรายแมงมุมทารันทูรา ตัวอย่างอาหารที่นิยมนำมาเลี้ยงแมงมุมทารันทูรา เช่น จิ้งหรีด หนอนนก หนูแดง ฯ
ภาพตัวอย่างของแมงมุมทารันทูรา
จิ้งเหลนจระเข้ หรือ เรด อาย ครอกโคไดล สกินก์ (Red-eyed Crocodile Skink)
กิ้งก่าจระเข้ หรือ เรด อาย สกิงก์ เป็นสัตว์เลื้อยคลานประเภทจิ้งเหลน แต่พฤติกรรมและลักษณะของมันเหมือนกิ้งก่ามากกว่าที่จะเป็นจิ้งเหลนแบบที่เรา เคยเห็นโดยทั่วไป โดยเฉพาะลำตัวที่มีลักษณะเป็นเดือยหนามปกคลุมโดยทั่วจรดถึงหางคล้ายจระเข้ ซึ่งแตกต่างจากตระกูลจิ้งเหลนซึ่งจะมีผิวหนังเรียบ อาจกล่าวได้ว่าเป็นจิ้งเหลนเพียงชนิดเดียวที่มีลักษณะเช่นนี้ กลุ่มคนรักสัตว์จึงรู้จักมันในนามของ กิ้งก่าจระเข้ เป็นส่วนใหญ่
เรด อาย สกิงก์ หรือ กิ้งก่าจระเข้ ลักษณะคล้ายกิ้งก่า แต่จริงๆ แล้วมันคือ จิ้งเหลน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว อย่างที่เราพบเห็นกันมากตัวจิ้งเหลนมันจะออกลื่นๆ ตัวยาวๆ ผิวมันๆ แต่ลักษณะของ เรด อาย สกิงก์ จะต่างออกไป คือมีหนามแหลมทั่วลำตัว หัวทรงสามเหลี่ยม ลำตัวคล้ายทรงสี่เหลี่ยม มีสีน้ำตาลเข้มจนถึงสีดำ แถมยังออกลูกเป็นไข่ ขณะที่จิ้งเหลนทั่วไปออกลูกเป็นตัว
เนื่องจากว่า เรด อายฯ เป็นสัตว์ที่ต้องการความชื้นสูง การเลี้ยงในตู้จึงต้องพยามเลียนแบบธรรมชาติให้ได้มากที่สุด ตู้เลี้ยงยิ่งใหญ่ ยิ่งดี จัดระบบนิเวศน์ให้เหมือนธรรมชาติ คือมีใบไม้ ต้นไม้มากๆ มีพื้นดินชื้นๆ มีถาดน้ำให้เขาแช่บ้าง แต่ปกติ พวกนี้ไม่ได้ลงน้ำหรือว่ายน้ำขนาดนั้น เพียงให้เขาอยู่ใกล้ๆ แหล่งน้ำ มีที่มุดที่ซ่อน ซึ่งการเลี้ยงในตู้ลักษณะนี้เราสามารถเลี้ยงรวมกับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ อย่างกบบางชนิดที่มีขนาดใหญ่กว่าเรด อายฯ ได้ เพราะเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกัน"
อาหาร ของ"เรด อาย สกิงก์" หรือ "กิ้งก่าจระเข้" :
จิ้งเหลนจระเข้ ตามธรรมชาติหากินเวลากลางคืน มีอาหารหลักคือ จิ้งหรีด ทาก ลูกกบ หนอน ตั๊กแตน ไส้เดือน หนอนไหมหนูแดง และแมลงปีกแข็งขนาดเล็ก แต่เมื่อนำมาเป็นสัตว์ภายในบ้าน คุณปิยสิชฌ์ บอกว่า สามารถให้อาหารได้ง่ายๆ โดยให้จิ้งหรีดหรือหนอนนก ซึ่งเป็นอาหารสัตว์ที่หาซื้อได้ง่ายในปัจจุบัน นำมาคลุกกับผงวิตามินรวมหรือผงแคลเซียมก่อนโรยใส่ในตู้เพื่อเสริมแร่ธาตุให้ กับสัตว์เลี้ยงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แต่ควรเลือกหนอนและจิ้งหรีดที่มีขนาดเล็ก
