5 อันดับสัตว์ลึกลับที่สุดพิลึก(ที่สุดแสนน่ากลัว)



5 อันดับสัตว์ลึกลับที่สุดพิลึก

 

                คำว่าสัตว์เร้นลับวิทยานี้ถอดมาจาก Cryptozoology ในภาษาอังกฤษมาจาก Crypto แปลว่าคุยหะ หลบซ่อน หรือไม่เปิดเผย กับคำว่า zoology คือสัตว์ วิทยา และเมื่อเราเอาสองคำมารวมกันก็หมายถึง การศึกษาค้นคว้าสัตว์ที่หลบซ่อนอยู่ ที่ยังไม่ได้เผยตัวออกมาให้วงการวิทยาศาสตร์รู้จัก

                ความจริง แล้วคำว่า Cryptozoologyยัง เป็นคำค่อนข้างใหม่ ที่เพิ่งบัญญัติกันไม่นานมานี้เอง ซึ่งเราอาจไม่พบคำศัพท์นี้จากดิกชันนารีอังกฤษบางเล่มนะครับ ไม่เชื่อก็หาดูก็ได้

                สัตว์ลึกลับในที่นี้ไม่ได้หมายถึงสัตว์ในตำนานนะครับ อยากให้เข้าใจกันใหม่ พวกไฮดรา กรีฟฟิน มังกร คิไมร่า ฯลฯ นี้ตัดไปเลย เพราะคำว่าสัตว์ลึกลับคือสัตว์ที่วงการวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้จัก หมายถึงเป็นสัตว์พื้นเมืองที่คนในท้องถิ่นรู้จักกันดี และพูดถึง แต่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้จักตัวตนจริงๆ เข้าใจกันว่ามันอาจเป็นแค่ตำนานในท้องถิ่น ทั้งๆ ที่มีหลักฐาน เช่น รอยเท้า เหยื่อที่มันฆ่า เส้นขน เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมไปถึง สัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่กลับปรากฏตัวอีกครั้ง หรือพบเห็นสัตว์ที่ไม่น่าเชื่อว่าในท้องถิ่นจะมีการพบเห็นสัตว์ชนิดนั้น เป็นต้น

                นอกจากนี้การวิเคราะห์สัตว์ในตำนานว่า สัตว์ตัวไหนมีอยู่จริง หรือพัฒนามาจากสัตว์ที่มีตัวตนจริง แต่ถูกเปลี่ยนรูปร่างไปเพราะถูกเล่าปากต่อปากมาจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม เช่น กรีฟฟิน ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์สายนี้เช่นกันครับ

                ขอบอกอีก ทีนะครับว่าสัตว์ลึกลับไม่ใช้หมายถึง ยังไม่พบแล้วไม่มีใครรู้จัก(อันนี้สัตว์ในตำนาน) พบแล้วจึงรู้จัก(อันนี้สัตว์วิทยา)

                เชื่อหรือไม่ว่าสัตว์ลึกลับวิทยานี้เป็นวิชาหนึ่งสาขาหนึ่งที่ เรียนจนถึงปัจจุบัน วิชานี้ไม่ได้มั่ว นะ ความจริงแล้วเรื่องของสัตว์เร้นลับนี้มีผู้สนใจศึกษามานานแล้ว แต่เพิ่มมาใช้เป็นระบบโดย ดร.แบร์นาร์ด อูเวลมงส์ (Dr. Bernard Hernard Heuvelmans) นักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยี่ยม และได้เขียนหนังสือไว้สองเล่มคือ

                In the Wake of Seaserpents

                On the track of Unknown Animals

                โดยหนังสือสองเล่มนี้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษ และถือว่าเป็นหนังสือคลาสสิก ส่งผลให้ดร. อูเวลมงส์ ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวิชาสัตว์ลึกลับวิทยาเลยที่เดียว

