บันทึกเรื่องราวแห่งความปลาบปลื้ม.. ครูกรูโบ
ครูเจี๊ยบ...คือ ครูอาสา สอนเด็กๆกะเหรี่ยง
ครูสอนการศึกษานอกโรงเรียนอยู่บ้านกรูโบ ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก
ซึ่งเป็นโรงเรียนที่อยู่ห่าง อ. อุ้มผาง ประมาณ 88 กม.เดินทาง 3 วัน
...วันที่1 เดินทางจากอำเภออุ้มผางถึงบ้านกุยเลอตอ ระยะทาง 68 กม. โดยการนั่งรถโดยสารสองแถว
จากบ้านกุยเลอตอเดินเท้าไปบ้านกุยต๊ะ ระยะทาง 5 กม.ใช้เวลาเดิน 1-2 ชั่วโมง
..วันที่ 2 เดินจากบ้านกุยต๊ะถึงบ้านหม่องกั๊วะ ระยะทาง 15 กม. ใช้เวลาเดิน 4-6 ชั่วโมง
..วันที่ 3 จากบ้านหม่องกั๊วะถึงบ้านยูไนท์ระยะทาง 15 กม. ใช้เวลาเดิน 7-10 ชั่วโมง
@...11 ปี ที่สู้อดทน เพื่อเด็กๆที่ด้อยโอกาส
.
.
( อ.อุ้มผาง อยู่ตอนล่าง ของ จ.ตาก ครับ...ติดประเทศพม่า และ จ.กาญจนบุรี)
เห็นไหม บ.กรูโบ
อยู่ล่างสุดของแผนที่ ( ใกล้ๆ บ้านแม่จันทะ )
ไกลกว่า บ. เลตองคุอีกนะ
v
v
.
.
..ต่อไปนี้คือ บทความที่ครูเจี๊ยบได้บอกกล่าวเล่าเรื่องต่างๆ
ให้พวกเรารับรู้รับทราบเรื่องราวต่างๆของครูอาสาคนหนึ่ง...
ที่เธอแสนภาคภูมิใจที่ได้ทำเพื่อเด็กๆ...
@...เรื่องราวแห่งความปลาบปลื้มของครูกรูโบ ชีวิตของครูอาสาบ้านกรูโบ
หลังวันหยุดพักเดือนมีนาคม ได้เดินทางขึ้นหมู่บ้านกรูโบ พอไปถึงก็ได้ทราบข่าวจากชาวบ้าน ว่าหญิงชาวกะเหรี่ยงที่ชื่อหน่อมื้อน่วย ได้คลอดลูกออกมา 7 วันแล้วเป็นเด็กผู้ชาย ชาวบ้านบอกลูกของเขาไม่แข็งแรง ตัวเล็กประมาณ 1500 กรัม อาจจะไม่ถึงด้วยซ้ำ และคงไม่รอดเพราะผู้เป็นแม่สติไม่ดี เลี้ยงลูกไม่เป็น กลางวันไม่ให้กินนม ให้กินเฉพาะตอนกลางคืน น้ำนมไม่ค่อยมีด้วย ญาติพี่น้องไม่ดูแลเพราะเห็นว่าเด็กคนนี้ต้องตายแน่ๆ อีกทั้งหญิงกะเหรี่ยงคนนี้ตั้งท้องโดยไม่มีใครยอมรับเป็นพ่อของเด็กเลย เราคิดว่าจะช่วยชีวิตเด็กคนนี้ได้อย่างไร จะปล่อยให้เขาตายหรือ ในเมื่อเขายังมีลมหายใจรอคอยความช่วยเหลือจากใครคนหนึ่งอยู่ เย็นวันนั้นก็เลยไปดูเด็กที่บ้าน แม่ของเขากำลังอุ้มอยู่ ตัวเขาถูกห่อด้วยผ้ามุ้งเก่าๆ มองดูตัวเล็กนิดเดียว หัวเล็กกว่ากำปั้น แขนเล็กเท่านิ้วก้อย เนื้อตัวเหี่ยวและเฉอะแฉะเปียกชื้นด้วยความไม่เป็นประสาของผู้เป็นแม่ “ ให้ครูเอาไปเลี้ยงนะ “ แม่เขาพยักหน้าแล้วส่งลูกให้ เราอุ้มพาเขากลับบ้านพัก บอกครู ตชด. ว่าเราจะช่วยกันเลี้ยง เราช่วยกันหาผ้าห่มสะอาดมาตัดเป็นผ้าอ้อมผืนเล็กๆ แล้วรีบต้มน้ำร้อนผสมน้ำอุ่น ช่วยกันทำความสะอาดส่วนหมักหมมของเขาบริเวณก้น จึงพบว่าก้นกบเป็นแผลจากการถูกปัสสาวะกัด ในปากเป็นละอองฝ้าขาว เขาคงเจ็บจนแทบไม่อยากกินนม ในตอนนั้นเขาไม่ร้องเลยเพราะไม่มีแรงจะร้องแล้ว เราจะช่วยกันยื้อยุดชีวิตน้อยๆนี้ไว้ ถึงแม้ในใจต่างก็รู้ว่ามันแทบไม่มีเปอร์เซ็นต์รอดเลย ยาทุกชนิดเท่าที่หาได้ ในเวลานั้น เรานำมาใช้มี มหาหิงคุ์ ยาป้ายลิ้น ยาเขียว วันแรกก็ยังดูไม่ออกเพราะอาการยังทรงอยู่ พอวันที่ 2 เขาดีขึ้น เริ่มกินนมได้ครั้งละนิดหน่อยแต่บ่อยครั้งขึ้น เพื่อน ตชด. เอานมผงมาให้จาก บ้านแม่จันทะระยะทาง เดินเท้า 10 กิโลเมตร เขาเริ่มมีเสียงร้อง เราทุกคนเริ่มยิ้มออก เราจะอยู่กับเขาตลอดคอยป้อนน้ำป้อนนม โดยใช้ขวดไอโอดีนหยดใส่ปากบ่อยๆ เราช่วยกันด้วยหวังว่าชีวิตน้อยๆชีวิตหนึ่งจะต้องรอดชีวิตได้ ต่อมาเขาเริ่มดีขึ้น แผลที่ก้นกบเริ่มหาย จนถึงวันที่ 5 ตอนเย็นเรามีประชุมชาวบ้าน เราเอาเขาไปด้วยเพราะที่บ้านพักไม่มีใครอยู่ เขาเริ่มเป็นไข้ตัวร้อนมาก เรารีบพาเขากลับบ้าน ทำอย่างไรดี รีบหายาพาราเด็กมาผสมน้ำใส่ปากเพียง 2-3 หยด พอเช้าเขาก็หายจากอาการตัวร้อน แต่กลับมีอาการไอแทรก เราเริ่มไม่แน่ใจว่าอาการของเขาดีขึ้นจริงหรือเปล่า บ่ายวันต่อมาเขาเริ่มมีอาการหอบและครางเหมือนหายใจไม่สะดวก เราปรึกษากันว่าจะพาเขาไปโรงพยาบาลอุ้มผาง ทั้งที่ทางไกลแสนไกล เขาหอบและครางมากขึ้น เราวิทยุติดต่อทหารบ้านนุโพ พรุ่งนี้เช้าจะขอรถเข้ามารับเท่าที่ทางรถจะเข้ามาถึงเพื่อย่นระยะทางเดินเท้า ถ้าเขายังมีลมหายใจอยู่ ทหารก็เต็มใจช่วยเหลือ แต่อาจจะเป็นด้วยเหตุใดก็สุดจะคาดเดา คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายที่เขาอยู่กับเรา ในใจก็ภาวนาให้สว่างเร็วๆ จะทำอะไรก็จนปัญญาที่นี่ไม่มียาหรืออุปกรณ์ช่วยชีวิตใดๆ เขาทุกข์ทรมานเราก็ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าเพราะเราไม่สามารถช่วยเขาได้ เขาสิ้นใจตอนตี 3 เขามีอายุครบ 13 วันพอดี