มีรายงานเรื่องการพบเห็น UFO มาจากทั่วทุกมุมโลก หลายคนเชื่อว่าการเผชิญหน้ากับเอเลี่ยนคือปรากฏการณ์ในยุคปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงมีการรายงานเรื่องดังกล่าวมาหลายพันปีแล้ว ในทุกยุคอารยธรรมของมนุษย์มีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตนอกโลกทั้งนั้น ผู้คนจำนวนนับล้านทั่วโลกเชื่อว่าเคยมีชนต่างดาวมาเยี่ยมเยียนเรา ถ้าเป็นเรื่องจริงเอเลี่ยนโบราณได้มีส่วนในประวัติศาสตร์ของเราหรือไม่และถ้าเป็นเช่นนั้นเขามาจากไหนและใครคือผู้มาเยือน
Roswell, New Mexico เมืองเงียบเหงาแห่งนี้อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา เป็นเมืองหนึ่งที่รู้จักกันดีถึงฐานทัพอากาศยานขนาดใหญ่แต่มันได้เปลี่ยนไปในปี 1947 เมื่อคนเลี้ยงวัวได้รายงานว่ามียานอวกาศมาตกในเขตที่ดินของเขา หลายวันต่อมากองทัพอากาศออกมาให้ข่าวกับสื่อยืนยันว่าเป็นยานอวกาศจากต่างดาว และในวันรุ่งขึ้นกองทัพก็เปลี่ยนเรื่องแล้วบอกว่าสิ่งที่พบเป็นเพียงแค่บอลลูนตรวจสภาพอากาศ รายงานที่มีความขัดแย้งกันส่งต่อเนื่องไปทั่วโลก การเดาว่าทำไมจึงมีการปกปิดเรื่องยานอวกาศตกที่ Roswell คือการเปิดเผยข้อมูลนี้อาจทำให้เกิดการระส่ำระสายไปทั่วโลก ในปัจจุบันการสำรวจความคิดเห็นของสาธารณชนชี้ว่าประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลกเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวเคยมาที่นี่ และอะไรทำให้คนจำนวนมากเชื่อในเรื่องนี้ เมื่อมีมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรก มุมมองที่มีต่อจักรวาลจึงได้เปลี่ยนไปตลอดกาล เหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ทำให้เกิดคำถาม หากว่ามนุษย์สามารถไปสำรวจโลกอื่นได้ แล้วทำไมสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นในห้วงจักรวาลจะทำแบบเดียวกันไม่ได้ พวกเขาอาจเคยมาเยือนโลกมานานแล้วหรือบางทีมนุษย์ต่างดาวอาจจะเคยอยู่ในโลกนี้มาแล้วก็ได้ ที่เปรูเมื่อ 2,000 ปีก่อน มีสถานที่หนึ่งที่เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของชนเผ่านาสคาแต่ในช่วงคริสตศักราชที่ 500 ชนเผ่านาสคาได้หายสาบสูญไป ในปี 1910 นักมนุษยวิทยามาที่นี่เพื่อศึกษาอารยธรรมของชนเผ่านาสคา ระหว่างการขุดค้นเขาได้พบสิ่งที่น่าตกตะลึงอย่างหนึ่งเท่าที่เขาเคยเห็นมานั่นคือ หัวกระโหลกที่ดูเรียวยาวอย่างมาก มันมาจากไหนและทำไมถึงมาอยู่ที่นี่และมันคือหัวมนุษย์หรือไม่ แต่มีผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่ามันเป็นหัวกระโหลกที่ถูกทำให้ผิดรูป ได้มีการรายงานว่าชาวพื้นเมืองในคองโกที่มีชื่อว่าเผ่ามังเดตูได้ประกอบพิธีกรรมรัดหัวกระโหลก เพื่อดัดแปลงแก้ไขรูปทรงหัวกระโหลกมนุษย์ พวกเขาจะทำการรัดกระโหลกเด็กอ่อนเอาไว้ให้เกิดแรงกดจนกระโหลกยื่นยาวออกมาและอาจยาวได้ถึง 2 เท่า