                
               ปัจจุบันมีหลายประเทศมีผู้สนใจเรื่องสัตว์เร้นลับจำนวนมาก และได้มีการจัดตั้งสมาคมเพื่อศึกษาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสัตว์ เร้นลับขึ้น อย่างเช่น สมาคมสัตว์ลึกลับวิทยานานาชาติ (International society of Cryptozoology เรียก ย่อว่า ISC) มีสำนักงานใหญ่ที่เมืองทัคซัน อริซ่า สหรัฐอเมริกา จัดตั้งในปี 1982 โดยทุกปีสมาคมจัดการ ประชุมใหญ่เพื่อให้สมาชิกแลกเปลี่ยนความรู้และยังมีการจัดส่งคณะออกสำรวจค้น หาสัตว์เร้นลับจากทั่วโลกเป็นประจำ

                แต่ปัญหาในการค้นพบสัตว์ลึกลับก็คือในขณะที่คนธรรมดาเห็นสัตว์เร้น ลับชนิดนั้นเป็นประจำ แต่ทว่านักสัตว์เร้นลับวิทยากลับไม่พบตัวมันเป็นๆ สักครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ กรีนเวลล์ เลขาธิการของไอเอสซีเคยกล่าวไว้ว่า

                “ตราบใดที่ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีสัตว์ เร้นลับอยู่โดยวงการวิทยาศาสตร์ไม่รู้ มันจึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะประเมินหลักฐานพวกนั้นอย่างใจเย็น อย่างมีเป้าหมายแน่ชัด ไม่ใช้กวาดมันเข้าใต้พรมไป แม้ผลที่ออกมาจะไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ก็ตาม”

                อย่าพึ่ง ดูถูกกับศาสตร์สาขานี้นะครับ หลายคนคงคิดว่ามันหลอกเด็ก เพราะศาสตร์สาขานี้มีผลงานของสัตว์วิทยาที่ตามล่าสัตว์ลึกลับจนตามตัวให้ เห็นเป็นรูปธรรมจนโลกได้รับรู้ก็มีให้เห็นเหมือนกัน เช่น

                จระเข้ พันธุ์สยามที่คาดว่าสูญพันธุ์แต่ค้นพบในชนบทห่างไกลของกัมพูชา(แต่พี่ไทยจับ ทำกระเป๋าหมด) รวมตัวเสาลา เก้งยักษ์พันธุ์ใหม่ ที่พบที่เวียดนาม ที่คนพื้นบ้านเล่าว่าเป็นสัตว์ในตำนานท้องถิ่น

        และที่น่าทึ่งที่ สุด

                ปลาซีลา คานน์ ปลาดึกดำบรรพ์ที่พบเป็นฟอสซิลที่คาดว่าสูญพันธุ์เมื่อ 70 ล้านปีก่อน แต่ค้นพบ ตามรอยว่ามันยังอยู่สุขสบายดีแถวมาดากาสก้าเมื่อปี พ.ศ. 2481 และประเทศอินโดนีเซียเร็วๆ นี้ และผลจากการค้นหาปลาซีลาคานน์ก็ทำให้มีการค้นพบสัตว์พันธุ์ใหม่ที่หมู่เกาะ อินโดนีเซียที่ไม่มีใครไปถึงอีกตามมาอีกมากมาย

             โลกนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตอีกนับ ไม่ถ้วนสปีชี่ส์ที่รอให้เราค้นพบอยู่มันไม่จำเป็นที่จะต้องมีขนาดใหญ่โต เหมือนไดโนเสาร์เสมอไป ตัวหนอน ดักแด้สัตว์ใต้ทะเลลึก ยังคงรอคอยการค้นพบและตั้งชื่อของมันอยู่ อันที่จริงแล้วนะครับสัตว์เล็กๆและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดใหม่ๆได้ถุกค้น พบทุกๆปีและในบางครั้งสัตว์บางชนิดที่เราคิดว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้วก็ยังถูก ค้นพบอีกแม้ว่าการค้นพบเหล่านี้จะไม่ใช่งานชิ้นเอกแต่ว่าก็ทำให้วงการวิทยา ศาสตร์เข้าใจการวิวัฒน์ของสัตว์บางสปีชี่ส์ได้ดีขึ้นและแน่นอนครับ บางทีมันอาจจะเป็นกุญแจนำเราไปสู่สิ่งที่ต้องการหานั่นก็คือสัตว์ลึกลับ นั้นเอง