เช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านเราไม่มีเสียงเด็กร้อง มีแต่ความเงียบเหงา ดู เหมือนขาดอะไรไปอย่างนึง วันนั้นเราสอนหนังสือได้แค่ตอนเช้า พอใกล้เที่ยงรู้สึกว่าเป็นลมต้องนอนพัก เราทุกคนได้แต่ปลอบใจว่าเขาไปสบายแล้ว ระยะ 6 วันที่เลี้ยงเขามาดูเหมือนมันสั้นแต่กลับให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ในใจของเรามาก
ความห่างไกล ความลำบาก ความโง่เขลาไม่รู้ ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านที่เราอยู่ มันทำให้เราได้รู้ว่านอกจากเราแล้วไม่มีใครช่วยเหลือเขาได้ ความสุขและความทุกข์ของทุกคนในหมู่บ้าน เป็นสิ่งที่ครูอาสาต้องรับรู้และแก้ไขเสมือนหนึ่งเป็นครอบครัวเดียวกัน
บันทึกจากดวงใจของครูอาสาสมัครฯคนหนึ่งบ้านกรูโบ อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก
11/05/2007
เรื่องเหลือเชื่อที่ไม่น่าเชื่อ ตอน 1 ฟ้าดินลงโทษ
ที่โรงเรียนของฉัน มีต้นไม้ค่อนข้างร่มรื่น เพราะฉันชอบให้มีต้นไม้เยอะๆ เวลากลางวันจะได้ไม่ร้อน มีทั้งที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ต้นตะแบกขาว ต้นแคป่า ต้นตะขบป่า เป็นต้น หรือเป็นพวกไม้ผลที่ฉันและเด็กๆช่วยกันปลูกไว้ เช่น ส้มโอ พุทรา มะกรูด กล้วย ละมุด ชมพู่ ลำไย ลิ้นจี่ กระท้อน ฝรั่ง ส้มเขียวหวาน มะละกอ มะตึงยาง ขนุน ฯลฯ ซึ่งผลไม้หลายชนิดได้ออกผลให้นักเรียนและครูได้ชิมกันบ้างแล้ว ที่ออกผลตลอดทั้งปี ก็เห็นจะเป็นตะขบป่าลูกเล็กสีแดงหอมหวาน ชักชวนให้เด็ก ครู และนก พากันไปรุมล้อมอยู่ใต้ต้นไม่ได้ขาด เหมือนสถานบันเทิงอะไรสักอย่าง คนกินบ้าง นกกินบ้าง เราแบ่งกัน ฉันก็มีความสุขที่โรงเรียนของฉันมีอาหารให้คนและนกจนลูกตะขบสุกไม่ทัน บางลูกพอเริ่มมีสีแดงเรื่อๆเด็กๆก็จัดการเสียแล้ว ฉันชอบฟังเสียงนกร้องเวลาที่มันมากินลูกตะขบ จนถึงเดือนหนึ่งที่ฉันหยุดพัก พอกลับมาที่โรงเรียน ฉันสังเกตว่าโรงเรียนของฉันมันเงียบพิกล ไม่มีนกมากินลูกตะขบเลย แถมลูกตะขบยังสุกแดงร่วงเกลื่อนกลาดเสียอีก แสดงว่าไม่มีนกมากินลูกตะขบจริงๆในระหว่างที่ฉันไม่อยู่
“ทำไมตะขบสุกเยอะจัง นกไม่มากินเหรอ” ฉันถามเด็กๆ