สัตว์ที่เป็นสัตว์เลื้อยคลานเกือบทุกชนิดดูแลง่าย ให้อาหารง่าย ถ้าเราไปต่างจังหวัดหลายวัน สัตว์ก็อยู่ได้ เพราะสามารถอดอาหารได้เป็นอาทิตย์ แต่ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่ก็อยู่ได้เป็นเดือน หากสามารถแยกเพศได้จริงๆ ก็ขยายพันธุ์ได้ไม่ยาก เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ก็สามารถจับคู่ให้ผสมพันธุ์ได้ตามธรรมชาติ แต่ต้องมีอุณหภูมิและมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมด้วย สำหรับ เรด อายฯ หากผสมพันธุ์แล้วมันจะใช้เวลาตั้งท้อง 20 กว่าวัน ช่วงที่ท้องอ่อนจะสังเกตลำบาก ตัวที่เป็นสีดำจึงค่อนข้างลำบากในการมอง แต่ในช่วงไข่แก่เต็มที่ เมื่อคลำดูจะเห็นชัดเจนมากขึ้น พอใกล้ถึงเวลาวางไข่มันจะมีพฤติกรรมลุกลี้ลุกลน จะทำรังทำอะไรเตรียมแอ่งไว้ ถ้าเราเลี้ยงให้มีระบบนิเวศน์ใกล้เคียงก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะการใช้ขุยมะพร้าวรองพื้นตู้เป็นวัสดุในการวางไข่ที่ดีของพวกมัน"
ส่วน เรื่องการซื้อขายในปัจจุบัน :
จิ้งเหลนจระเข้ มีราคาค่าตัวอยู่ที่ตัวละ 1500 บาทขึ้นไป มีการซื้อขายเฉพาะกลุ่มเท่านั้น คุณปิยสิชฌ์ แนะนำว่าควรเลือกซื้อตัวที่สมบูรณ์ โดยสังเกตจากโครงสร้างโดยรวมและเกล็ดหนามบริเวณแถบหลังว่าครบหรือไม่ หากไม่เรียงเป็นระเบียบหรือเกล็ดใดเกล็ดหนึ่งแหว่งหรือขาดไปแสดงได้ถึงความ ไม่สมบูรณ์ หรือสังเกตที่นิ้วเท้าทั้งสี่และปลายหางว่าครบ ขาดหรือไม่ เพราะตามธรรมชาติหาก เรด อายฯ เจอตัวผู้ด้วยกันอาจมีการต่อสู้ หรืออาจผ่านการเลี้ยงแบบไม่ถูกสุขลักษณะมาก่อน เช่น ปล่อยให้น้ำเน่า และควรเลือกตัวที่มีเนื้อตัวสะอาด ไม่เป็นแผล และมีสีรอบดวงตาเด่นชัด
งูบอล หรือ งูบอลไพธอน (Ball Python)
งูบอลมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า : Python Regius
ชื่อ อื่นๆของงูบอล :
Royal Python(ยุโรป), Ball Python(อเมริกา) ส่วนในประเทศไทยนั้นเรียกตามอย่างอเมริกา คือ Ball Python,งูบอลไพธอน,งูบอล