 

อันดับ 5 โกทแมน(Goatman)

               

                โกทแมนหรือมนุษย์แพะ สิ่งมีชีวิตลึกลับที่น้อยคนนักจะรู้จัก คนส่วนใหญ่มักจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่คอเรื่องลึกลับสากล โกทแมนเป็นสิ่งมีชีวิตลูกผสมระหว่างมนุษย์กับแพะลึกลับที่โด่งดังมากในเขต เมือง Prince George รัฐ แมรีแลนด์ การพบเห็นครั้งแรกเริ่มต้นขึ้นในปี 1957 ทาง ตอนบนของเมือง Marlboro และเมือง Forestville

                รูปพรรณสันฐานที่พบผู้พบเห็นบรรยาย ท่อนล่างของร่างกายขาและเท้ามีกีบเหมือนแพะ ท่อนบนของร่างกายเป็นมนุษย์ ศีรษะมีเขาแพะ ผิวหนังบนร่างกายปกคลุมไปด้วยขน สูงประมาณสองเมตร หนักกว่า 130 กิโลกรัม รูปพรรณสันฐานที่กล่าวมาอาจฟังดูคล้ายกับสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายตัว หนึ่ง

                จากรายงานของบุคคลที่พบเห็นกล่าวว่าโกทแมนมีเสียงร้องแหลม และการตายของสัตว์เลี้ยงมักถูกเชื่อมโยงเข้ากับการปรากฏตัวของโกทแมน มีผู้พบเห็นศพของสัตว์ที่ตายอย่างโหดเหี้ยมบ่อยครั้งในเขตพื้นที่ ที่พบเห็นโกทแมน ครึ่งหนึ่งของศพสัตว์ที่ตายถูกนำไป คาดว่าโกทแมนน่าจะฆ่าสัตว์เหล่านี้เพื่อนำไปเป็นอาหาร  มีเหตุการณ์หนึ่งในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริการายงานว่า มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งถูกเจ้าโกทแมนวิ่งไล่และเขวี้ยงซากยางรถยนต์ เข้าใส่    และมีเหตุการณ์การใช้อาวุธที่เกิดขึ้นในรัฐแมรีแลนด์ที่เจ้าโกทแมน ไปอาละวาดเอาขวานจามรถยนต์หลายคันในเวลาไร่เรี่ยกันและมักทำร้ายสัตว์เลี้ยง ของผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น
                แสดงว่าเจ้าโกทแมนนั้นมีสมอง??

                หลายคนเชื่อว่าโกทแมนน่าจะเป็นญาติห่างๆกับบิ๊กฟุต หรือมีความได้โกทแมน เกิดขึ้นจากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในการตัดต่อพันธุกรรมของคนและแพะเข้า ด้วยกันโดยศูนย์ค้นคว้าและวิจัย beltsville แห่งเมือง prince george อันเป็นแหล่งกำเนิดของตำนานโกทแมน แต่อย่างไรก็ตาม ตามแบบฉบับสิ่งมีชีวิตลึกลับมักจะไม่ค่อยให้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่า เชื่อถือซึ่งแสดงถึงการมีตัวตนอยู่จริงของมัน

 

อันดับ 4 ปีศาจโดเวอร์ (Dover Demon)

 

(คลิป http://www.youtube.com/watch?v=YuUXMvQ3rM4)

เขาเรียกกันว่า ปีศาจโดเวอร์ (Dover Demon) เพราะมีผู้พบเห็นที่ เมืองโดเวอร์ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอับ 2 รอง จากบอสตัน ใน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา แต่พบเจอแค่ครั้งเดียวนะ ในปี พ.ศ. 2520 หรือ ค.ศ. 1977  พบครั้งแรกเมื่อเดือน 22 เมษายน ค.ศ. 1977