“นกมากินค่ะ แต่นักเรียนชายมาช่วยกันยิง ได้คนละหลายตัว” นักเรียนหญิงรายงานฉัน ฉันตกใจที่ทราบว่ามีเด็กๆมายิงนก แสดงว่าลูกๆของฉันเริ่มไม่ซื่อสัตย์เสียแล้ว
เมื่อถึงวันเรียนหนังสือ ฉันก็ถามว่าใครบ้างที่มายิงนก นักเรียนก็บอกว่าคนนั้น คนนี้ รวมๆแล้วประมาณ 10 คน ล้วนแล้วแต่เป็นนักแม่นหนังสติ๊กทั้งนั้น ฉันเรียกเด็กทั้งหมดออกมา แล้วอธิบายว่าครูเคยห้ามเรื่องการยิงนกในโรงเรียนแล้วใช่ไหม นกมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ฉันก็บอกเขาและอธิบายให้ฟัง ฉันถามเขาว่าเขาทำผิดใช่ไหมที่ครูห้ามแล้วยังไม่ฟัง ครูต้องลงโทษ ฉันจึงตีเขาคนละ 2 ที จากนั้นฉันก็มั่นใจว่าเขาคงเข็ดหลาบไม่มายิงนกที่โรงเรียนอีกแล้ว
อีก 1 เดือนต่อมา ฉันกลับมาจากหยุดพัก เมื่อมาถึงโรงเรียน ฉันก็สังเกตว่าโรงเรียนช่างเงียบเชียบปราศจากเสียงนก ลูกตะขบสุกแดงร่วงเต็มพื้นดิน ฉันจึงถามเด็กๆว่า
“นักเรียนชายมายิงนกอีกแล้วหรือ” นักเรียนหญิงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ค่ะ”
ฉันนึกโมโหในใจที่ลงโทษแล้วเด็กๆยังไม่เชื่อฟัง แล้วฉันจะไปสอนอะไรเขาได้ แสดงว่าเขาไม่กลัวอะไรทั้งนั้นเพราะอยากจะกินนก ฉันเรียกเด็กๆที่ยิงนกมาเทศน์ 1 กัณฑ์ ว่าด้วยเรื่องการห้ามยิงนกในบริเวณโรงเรียนล้วนๆ ใครจะยิงให้ไปยิงข้างนอกโรงเรียน ในบริเวณโรงเรียนขอไว้ “เข้าใจไหม” ฉันสำทับ จากนั้นก็ลงโทษโดยการตีคนละ 3 ที คิดว่าอย่างไรซะคงเข็ดหลาบบ้างล่ะโดนขนาดนี้ แต่ที่ไหนได้ พอฉันลงพักแล้วกลับมาโรงเรียนอีกครั้ง โรงเรียนของฉันก็เงียบสนิท ศิษย์ส่ายหน้าเหมือนเดิม ตะขบสุกร่วงเกลื่อน ฉันโมโหคิดว่านักเรียนต้องมายิงนกอีกเป็นแน่ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทั้งๆที่ฉันก็ลงโทษเขาไปถึง 2 ครั้งแล้ว แสดงว่าเขาไม่กลัวการถูกตี อยากตีก็ตีไป เขาจะกินนก ฉันคิดว่าถ้าเขาไม่กลัวการถูกตี ฉันจะทำวิธีไหนดีนะ ฉันลองคิดทบทวนดูว่าเขากลัวอะไรกัน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคนพวกนี้เขาเชื่อเรื่องภูตผี ไสยศาสตร์ ฉันจึงเรียกนักเรียนชายนักแม่นหนังสติ๊กให้มารวมกัน จุดธูปทำพิธีต่อหน้ารูปพระ แล้วพูดตามฉันว่า
“ต่อไปนี้ พวกผมจะไม่ยิงนกในโรงเรียน ถ้าผมยิงนกในโรงเรียนอีก ขอให้ฟ้าดินลงโทษ”