ถิ่นกำเนิดของงูบอล :
ทวีปแอฟริกา โดยพบตั้งแต่แอฟริกากลางไปจนถึงแอฟริกาตะวันตก
ลักษณะ ของงูบอล :
งูบอลไพธอนนั้นส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่บนพื้นดินมากกว่าอยู่บนต้นไม้ งูบอลไพธอนนั้นหากมองผิวเผินลักษณะจะดูคล้ายกับงูเหลือมหรืองูหลามในบ้านเรา แต่จะมีลักษณะพิเศษอยู่ที่ลำตัวที่มีขนาดสั้นกว่างูทั่วไป โดยงูบอลเมื่อโตเต็มที่แล้วความยาวของลำตัวจะอยู่ที่ประมาณ 1.20 เมตร สีของงูบอลนั้นมีอยู่หลายสีและแต่ละตัวลวดลายก็จะไม่เหมือนกัน สีของลำตัวนั้นจะมีตั้งแต่สีน้ำตาลไปจนถึงสีเหลือง ตัดกับลวดลายสีดำทั่วทั้งตัว ด้วยความที่งูบอลเป็นที่นิยมเลี้ยงของผู้ที่นิยมสัตว์เลี้ยงแปลกๆ จึงได้มีการนำมาเพาะเลี้ยงและพัฒนาสีและสายพันธุ์ในกลุ่ม Bleeder งูบอลในกลุ่มนี้ก็จะมีลวดลายและสีสันที่สวยงามกว่างูบอลตามธรรมชาติ ส่วนงูบอลที่เลี้ยงในบ้านเราส่วนใหญ่จะเป็นงูบอลสีธรรมชาติหรือนอมอล ก็คือออกไปทางน้ำตาลเสียส่วนใหญ่เนื่องจากสีอื่นๆมีราคาที่ค่อนข้างสูง
นิสัยของงูบอลไพธอน : งูบอลไพธอนเป็นสัตว์ที่ไม่ กร้าวร้าว ไม่ดุ ส่วนใหญ่รักสงบ แต่จะมีขู่บ้างหากทำให้ตกใจ แต่เมื่อมันได้กลิ่นเจ้าของและจับขึ้นมาแล้วก็จะสงบเป็นปกติ เวลาที่งูบอลตกใจหรือกลัวนั้นมันจะขดตัวกลม ดูแล้วคล้ายกับลูกบอล จึงเป็นที่มาของชื่องูบอลที่เรียกกัน
อาหารของงูบอลไพธอน : อาจจะฟังดูโหดร้ายไปนิดนึงสำหรับคนรักสัตว์เนื่องจากงูบอลไพธอนนั้นชอบกิน หนู และเนื้อสัตว์ต่างๆ(โดยธรรมชาติก็จะกินสัตว์เล็กอื่นๆด้วย) เช่น หนูขาว หรือหนูถีบจักร เนื้อไก่ ฯ
ช่วงลอกคราบของงูบอลไพธอน :
ช่วงปีแรกของลูกงูบอลนั้นจะมีอัตราการลอกคราบที่ค่อนข้างถี่เฉลี่ยเดือนละ ครั้ง เนื่องจากอยู่ในช่วงกำลังโตทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาหารที่เลี้ยงงูบอลด้วย หากผู้เลี้ยงให้อาหารสม่ำเสมอก็จะลอกคราบถี่ขึ้น การสังเกตุงูบอลขณะลอกคราบ ช่วงแรกที่เรียกว่าการเข้าคราบนั้นจะเริ่มจากการที่งูตาขุ่น และไม่กินอาหาร ช่วงที่ตาขุ่นจะกินระยะเวลาประมาณ 7-10 วัน หลังจากนั้นตาก็จะใสอีก 2-3 วัน จึงจะลอกคราบ คราบของงูที่สุขภาพดีส่วนมากจะต้องลอกออกมาเป็นชิ้นเดียว หากคราบของงูมีลักษณะไม่ต่อกันเป็นชิ้นเดียว แสดงว่างูตัวนั้นค่อนข้างขาดความชื้น ควรเพิ่มความชื้นให้งูโดยการฉีดสเปรย์น้ำให้งูบอลในช่วงที่เข้าคราบ และมีถ้วยใส่น้ำวางไว้ให้ ข้อควรระวังในช่วงที่งูเข้าคราบนั้นผู้เลี้ยงไม่ควรไปรบกวนเพราะงูจะเครียด และอาจฉกกัดเพื่อป้องกันตัวได้