บิลส์ บาร์ทเล็ทท์, ไมค์ แมซซอคคา และแอนดี้ บรอดี วัยรุ่นอายุราว 17 ปี กำลังขับรถไปทางเหนือของฟาร์มสตรีท ในขณะที่ขับรถอยู่ บาร์ทเล็ทท์ซึ่งเป็นคนขับรถก็ได้เห็นสิ่งประหลาดสิ่งหนึ่งกำลังปีนไปตาม กำแพงเตี้ยๆ ทางด้านซ้ายของถนน

ครั้งแรกที่เห็นบาร์ทเล็ทท์คิดว่าอาจ เป็นสุนัขหรือไม่ก็แมว จนกระทั้งไฟหน้ารถได้ฉายตกกระทบกับร่างลึกลับอย่างจัง สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้น เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นก่อนในชีวิต

“ร่างนั้นมันค่อยๆ หมุนศีรษะของมันอย่างช้าๆ และจ้องมองมายังแสงไฟของรถ ตากลมของมันสองประกายราวกับแก้วใส เหมือนหินอ่อนสีส้ม 2 ลูก หัวของมันตั้งอยู่บนคอเล็กๆ มีลักษณะคล้ายแตงโม มองดูแล้วผิดส่วน กล่าวคือแขนและขายาวและผอมเรียว แต่มือและเท้าใหญ่ ผิวไม่มีขนและมีสีลูกพีช และหยาบเหมือนกระดาษทราย

ร่างนั้นมันสูงไม่เกิน 4 ฟุต มีลักษณะคล้ายเด็กทารกที่มีแขนและขายาว มันน่าประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวมาก มันเดินไม่รู้จุดมุ่งหมาย มันเดินไปตามกำแพงโดยใช้นิ้วมืออันยาวของมันไต่ตามก้อนหิน…………….”

บาร์ทเล็ทท์เห็นร่างนั้นไม่กี่วินาที เท่านั้นเองเพราะขณะเขาขับรถด้วยความเร็วสูงและอยู่ในทางโค้ง และเมื่อกลับที่เกิดเหตุร่างลึกลับดังกล่าวก็หายไปแล้ว

และเมื่อทั้งสามกลับมาที่พักบาร์ทเล็ทท์ก็เล่า เหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังพร้อมกับวาดภาพปริศนาคลาสลิกให้เพื่อนดู แต่กระนั้น....จนปัจจุบัน ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า เจ้าปีศาจโดเวอร์ ตัวนี้มาจากไหน มาได้ยังไง และมีจุดประสงค์อะไร ? ก็ยังคงเป็นปริศนาที่เล่าขานกัน ในท้องถิ่นต่อไป แต่บางคนเขาก็เชื่อว่าเป็นเพียงเรื่องแหกตา เพราะก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ มายืนยันสิ่งที่เด็ก ๆ กลุ่มนี้เจอ และก็ไม่มีรายงานการพบเจอหรือปรากฏตัวอีก

อันดับ 3 The Loveland Lizard

 

มนุษย์ กบแห่งเลิฟแลนด์(หรือ อาจเรียกว่ามนุษย์สัตว์เลื้อยคลานแห่งเลิฟแลนด์ก็ได้หรืออาจเรียกหลายชื่อ เช่น กิ่งก่า จิ้งจก) รูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีหน้า ขนาดใหญ่คล้ายกบ มีรายงานการพบเห็นในเลิฟแลนด์, และ เมืองโอไฮโอ(Ohio) ประเทศสหรัฐอเมริกา มีข่าวลือและรายงานกำลังเกี่ยวกับตัวมันมากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถยืนยันการพิสูจน์ความเป็นจริงได้มันคือตัวอะไรกันแน่ โดยรูปร่างเด่นๆ เท่าที่ประมวลจากคำบอกเล่าคร่าวๆ ก็มีดังต่อไปนี้