รูปลักษณะกระโหลกที่เรียวยาวสืบสานเรื่องราวไปที่ยุคอียิปต์โบราณนั่นคือ ฟาโรห์ ที่มีข้อถกเถียงกันมากที่สุดพระองค์หนึ่ง พระองค์คือหนึ่งในคนที่ต้องการเลียนแบบชาวต่างดาวหรือไม่ หรือว่ามีคำอธิบายอันน่าสะพรึงกลัวกว่านี้ พระองค์คือหนึ่งในพวกนั้นหรือไม่ นานมากก่อนที่ชาวอียิปต์จะสร้างพีรามิดหรือตั้งถิ่นฐานติดแม่น้ำไนล์ ตามตำนานเมื่อเทพเจ้าแห่งฟากฟ้าเดินทางลงมาสู่โลกด้วยเรือที่บินได้ โดยเปลี่ยนให้โคลนและน้ำกลายเป็นอาณาจักร บางสิ่งที่เราเห็นในทุกอารยธรรมโบราณทั่วทั้งโลกนั้นมีอยู่ว่า พวกเขามีความรู้อย่างไม่น่าเชื่อในเรื่องดวงดาว ดาวเคราะห์ และสิ่งที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า และพบว่าผู้คนโดยเฉลี่ยในสมัยนั้นมีความรู้เรื่องพวกนี้มากกว่าคนในสมัยปัจจุบันเสียอีก ขณะที่อารยธรรมอียิปต์โบราณเจริญมากขึ้น ผู้คนต่างเชื่อว่าฟาโรห์คือบุตรชายของโอเซริสหรือเทพเจ้า
งานศิลปะและภาพแกะสลักบนผนังพรรณาถึงมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ขณะที่ผู้คนบวงสรวงเทพเจ้าหลายองค์ แต่ฟาโรห์คือองค์ที่อยู่เหนือทั้งหมด ความเชื่อทางศาสนาของชาวอียิปต์มีอยู่นานเกือบพันปีจนกระทั่งฟาโรห์พระองค์หนึ่งเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ใครคือคนนอกรีตผู้นี้ พระองค์คือฟาโรห์แอเคนาเทน (Akhenaten) และในภาพสลักที่เหลืออยู่พระองค์มีรูปเศียรที่เรียวยาว พระองค์เป็นใครกัน ตามความเชื่อของชาวอียิปต์พระองค์สืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าที่เสด็จลงมายังโลกมนุษย์ ทำไมหลายคนจึงเชื่อว่าพระองค์เสด็จลงมาจากดวงดาวจริงๆ ในปี 1352 ก่อนคริสกาล แอเคนาเทนเสวยราชสมบัติเป็นฟาโรห์ เกือบจะในทันที พระองค์ได้ทรงทำการเปลี่ยนแปลงความเชื่ออย่างถอนรากถอนโคน รวมถึงยกเลิกการบวงสรวงเทพเจ้าหลายองค์ พระองค์มีคำสั่งให้ย้ายรูปปั้นเทพเจ้าทั้งหลายออกไป ทรงอนุญาตเพียงอย่างเดียวก็คือสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ที่เป็นรูปทรงกลมพร้อมกับรังสีที่สาดส่อง
