เมื่อวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา ในเพจเฟสบุ๊ค สำนักข่าวเจรฺญพ วงV2 ได้มีการโพสต์ข้อความระบุว่า…อูยย เต้าโผล่เลยนะเณร หลวงพี่งี้ขึ้นเลย เจริญพวง
ซึ่งจากการตรวจสอบไปยังเฟสบุ๊คต้นเรื่องก็พบว่า เป็นเณรแต่มีรูปร่างไม่เหมือนเพราะลักษณะของเณรจะต้องมีลักษณะเป็นร่างชาย ไม่ม่คิ้ว แต่เจ้าตัวกับมีหน้าอก(ศัลยกรรม-กินยาคุม)รวมทั้งบนใบหน้าของเณรผู้นี้ยังมี คิ้วที่กันโก่งแบบผู้หญิงด้วย
ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 29 ส.ค.เพจเดิมก็มีการโพสต์แฉอีกเช่นเดิมเคทเดียวกันแต่คนละคนกัน โดยระบุว่า…นี่ก็สายนมอีกคนแล้วโยม ลั่นกุฏิแน่นอน เจริญพวง@หลวงจอห์น
ทั้งนี้บุคคลที่พระพุทธเจ้าห้ามบวชโดยเด็ดขาด เพราะเพศบกพร่องก็มี เพราะประพฤติผิดพระธรรมวินัยก็มี เพราะประพฤติผิดต่อ (ผู้ให้) กำเนิดของเขาเองก็มี ซึ่งจำพวกมีเพศบกพร่องนั้น คือ บัณเฑาะก์ ที่แปลว่ากะเทย, อุภโตพยัญชนก ที่แปลว่าคนมีทั้ง ๒ เพศ
กะเทย นั้นได้ความตามบาลีและอรรถกถาว่า ได้แก่ชายมีราคะกล้า ประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและยั่วยวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น
ชายผู้ถูกตอน (ขันที) ก็ห้ามอุปสมบทเหมือนกัน คนชนิดนี้เป็นที่รังเกียจของคนอื่นในทางกามารมณ์ (ชายที่ทำหมันคุมกำเนิด ไม่เกี่ยวกับกรณีนี้) คนลักเพศ นั้นคือถือเพศภิกษุเอาเองด้วยตั้งใจจะปลอมเข้าอยู่ในหมู่ภิกษุ เช่นปลอมตัวว่าบวช ปลอมเข้าอยู่ในหมู่ภิกษุ
ซึ่งมีบันทึกอยู่ในพระวินัยปิฎก เล่มที่ 4 ชื่อมหาวรรค คำว่ามหาวรรค แปลว่าวรรคใหญ่ บรรจุข้อความมากถึง 2 เล่มพระไตรปิฎก คือเล่ม 4 และเล่ม 5 เฉพาะในเล่ม 4 แบ่งเป็นหมวดหรือตอนที่สำคัญ ซึ่งเรียกว่า “ขันธกะ” รวม 4 ขันธกะ
อธิบาย พระวินัยที่ทรงบัญญัติในเรื่องนี้ว่า ครั้งนั้นมีบัณเฑาะก์คนหนึ่งบวชในสำนักภิกษุ เธอเข้าไปหาภิกษุหนุ่มๆ แล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า ภิกษุทั้งหลายพูดรุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จงฉิบหาย เจ้าบัณเฑาะก์จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยเจ้า
ภิกษุบัณเฑาะก์นั้นจึงเข้าไปหาพวกสามเณรโค่งผู้มีร่างล่ำสัน แล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้าพวกสามเณรพูดรุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จงฉิบหาย เจ้าบัณเฑาะก์จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยเจ้า
ภิกษุบัณเฑาะก์จึงเข้าไปหาพวกคนเลี้ยงช้าง คนเลี้ยงม้า แล้วพูดอย่างนี้ว่า มาเถิด ท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้าพวกคนเลี้ยงช้าง พวกคนเลี้ยงม้า ประทุษร้ายแล้วจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้เป็นบัณเฑาะก์ แม้พวกใดที่มิใช่บัณเฑาะก์ พวกนั้นก็ประทุษร้ายบัณเฑาะก์ พระสมณะเหล่านี้ก็ล้วนแต่ไม่ใช่เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกคนเลี้ยงช้าง พวกคนเลี้ยงม้า พากันเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคพระ ผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันคือบัณเฑาะก์ ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสียดังนั้นในการสวดถามอันตรยิกธรรม ระหว่างการอุปสมบท จึงมีการถามว่าเป็นบัณเฑาะก์หรือไม่อยู่ด้วยเป็นการสวดถามที่สำคัญมากรองจาก การถามว่า “มนุสโสสิ” (ผู้จะออกบวชเป็นมนุษย์หรือไม่)นั่นคือคำว่า “ปุริโสสิ” (ผู้จะออกบวชเป็นบุรุษ/เป็นชายเต็มร้อยหรือไม่)
ซึ่ง หากผู้ที่จะออกบวชรู้ตัวอยู่แล้วว่าตัวเองไม่ใช่ชายเต็มร้อย เมื่อถูกพระคู่สวดถามว่าปุริโสสิ แต่ยังขานรับว่า “อามะ ภันเต” (ใช่ ขอรับ) จะเป็นการมุสา ผิดศีลตั้งแต่ก่อนจะได้บวชทำให้การบวชนั้นเป็นโมฆะนอกจากนั้นพระอุปัชฌาย์ ที่รู้ว่าผู้จะออกบวชเป็นบัณเฑาะก์ แต่ยังคงบวชให้จะมีความมัวหมองต้องอาบัติไปด้วย
บัณเฑาะก์หรือกะเทยจึงต้องห้ามมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่ยังคงติดตามมาสร้างความมัวหมองให้พระพุทธศาสนาตลอดเวลาทั้งที่ผ่านมา แล้วกว่าสองพันห้าร้อยปี
ทั้งนี้ภายหลังการโพสต์สามเณรทั้ง 2 ที่เหมือนมีหน้าอกเหมือนผู้หญิงก็มีผู้คนเข้ามาวิพากวิจารณ์มากมาย อาทิ
ขอบคุณที่มา: http://www.zocialx.com/3012/