“มัน สูงประมาณ 3 หรือ 4 ฟุต, หนัก 50 ถึง 75 ปอนด์, หลังของมันมีผิวขรุขะ, ผิวหนังเปียกลื่น, เป็นไปได้ว่าหางมันจะสั้น, หัวและ หน้าเหมือนกบ หรือสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ่งก่าหรือจิ้งจก

รายงานปรากฏตัวครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มีนาคม1972 เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังการแล่น เรือตระเวณบนริมฝังแม่น้ำไมแอมอิแม่น้ำในเลิฟแลนด์, เมือง โอไฮโอ ทันใดนั้นพวกเขาก็พบสิ่งผิดปกติบนถนน ตอนแรกสิ่งที่พวกเขาพบเห็นมันน่าจะเป็นสุนัขมากกว่าแต่เมื่อดูใกล้ๆ กลับไม่ใช้อย่างที่พวกเขาคิด พวกเขาลดความเร็วของเรือ และเข้ามาดูสัตว์ตัวนั้นอย่างใกล้ๆ และช้าๆ แต่แล้วเจ้าสัตว์ตัวนั้นก็ลุกขึ้นมันวิ่งมุ่งไปทางทิศทางที่พวกเขาอยู่ แม้ตอนนั้นบนถนนเต็มไปด้วยน้ำแข็งแต่ความเร็วของมันไม่ลดลงเลยและไม่ลื่นหก ล้มด้วย แสดงให้เห็นว่ามันมีความสมดุลสูงสามารถยืนอยู่บนก้อนน้ำแข็งได้สบาย

จาก นั้นเจ้าสัตว์ตัวนั้นก็เข้ามาใกล้เรือตำรวจสองนายนั้น พวกตำรวจหยุดเรือและแสงไฟสว่างหน้าเรือก็ส่องไปที่สัตว์ตัวนั้นและพวกเขา ต้องตะลึงกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า มันเป็นสัตว์ที่พวกขาไม่เคยพบมาก่อนรูปร่างเหมือนครึ่งคนครึ่งสัตว์หัวเป็น สัตว์ประหลาดที่ออกไปทางจิ้งจกหรือสัตว์เลื่อยคลาน แต่ไม่ทันทีเห็นอะไรมากกว่านี้ พวกเขาก็ชักปืนเพื่อยิงมัน มันเลยตกใจและก็หนีไปเข้าพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว และก็หายไปในความมืด ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายยืนยันชัดเจนว่าสามารถสิ่งที่เห็นมันไม่มี สุนัข มันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถอธิบายมันคือตัวอะไรกันแน่

อันดับ 2 ต้นไม้กินคน (Man-eating tree)

 

(รูปต้นไม้กินคน Ya-te-veo ("I see you") ในความเชื่อของอเมริกากลาง จาก Land and Sea โดย J.W. Buel 1887 )

เรื่อง ของต้นไม้กินคนที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายนั้นมีที่มาจากข่าว เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 19  ปี 1881 คาร์ล ลิช (Carl Liche) นักเดินทางชาวเยอมันได้เขียนจดหมายถึงหนังสือพิมพ์ South Australian Register เขาเล่าเรื่องเหลือเชื่อ ที่เขาท่องเที่ยวบนเกาะมาดากัสคาร์และได้พบการสังเวยมนุษย์ของเผ่าฮึมโกโด(Mkodo) ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในถ้ำ คนพวกนี้เป็นชนเผ่าล้าหลังที่ยังเปลือยกายอยู่ พวกเขาชวนคาร์กร่วมพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็พากันเดินเข้าไปในป่าทึบแล้วไปหยุดตรงที่โล่งตรงคุ้มลำธาร ที่นั้นมีต้นไม้ประหลาดขึ้นต้นหนึ่ง ซึ่งพวกฮึมโดโดเรียกมันว่า เตเป (Tepe)