ในช่วงปีที่ 4 ของพระองค์ แอเคนาเทนสั่งให้มีการก่อสร้างเมืองหลวงใหม่ให้ชื่อว่าอามาน่า และอุทิศให้กับพระอาทิตย์ แอเคนาเทนใช้เวลาต่อมาอีกสิบปีที่นี่ และในระหว่างนั้นพระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงทั้งงานศิลปะและวัฒนธรรม แล้วรวมถึงการบอกเล่าถึงตัวตนสู่สาธารณะ จากหลักฐานภาพตามผนัง ฟาโรห์ในสมัยก่อนจะรูปร่างที่สวยงามมีไหล่กว้างและเอวคอดเล็ก แต่แอเคนาเทนต่างจากคนอื่น พระองค์ต้องการแสดงตัวตนที่แท้จริง มีรูปร่างที่แปลกออกไป มีหน้าตาที่แปลกประหลาด หากดูจากรูปปั้นของแอเคนาเทนก็จะเห็นว่ามีรูปลักษณะแปลกๆ มีลักษณะผสมของผู้หญิงและผู้ชาย มีหัวกระโหลกที่เรียวยาวมากๆ การเปลี่ยนแปลงสัญลักษณ์ราชวงศ์แสดงให้เห็นว่า พระองค์มีรูปร่างมีรูปร่างแบบนั้น ทั้งพุงโตและอกยุบ
ซึ่งขัดต่อลักษณะทางอุดมคติ ตามแบบแผนที่จิตรกรชาวอียิปต์จะแสดงถึงฟาโรห์ที่แข็งแรง มเหสีของแอเคนาเทนคือพระนางเนเฟอร์ติติ (Nefertiti) พระธิดาและพระโอรสก็มีศรีษระยาวเรียวเช่นกัน ทำไมเศียรของแอเคนาเทนจึงผิดรูป มันผิดรูปเองโดยพันธุกรรมหรือตั้งใจ แอเคนาเทนปกครองอยู่ยาวนานถึง 17 ปี หลังรัชสมัยของพระองค์ เมืองอามาน่ากลายเป็นเมืองร้าง วิหารแห่งดวงอาทิตย์ถูกทำลาย รูปสลักแอเคนาเทนถูกทำให้เสียหาย อียิปต์โบราณกลับคืนมาสู่หนทางเดิมของมันเอง กลับมาบวงสรวงเทพเจ้าหลายองค์ นี่คือการปฏิเสธความเชื่อของแอเคนาเทนหรือไม่ หรือเป็นการปกปิดตัวตนเอเลี่ยนของพระองค์เอง
ปี 1907 มีการพบร่างของแอเคนาเทนบนหุบเขาในอียิปต์โดยนักโบราณคดีชาวอังกฤษชื่อเอ็ดเวิร์ด อาร์ตัน และพบว่ากระโหลกของฟาโรห์องค์นี้ยาวเรียวผิดส่วน แอเคนาเทนประสบความสำเร็จในรุ่นลูก ตุตันคาเมนที่กลายมาเป็นฟาโรห์ชื่อดังตลอดกาล และมีการค้นพบหลุมฝังพระศพและพบว่าตุตันคาเมนมีกระโหลกยาวเรียวเช่นกัน พระองค์ก็มีเชื้อสายต่างดาวเหมือนกับพระบิดาจริงหรือไม่
แอเคนาเทนเปลี่ยนความเชื่อในอียิปต์เพราะพระองค์สืบเชื้อสายมาจากต่างดาวจริงหรือ ถ้าเป็นความจริงมีหลักฐานคล้ายๆกันบนโลกนี้อีกหรือไม่ บางทีเบาะแสที่ว่านี้อาจพบได้ห่างออกไปหลายพันไมล์อีกด้านหนึ่งของทวีปแอฟริกา ประเทศมาลีอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแอฟริกา ลึกเข้าไปในxุgเขห่Nงกล mี;นเӜ่าโดกอนซึ่งสืบเชื้อสายมYจาwชชเผาเݸ่}่อ|ซึงมาตั้งรกรากที่นี่เมื่อรฅสศཱกรชี่ 000 ตนsนของชนเผ่าโดกอนกล่าวว่า๏ทพจ้긲แr่งR้อ帇ฟาค|ออัมม่า อัมม่าได้สร้างนอมขึ+นม */span>