การอาบน้ำงูบอลไพธอน : งูบอลนั้นควรมีการจับอาบน้ำเมื่อเนื้อตัวสกปรกหรือมีกลิ่น เนื่องจากงูบอลจะเลื้อยทับขี้ที่อยู่ภายในกล่อง การอาบน้ำงูบอลนั้นก็แค่เพียงอาบด้วยน้ำสะอาดก็เพียงพอแล้ว
การ เลือกซื้องูบอลไพธอน : สังเกตุได้จากลักษณะภายนอก เช่น การเลื้อยดูแข็งแรง ผิวของเกร็ดงูไม่แห้งหรือเป็นแผล ปากงูบอลต้องสบกันสนิท ตาใส ไม่ผอมเกินไป และควรสอบถามเรื่องอาหารการกินจากผู้ขายด้วยว่าเลี้ยงอะไรก่อนหน้านี้เพื่อ ที่เราจะได้จัดเตรียมได้ถูกต้อง
อุปกรณ์การเลี้ยงงูบอลไพธอน : งูบอลไพธอนนั้นควรเลี้ยงในอุปกรณ์ที่มีฝาปิดเพื่อกันไม่ให้เลื้อยออกไปที่ อื่น เช่น ตู้ปลา กล่องพลาสติก ฯ
ลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์(Pygmy Tarsier) เป็นลิงแคระที่หน้าตา...น่ารัก(หรือเปล่า) แต่ดูๆไปมันก็น่ารักดี เป็นสัตว์แปลกอีกประเภท
"ปิ๊กมี่ทาร์เซียร์"สัตว์ประหลาด คล้าย"เกรมลิน"บน เทือกเขารอคาทิมโบ ในเกาะสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย นักวิทยาศาสตร์เพิ่งพบตัว "ปิ๊กมี่ทาร์เซีย" สัตว์ตัวจิ๋วที่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นมากว่า 80 ปี จนคิดว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้ว"ปิ๊กมี่ทาร์เซียร์" เป็นสัตว์จำพวกลิงไม่มีหาง ตัวของมันเล็กมาก น้ำหนักประมาณ 50 กรัม เท่านั้น มันมีดวงตาใหญ่โต ดูคล้ายกับตัวเกรมลิน ในหนังเรื่องเกรมลินส์ ดร. ชารอน เกอร์สกาย-โดเยน จากมหาวิทยาลัยเท็กซัสเอแอนด์เอ็ม กล่าวว่า "เราพบปิ๊กมี่ทาร์เซีย 3 ตัว เป็นตัวผู้ 2 ตัว ตัวเมีย 1 ตัว เราเห็นตัวที่ 4 ด้วย แต่มันหนีไปได้" ดร.เกอร์สกาย-โดเยน ยังกล่าวอีกด้วยว่า "ฉันถูกกัดด้วยนะ ขณะที่ผู้ช่วยกำลังจับตัวมันอยู่ ฉันพยายามใส่ปลอกคอติดตามตัวให้ แต่การที่จะจับปิ๊กมี่ทาร์เซียให้อยู่นิ่งๆ นั้น ยากมาก เพราะมันหมุนคอได้ถึง 180 องศา ก็เลยกัดนิ้วฉันซะเลือดออกเลย"...