                คาร์ล ลิช ได้พรรณนารูปร่างลักษณะที่พิลึกพิลั่นของมันว่า

                “ลองนึกภาพสับประรดสูงแปดฟุตและ ใหญ่ตามสัดส่วน แต่เป็นสีน้ำตาลเข้ม ดูแล้วแข็งเหมือนเหล็ก ใบแปดใบย้อยลงมาจากลำต้น แต่ละใบยาวราวสิบเอ็ดฟุต และเรียวจนแหลม ใบสีเขียวคล้ำเหี่ยวห้อยและเหนียวมากเหมือนเสี้ยนโอ๊ก มีของเหลวใสรสหวานดื่มแล้วทำให้เมามายซึมออกมาที่แอ่งกลางยอดมีมือพัน ยาวแปดฟุตสีเขียว มีขนยาวออกมาทุกทิศทุกทาง มีรยางค์สีขาวเกือบใสหกใบชูสูงขึ้นไปในอากาศ หมุนและบิดไปมาไม่หยุดนิ่ง แต่ก็ยังชูตั้งอยู่อย่างนั้น มันสูงห้าหกฟุต บางขนาดใบกก และอ่อนเหมือนขนนก.............”

                “การเฝ้าของข้าพเจ้าถูกขัดจังหวะ ลงด้วยพวกพื้นเมืองที่เดินส่งเสียงไปรอบๆ ต้นไม้ด้วยน้ำเสียโหยหวน เขาท่องมนต์ที่ล่ามของข้าพเจ้าบอกว่าเพื่อขอลุแก่โทษปีศาจที่ยิ่งใหญ่ประจำ ต้นไม้ ขณะที่ยังคงกรีดร้องและท่องมนต์กระชั้นขึ้นนี้ พวกเขาก็ล้อมหญิงสาวคนหนึ่งใช้หลาวแหลมๆ จี้เธอ เธอไต่ขึ้นไปตามลำต้นอย่างช้าๆ สีหน้าหมดหวังและขึ้นไปยืนอยู่บนปลายยอด ซิก! ซิก! (ดื่ม! ดื่ม!) เสียงคนร้องตะโกณบอก เธอก้มลงดื่มน้ำเหนียวข้นในเบ้าแล้วยืนขึ้นใหม่ด้วยใบหน้าบ้าคลั่งและแขน สั่นระริก เธอทำเหมือนกระโดดลงมา แต่มิได้กระโดด

                ต้นไม้กินคนที่เห็นนิ่งเฉยและดูเหมือนตายกลับมีชีวิตขึ้นมาอีก ครั้ง รยางค์ที่เรียวและบอบบางของมันสั่งระริกดั่งความโกรธเกรี้ยวของอสรพิษที่ กำลังหิวกระหายอยู่เหนือตัวของเธอ แล้วเหมือนด้วยสัญชาตญาณของปีศาจ มันมัดเธอด้วยการรัดรอบคอและแขนรอบแล้วรอบเล่า ขณะเดียวกันเสียงเกลียดร้องด้วยความหวาดกลัวของเธอก็ค่อยแผ่วลง กลายเป็นเสียงครางอึกๆ อักๆ มือพันที่ดูเหมือนงูสีเขียวตัวใหญ่พากันชูขึ้นและหดตัวรัดรอบเธอวงแล้ววง เล่า รัดแน่นๆ เข้าอย่างรวดเร็วและเหนียวแน่นเหมือนงูอนาคอนดารัดเหยื่อไม่มีผิด

                แล้ว ตอนนี้ใบใหญ่ๆ ของมันก็ค่อยๆ ยกขึ้นช้าๆ และแข็งขึ้น เหมือนแขนของปั่นจั่นยกตัวเองขึ้นบนอากาศ ขึ้นไปหาใบอื่นและปิดหุ้มรัดเหยื่อที่ตายแล้วด้วยพลังอันเงียบเชียบ เห็นโคนของใบไม้เหล่านี้เบียดเข้าหากันแน่นๆ เข้า มีของเหลวคล้ายน้ำผึ้งผสมเลือดไหลออกมาตามลำต้น พอเห็นดังนี้พวกคนป่ารอบๆ ตัวข้าพเจ้าก็ไชโยโห่ร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง วิ่งเข้าห้อมล้อมต้นไม้ ใช้ใบไม้ ใช้มือรองของเหลวมาดื่ม บ้างก็ใช้ลิ้นเลียจนมึนเมา จากนั้นก็มีพิธีกรรมที่อุจาดตามมาอีกจนไม่สามารถบรรยายได้ตามมา