จากนั้นก็ไม่มีใครกล้ายิงนกในโรงเรียน นกหลายชนิดกลับมาอยู่ในโรงเรียน ต้นตะขบก็กลายเป็นแหล่งอาหารอันแสนอร่อยของนกเหมือนเดิม ฉันแอบยิ้มในใจ เอาเถอะนะไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา คนเรามันต้องกลัวอะไรสักอย่างแหละน้า ฉันก็เพิ่งรู้ว่าเด็กๆเขากลัวฟ้าดินลงโทษมากกว่ากลัวครูตีเสียอีก
( ตอนนักเรียนชายพูดตามฉัน นักเรียนหญิงหัวเราะกันใหญ่รวมทั้งฉันที่แอบหัวเราะในใจ )
14/12/2007
เรื่องเหลือเชื่อที่ไม่น่าเชื่อ ตอน 2 ฆ่าตัดหัว
ในฤดูฝน มักจะมีข่าวลือให้ชวนขนหัวลุก ถึงเรื่องที่จะมีคนมาตัดหัวเด็ก โดยเฉพาะมันชอบตัดหัวนักเรียน ถึงขนาดพ่อแม่มาสำทับฉันก่อนไปไร่ทุกเช้าว่า
“ครูอย่าให้ลูกเราไปนอกโรงเรียนนะ” บ้าง
“ครูอย่าให้เด็กไปตัดหน่อไม้หลังโรงเรียนบ้าง” บ้าง
และอีกหลายประการล้วนแล้วแต่สรุปได้ว่าอย่าให้ลูกออกไปนอกโรงเรียน
ข่าวลือเรื่องการฆ่าตัดหัวแพร่สะพัดไปทั่วทุกหมู่บ้าน บ้างก็ลือว่าตอนนี้ไอ้คนที่จะมาตัดหัวมันจับเด็กบ้านนั้น พอดีเด็กดิ้นหลุดมาได้ หรือพอดีชาวบ้านเห็น หรือตอนนี้มันเดินทางมาถึงบ้านนั้นบ้านนี้แล้ว หรือมันใส่เสื้อสีแดงบ้าง หรือมันดักตัดหัวอยู่ตรงลำห้วยนั้นลำห้วยนี้ เป็นต้น
ฉันพยายามอธิบายว่าคนตัดหัวไม่มีหรอก ครูเดินเข้าออกทุกเดือนไม่เห็นมันมาตัด เด็กๆก็เถียงว่ามันจะตัดแต่หัวเด็กมันไม่ตัดหัวครูหรอก
“ถ้าไอ้คนตัดหัวมันใส่เสื้อสีแดง เป็นครูๆเปลี่ยนเสื้อก็ได้ พวกเธอไม่รู้หรอก” ฉันว่า
“มันใส่แต่สีแดง” เด็กๆเถียงข้างๆคูๆไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
“มันจะตัดเอาไปทำไม เดินตั้ง 3 วัน ไกลขนาดนี้ กว่าจะถือหัวออกไป หนักก็หนัก แค่เดินก็แย่แล้ว ถ้าครูเป็นมันครูตัดเอาแถวใกล้ๆดีกว่า” ฉันบอก
“มันจะเอาไปทำพิธี” เด็กๆและชาวบ้านกลัวกันมากๆ ถึงขนาดฉันให้ไปเอาทรายที่ท่าน้ำมาเพาะถั่วงอก เขาก็ไม่ยอมไป
ฉันถามว่า “ไม่อยากกินถั่วงอกเหรอ”
“อยากกิน” เขาตอบ
“แล้วทำไมไม่ไปเอาทราย” ฉันถามอีกเพราะอยากรู้เหตุผล
“กลัวคนตัดหัว” เขาตอบเป็นเสียงเดียวกัน “เฮ้อ!” ฉันอ่อนใจ
เขาไม่ยอมออกไปไหนกันเลย ฉันให้ไปตัดหน่อไม้มาทำหน่อไม้ดองเพื่อเก็บไว้กินในฤดูแล้ง เขาก็ไม่ไปกัน เขาบอกกลัวคนตัดหัว