Jspan stle="font-size: 12pt;">ระสWำรwสยไทั่วโลก ในปัจจุบันการสำวจOวาݸคดเd็นอสาารณชนชี้ว่าประชากรมากกว/าค ึงห࢙ึ่ոขงโกเ1ื่อว่ามนุษย์ต่างดาวเคยมท2่น่ ละะไทใหคนจำนวนมากเชื่อในเรื่องี้เม่อ5ีUนุย์ปหยียบดวงจันทร์ครั้งแรก มมมuงี่ ีตอัก3วาָจึงได้เปลี่ยนไปตลอดกาล เหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ทำให้เกิดคำถาม หากว่ามนุษย์สามารถไปสำรวจโลกอื่นได้ แล้วทำไมสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นในห้วงจักรวาลจะทำแบบเดียวกันไม่ได้ พวกเขาอาจเคยมาเยือนโลกมานานแล้วหรือบางทีมนุษย์ต่างดาวอาจจะเคยอยู่ในโลกนี้มาแล้วก็ได้ ที่เปรูเมื่อ 2,000 ปีก่อน มีสถานที่หนึ่งที่เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของชนเผ่านาสคาแต่ในช่วงคริสตศักราชที่ 500 ชนเผ่านาสคาได้หายสาบสูญไป ในปี 1910 นักมนุษยวิทยามาที่นี่เพื่อศึกษาอารยธรรมของชนเผ่านาสคา ระหว่างการขุดค้นเขาได้พบสิ่งที่น่าตกตะลึงอย่างหนึ่งเท่าที่เขาเคยเห็นมานั่นคือ หัวกระโหลกที่ดูเรียวยาวอย่างมาก มันมาจากไหนและทำไมถึงมาอยู่ที่นี่และมันคือหัวมนุษย์หรือไม่ แต่มีผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่ามันเป็นหัวกระโหลกที่ถูกทำให้ผิดรูป ได้มีการรายงานว่าชาวพื้นเมืองในคองโกที่มีชื่อว่าเผ่ามังเดตูได้ประกอบพิธีกรรมรัดหัวกระโหลก เพื่อดัดแปลงแก้ไขรูปทรงหัวกระโหลกมนุษย์ พวกเขาจะทำการรัดกระโหลกเด็กอ่อนเอาไว้ให้เกิดแรงกดจนกระโหลกยื่นยาวออกมาและอาจยาวได้ถึง 2 เท่า รูปลักษณะกระโหลกที่เรียวยาวสืบสานเรื่องราวไปที่ยุคอียิปต์โบราณนั่นคือ ฟาโรห์ ที่มีข้อถกเถียงกันมากที่สุดพระองค์หนึ่ง พระองค์คือหนึ่งในคนที่ต้องการเลียนแบบชาวต่างดาวหรือไม่ หรือว่ามีคำอธิบายอันน่าสะพรึงกลัวกว่านี้ พระองค์คือหนึ่งในพวกนั้นหรือไม่ นานมากก่อนที่ชาวอียิปต์จะสร้างพีรามิดหรือตั้งถิ่นฐานติดแม่น้ำไนล์ ตามตำนานเมื่อเทพเจ้าแห่งฟากฟ้าเดินทางลงมาสู่โลกด้วยเรือที่บินได้ โดยเปลี่ยนให้โคลนและน้ำกลายเป็นอาณาจักร บางสิ่งที่เราเห็นในทุกอารยธรรมโบราณทั่วทั้งโลกนั้นมีอยู่ว่า พวกเขามีความรู้อย่างไม่น่าเชื่อในเรื่องดวงดาว ดาวเคราะห์ และสิ่งที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า และพบว่าผู้คนโดยเฉลี่ยในสมัยนั้นมีความรู้เรื่องพวกนี้มากกว่าคนในสมัยปัจจุบันเสียอีก ขณะที่อารยธรรมอียิปต์โบราณเจริญมากขึ้น ผู้คนต่างเชื่อว่าฟาโรห์คือบุตรชายของโอเซริสหรือเทพเจ้า งานศิลปะและภาพแกะสลักบนผนังพรรณาถึงมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ขณะที่ผู้คนบวงสรวงเทพเจ้าหลายองค์ แต่ฟาโรห์คือองค์ที่อยู่เหนือทั้งหมด