                ใบไม้ของ ต้นไม้ใหญ่คงอยู่ตำแหน่งตั้งขึ้นข้างบนแบบนั้นอยู่สิบวัน เมื่อข้าพเจ้ากลับมาในเช้าวันหนึ่งมันก็กลับตกลงเหมือนเดิม มือที่พันก็เหยียดยาวอย่างเดิม และนอกจากกะโหลกขาวที่ตกอยู่ที่โคนต้นแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นเปลี่ยนแปลง”

                จดหมาย ฉบับนี้ถูกส่งในนิตยสารภาษาเยอรมันชื่อ Graefe und Walther เมื่อปี 1878 หลังจากนั้นก็มีผู้แปลลงในหนังสือพิมพ์เมล์ที่ออกที่เมืองมัทราส อินเดีย และลงในหนังสือพิมพ์เวิลด์ ของกรุงนิวยอร์ก และในนิตยสารรียิสเตอร์ของออสเตรเลียเมื่อ ปี 1880 ทำ ให้เรื่องของต้นไม้กินคนกลายเป็นสนใจของสาธารณชน แต่พวกนักพฤษศาสตร์และนักสำรวจหลายคนไม่ยอมรับเรื่องนี้เพราะอ่านแล้วมัน เหมือนนิยายเกินไป อีกทั้งคนชื่อลิชก็เป็นใครก็ไม่รู้ ทำให้เรื่องของต้นไม้กินคนจึงค่อยๆ เงียบหายไป

แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ยอมเชื่อภาพ ถ่ายเหล่านั้น หาว่าเฮิร์สต์ทำปลอมขึ้นมา เพื่อพิสูจน์ความจริง เฮิร์สต์ได้เดินทางไปที่เกาะมาดากัสคาร์อีกครั้ง แต่ทว่า คราวนี้ เขาไปลับไม่กลับมาอีกเลย ทำให้เรื่องของต้นไม้กินคนยังคงความลึกลับและน่าค้นหาจนถึงปัจจุบัน

อันดับ 1 ชายส้นเท้าสปริง (Spring Heeled Jack)

 

                http://www.youtube.com/watch?v=TlKR97ovmVc

                หรือชื่ออื่นๆ also Springheel Jack, Spring-heel Jack ปรากฏ ตัวครั้งแรก 1836-1986        ออก อาละวาดที่ลอนดอน,ลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ

                ตอน แรกผม ว่าน่าจะอยู่หมวดฆาตกรต่อเนื่อง แต่ความจริงเจ้าชายส้นเท้าสปริงนี้จัดอยู่ในหมวดสัตว์ลึกลับครับ เนื่องจากมันมีพลังเหนือธรรมชาติที่ดูยังไงก็ไม่น่าเชื่อว่านี้คือความ สามารถของคน แถมรูปร่างของมันดูออกตลกๆ แบบมนุษย์ค้างคาวมากกว่าจะเป็นคนธรรมดามากกว่า แต่ที่ผมเลือกมันก็เพราะมันฆ่าคนด้วยครับ และมีการสืบสวนเกี่ยวกับตัวมันด้วย แถมข้อสันนิษฐานนะครับขอบอกว่าหลุดโลกยิ่งกว่าของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์เสียอีก ออกจะขำๆ ด้วยซ้ำ

                เรื่อง ของ ชายส้นเท้าสปริงเกิดขึ้นในสมัยวิกเตอเรีย จู่ๆ ก็มีสัตว์ประหลาด(อาจเป็นคนปลอมตัว) ออกอาละวาดไล่ล่าฆ่าคน โดยมันมีความสามารถพิเศษคือ สามารถกระโดดสูงอย่า

Credit: http://atcloud.com/stories/84498
16 มิ.ย. 53 เวลา 00:17 22,620 29 558
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...