“เออ! มัวแต่กลัวคนตัดหัว ทำอะไรไม่ได้เลย นอนอดตายอยู่ที่บ้านเถอะ หัวโง่ๆอย่างนี้ เหาก็มีทำพิธีอะไรก็ไม่ขลัง เขาจะตัดเอาไปทำอะไร” ฉันชักโมโหที่กลัวอะไรโดยไม่มีเหตุผล
เป็นอันว่าฉันไม่ต้องคิดทำอะไรอย่างอื่น เขากลัวในเรื่องที่ไม่ควรกลัว เรื่องที่น่ากลัวเขากลับไม่กลัว เวลาฉันสอนหนังสือถ้าเขาทำไม่ได้ ฉันจะบอกว่า
“ถ้าไอ้คนตัดหัวมาถึงที่นี่เมื่อไร นักเรียนช่วยไปบอกมันที่ว่าให้มาตัดหัวเด็กโง่ๆ ครูจะให้เงินค่าตัดหัวๆละ 10 บาท ให้มันตัดไปให้หมดเลย”
เด็กๆมองหน้าฉันเลิกลั่ก คงกลัวจะถูกตัดหัวจริงๆละมั้ง
14/12/2007 เพิ่งลงจากดอยเมื่อวานนี้เองเหนื่อยนิดหน่อยนั่งรถอีต๊อกมากับชาวบ้านและคนป่วย พอ.สว.ที่ต้องส่งโรงพยาบาล ที่จริงยังไม่อยากลงมาหรอกนะคิดถึงเด็กๆตอนจากกันบางคนยังร้องไห้แต่ต้องมาส่งคนป่วยเป็นความรับผิดชอบต่อประเทศไทยอีกอย่างหนึ่งอยากให้เราทุกคนช่วยกันคนละนิด อยากเห็นน้ำใจและการช่วยเหลือกัน ครูเจี๊ยบได้เขียนเรืองสั้นอีกตอนชื่อเรื่อง บันทึกบทนี้แด่พ่อหมอหนวดสหายปฎิวัติบ้านกรูโบ เป็นเรื่องเศร้าที่คนเขียนก็ยังต้องร้องไห้หลายครั้งเขียนจากเรื่องจริงทุกตอนส่วนเรื่องชีวิตครูอาสาบ้านกรูโบ ( ครู ? ) นี้เป็นเรื่องจริงที่เขียนเล่าเรื่องเพื่อถวายแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนาฯ ซึ่งเมื่อพระองค์ท่านทรงทราบเรื่องราวที่ครูเจี๊ยบเลี้ยงลูกชาวบ้านก็ทรงพระราชทานเหรียญ "สมเด็จย่า"ให้เป็นรางวัลที่ได้ทำความดีในครั้งนี้ เป็นความปลาบปลื้มอย่างที่สุดของชีวิตที่พระองค์ท่านให้ความสำคัญแม้เราเป็นเพียงครูอาสาสมัครที่อยู่ห่างไกลโรงเรียนที่ครูเจี๊ยบอยู่นั้นฤดูฝนต้องเดินเท้าข้ามน้ำข้ามห้วยถึง 3 วัน ระยะทางเดิน 42 กิโลเมตร ครูเจี๊ยบอยู่ที่กรูโบมา 11 ปี แล้ว อยู่ด้วยความรักและผูกพันและจะอยู่จนกว่าจะเดินไม่ไหว อยากฝากความคิดถึงถึงคนซื่อ 2001 โดยเฉพาะเป็นพิเศษสำหรับเอ๋คนน่ารักและขอขอบคุณทุกๆกำลังใจ
19/02/2009
เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมาทางโครงการพระเมตตา "สมเด็จย่า"ได้ประกาศผลการคัดเลือกครูดีเด่น รางวัลครูเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ครูเจี๊ยบได้รับรางวัลเป็น 1 ใน 3 คน ส่วนอีก 2 คนเป็นครูที่เชียงใหม่ จะมีรายละเอียดให้อ่านตามหนังสือพิมพ์รายวัน วารสารและในอินเตอร์เนต เพียงพิมพ์คำว่ารางวัลครูเจ้าฟ้าข้อมูลก็จะปรากฎขึ้น ส่วนตัวครูเจี๊ยบเองรู้สึกเป็นเกียรติประวัติของครอบครัวที่ได้รับโอกาสนี้และรู้สึกภูมิใจที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับหน่วยงานและชาวอุ้มผางค่ะ
13/05/2009
เพิ่งลงจากดอยเมื่อวานนี้เองเหนื่อยนิดหน่อยนั่งรถอีต๊อกมากับชาวบ้านและคนป่วย พอ.สว.ที่ต้องส่งโรงพยาบาล ที่จริงยังไม่อยากลงมาหรอกนะคิดถึงเด็กๆตอนจากกันบางคนยังร้องไห้แต่ต้องมาส่งคนป่วยเป็นความรับผิดชอบต่อประเทศไทยอีกอย่างหนึ่งอยากให้เราทุกคนช่วยกันคนละนิด อยากเห็นน้ำใจและการช่วยเหลือกัน ครูเจี๊ยบได้เขียนเรืองสั้นอีกตอนชื่อเรื่อง บันทึกบทนี้แด่พ่อหมอหนวดสหายปฎิวัติบ้านกรูโบ เป็นเรื่องเศร้าที่คนเขียนก็ยังต้องร้องไห้หลายครั้งเขียนจากเรื่องจริงทุกตอนส่วนเรื่องชีวิตครูอาสาบ้านกรูโบ ( ครู ? ) นี้เป็นเรื่องจริงที่เขียนเล่าเรื่องเพื่อถวายแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนาฯ ซึ่งเมื่อพระองค์ท่านทรงทราบเรื่องราวที่ครูเจี๊ยบเลี้ยงลูกชาวบ้านก็ทรงพระราชทานเหรียญ "สมเด็จย่า"ให้เป็นรางวัลที่ได้ทำความดีในครั้งนี้ เป็นความปลาบปลื้มอย่างที่สุดของชีวิตที่พระองค์ท่านให้ความสำคัญแม้เราเป็นเพียงครูอาสาสมัครที่อยู่ห่างไกลโรงเรียนที่ครูเจี๊ยบอยู่นั้นฤดูฝนต้องเดินเท้าข้ามน้ำข้ามห้วยถึง 3 วัน ระยะทางเดิน 42 กิโลเมตร ครูเจี๊ยบอยู่ที่กรูโบมา 11 ปี แล้ว อยู่ด้วยความรักและผูกพันและจะอยู่จนกว่าจะเดินไม่ไหว อยากฝากความคิดถึงถึงคนซื่อ 2001 โดยเฉพาะเป็นพิเศษสำหรับเอ๋คนน่ารักและขอขอบคุณทุกๆกำลังใจ
19/02/2009
ลงจากดอยพรุ่งนี้จะพานักเรียนไปสมัตรเรียนที่ราชภัฏแม่สอดหวังให้เขากลับมาเป็นครูที่บ้านตัวเองแทนเราขอบคุณทุกกำลังใจคนสู้ได้เพราะใจมีพลังขอให้ทุกคนที่ทำดีเพื่อสังคมมีพลังใจเช่นกันถ้ามีโอกาสไปเยี่ยมโรงเรียนครูเจี๊ยบและเด็กๆจะร้องเพลงพลังใจให้ฟังนะคะสัญญา
23/03/2009
Create a MySpace Music Playlist at MixPod.com