ปิ๊กมี่ทาร์เซียร์(Pygmy Tarsier)
ลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์(Pygmy Tarsier) นั้นเป็นสัตว์ที่ออกหากินเวลากลางคืน พบได้ในเขตตอนกลางของเกาะสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีพืชพันธุ์ต่างๆอยู่น้อยต่ำกว่าป่าเขตร้อนทั่วไป ลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์นั้นมีความเชื่อกันว่ามันได้สุญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ ก่อนศตวรรษที่ 20 หรือตามข่าวก็คือไม่เคยมีผู้ใดเห็นมากว่า 80 ปี จนคิดว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้ว จนกระทั่งมีการค้นพบพวกมันอีกครั้งตามข่าว
ลักษณะ ทั่วไปของ ลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์(Pygmy Tarsier)
ลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์นั้นมีความยาวลำตัวประมาณ 95-105 ม.ม. (ประมาณ 4 นิ้ว) และน้ำหนักน้อยกว่า 57 กรัม (2 ออนซ์) ลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์นั้นมีขนาดตัวเล็กกว่าทาร์เซียร์ชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีหูขนาดเล็กกว่าทาร์เซียร์ชนิดอื่น ลักษณะขนของมันเป็นสีน้ำตาล หรือน้ำตาลอมแดง และหนังที่มีสีเทา หางเป็นสีน้ำตาลยาว โดยที่ความยาวตั้งแต่หัวถึงหางจะยาวอยู่ที่ประมาณ 135-275 ม.ม.
ลักษณะเด่นของลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์อยู่ที่ดวงตาที่มีขนาดใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 16 ม.ม. ลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์ยังมีเล็บนิ้วมือทั้งหมด 5 นิ้ว และนิ้วมือมันค่อนข้างยาวเพื่อช่วยในการปีนป่ายต้นไม้ได้รวดเร็วและเพื่อใช้ จับอาหาร
พฤติกรรมของ ลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์(Pygmy Tarsier)
ลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์(Pygmy Tarsier) พบว่าพวกมันอาศัยอยู่เป็นคู่นานถึง 15 เดือน ลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์มี 2 ฤดูกาลผสมพันธุ์ เริ่มต้นในช่วงฤดูฝนและยาวไปอีกประมาณ 6 เดือน ลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์ใช้ระยะเวลาในการตั้งท้องใช้เวลา 178 วัน โดยเฉลี่ย และลูกๆของลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์จะคลอดออกมาดูโลกในช่วงเดือนพฤษภาคม และจากพฤศจิกายน-ธันวาคม ลูกของลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์นั้นค่อนข้างมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว โดยที่ลูงลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์จะเริ่มจับเหยื่อเองเมื่ออายุได้เพียง 42 วัน และจะเริ่มการเดินทางไปกับฝูงหลังจากนั้นอีก 23 วัน
ลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์(Pygmy Tarsier)เป็นสัตว์ออกหากินเวลากลางคืน และใช้ชีวิตส่วนใหญ่บนต้นไม้ ส่วนในเวลากลางวันพวกมันจะนอนในลักษณะเกาะต้นไม้นอน ลิงปิ๊กมีทาร์เซียร์นั้นจะไม่เหมือนกับลิงทาร์เซียร์ชนินอื่นที่มักใช้ต่อม กลิ่นในการแบ่งอาณาเขต แต่พวกมันจะใช้ลักษณะของการสื่อสารตามแบบฉบับของมัน
อาหาร ของ ลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์(Pygmy Tarsier)
ลิงปิ๊กมี่ทาร์เซียร์ เป็นสัตว์กินเนื้อเป็นอาหาร พวกมันจะจับพวกสัตว์เล็กและแมลงเป็นอาหาร
เช่น แมลงต่างๆ นก งู หนู
กิ้งก่าคาเม เลี่ยน(Chameleon)
คาเมเลี่ยน(Chameleon) หรือกิ้งก่าเปลี่ยนสี จัดเป็นกิ้งก่าที่หน้าตาแปลกชนิดหนึ่งมีขนาดลำตัวตั้งแต่ 8-12 นิ้ว เป็นสัตว์ที่เคลื่อนที่ช้ามาก เพราะแต่ละก้าวต้องมาจากความมั่นใจ ด้วยสายตาที่ระแวดระวังภัยทุกด้าน(ตาหมุนได้ 360 องศา) ไม่มีเล็บที่แหลมคมสามารถจับเล่นได้ และปรับเปลี่ยนสีลำตัวต