กะหล่ำปลีรูปหัวใจ นั้นเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเมดิเตอร์เรเนียนของทวีปยุโรปไปจนถึงอังกฤษ ดังนั้นในต่างประเทศจึงค่อนข้างนิยมบริโภคมันมากกว่าในประเทศไทยของเรา แต่ก็ใช่ว่าประเทศไทยจะไม่สามารถปลูกกะหล่ำปลีรูปหัวใจได้ เพราะก็ได้มีการปลูกในเชิงการค้าและเพื่อการบริโภคเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีการปลูกมากมายและไม่ได้รับความนิยมเท่ากระหล่ำปลีธรรมดาเท่าที่ควร
วิธีการปลูกกะหล่ำปลีรูปหัวใจ
กะหล่ำปลีรูปหัวใจ เป็นพืชเมืองหนาวที่เจริญเติบโตได้ดีในที่ที่มีความชื้นสูง และมีอุณหภูมิต่ำที่อยู่ระหว่าง 15-20 องศาเซลเซียส แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ให้สามารถทนต่ออุณหภูมิสูงๆ ด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่การผลิตให้มีมากขึ้น ซึ่งการเตรียมดินให้ไถลึก 10-15 ซม. แล้วตากดินทิ้งไว้ 5-7 วัน และให้เอาวัชพืชออกให้หมดด้วย จากนั้นให้ขึ้นแปลงกว้าง 1-1.2 เมตร และให้รองพื้นก่อนปลูกด้วยปุ๋ยสูตร 12-24-12 ในอัตรา 30 กรัม/ตร.ม. ร่วมกับการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 2 กก./ตร.ม. ระยะปลูกให้อยู่ที่ 40×40 ซม.
ในเรื่องของการให้น้ำสำหรับกะหล่ำปลีรูปหัวใจต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้ขาดน้ำเพราะจะทำให้มันชะงักการเติบโตซึ่งส่งผลต่อคุณภาพและปริมาณของกะหล่ำปลีรูปหัวใจได้ ยิ่งถ้าเป็นในช่วงฤดูร้อนถ้ามันขาดน้ำจะทำให้ปลีหลวมได้ ส่วนการใส่ปุ๋ยให้ใส่ในช่วง 7-10 วัน หลังการย้ายต้นกล้ามาปลูกในแปลง โดยให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 46-0-0 ในอัตรา 20-25 กรัม/ตร.ม. ต่อจากนั้นอีก 7-10 วันก็ให้ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ได้ และสำหรับการใส่ปุ๋ยครั้งที่ 3 ให้ใส่ในช่วงของการเข้าปลีโดยให้ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21
กะหล่ำปลีรูปหัวใจเป็นพืชที่มีใยอาหารสูง อีกทั้งยังมีวิตามินซีสูงอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสารซัลเฟอร์อีกต่างหาก ซึ่งด้วยการที่มันอุดมไปด้วยสารต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาทำให้มันสามารถช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้ อีกทั้งมันยังต้านสารก่อมะเร็งเข้าสู่ร่างกายและช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็งลำไส้ มะเร็งในช่องท้อง ช่วยระงับประสาทซึ่งมีผลทำให้นอนหลับได้ดี และยังช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลได้อีกด้วย ที่สำคัญมันมีใบหนา กรอบ มีรสหวาน จึงทำให้ทุกจานอาหารที่มีกะหล่ำปลีรูปหัวใจเป็นส่วนประกอบมีความอร่อยชวนรับประทานเป็นอย่างมากนั่นเอง
ที่มา thaiarcheep
ขอบคุณที่มา: http://www.naarn.com/6859/