ความเชื่อทางศาสนาของชาวอียิปต์มีอยู่นานเกือบพันปีจนกระทั่งฟาโรห์พระองค์หนึ่งเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ใครคือคนนอกรีตผู้นี้ พระองค์คือฟาโรห์แอเคนาเทน (Akhenaten) และในภาพสลักที่เหลืออยู่พระองค์มีรูปเศียรที่เรียวยาว พระองค์เป็นใครกัน ตามความเชื่อของชาวอียิปต์พระองค์สืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าที่เสด็จลงมายังโลกมนุษย์ ทำไมหลายคนจึงเชื่อว่าพระองค์เสด็จลงมาจากดวงดาวจริงๆ ในปี 1352 ก่อนคริสกาล แอเคนาเทนเสวยราชสมบัติเป็นฟาโรห์ เกือบจะในทันที พระองค์ได้ทรงทำการเปลี่ยนแปลงความเชื่ออย่างถอนรากถอนโคน รวมถึงยกเลิกการบวงสรวงเทพเจ้าหลายองค์ พระองค์มีคำสั่งให้ย้ายรูปปั้นเทพเจ้าทั้งหลายออกไป ทรงอนุญาตเพียงอย่างเดียวก็คือสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ที่เป็นรูปทรงกลมพร้อมกับรังสีที่สาดส่อง ในช่วงปีที่ 4 ของพระองค์ แอเคนาเทนสั่งให้มีการก่อสร้างเมืองหลวงใหม่ให้ชื่อว่าอามาน่า และอุทิศให้กับพระอาทิตย์ แอเคนาเทนใช้เวลาต่อมาอีกสิบปีที่นี่ และในระหว่างนั้นพระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงทั้งงานศิลปะและวัฒนธรรม แล้วรวมถึงการบอกเล่าถึงตัวตนสู่สาธารณะ จากหลักฐานภาพตามผนัง ฟาโรห์ในสมัยก่อนจะรูปร่างที่สวยงามมีไหล่กว้างและเอวคอดเล็ก แต่แอเคนาเทนต่างจากคนอื่น พระองค์ต้องการแสดงตัวตนที่แท้จริง มีรูปร่างที่แปลกออกไป มีหน้าตาที่แปลกประหลาด หากดูจากรูปปั้นของแอเคนาเทนก็จะเห็นว่ามีรูปลักษณะแปลกๆ มีลักษณะผสมของผู้หญิงและผู้ชาย มีหัวกระโหลกที่เรียวยาวมากๆ การเปลี่ยนแปลงสัญลักษณ์ราชวงศ์แสดงให้เห็นว่า พระองค์มีรูปร่างมีรูปร่างแบบนั้น ทั้งพุงโตและอกยุบ ซึ่งขัดต่อลักษณะทางอุดมคติ ตามแบบแผนที่จิตรกรชาวอียิปต์จะแสดงถึงฟาโรห์ที่แข็งแรง มเหสีของแอเคนาเทนคือพระนางเนเฟอร์ติติ (Nefertiti) พระธิดาและพระโอรสก็มีศรีษระยาวเรียวเช่นกัน ทำไมเศียรของแอเคนาเทนจึงผิดรูป มันผิดรูปเองโดยพันธุกรรมหรือตั้งใจ แอเคนาเทนปกครองอยู่ยาวนานถึง 17 ปี หลังรัชสมัยของพระองค์ เมืองอามาน่ากลายเป็นเมืองร้าง วิหารแห่งดวงอาทิตย์ถูกทำลาย รูปสลักแอเคนาเทนถูกทำให้เสียหาย อียิปต์โบราณกลับคืนมาสู่หนทางเดิมของมันเอง กลับมาบวงสรวงเทพเจ้าหลายองค์ นี่คือการปฏิเสธความเชื่อของแอเคนาเทนหรือไม่ หรือเป็นการปกปิดตัวตนเอเลี่ยนของพระองค์เอง ปี 1907 มีการพบร่างของแอเคนาเทนบนหุบเขาในอียิปต์โดยนักโบราณคดีชาวอังกฤษชื่อเอ็ดเวิร์ด อาร์ตัน และพบว่ากระโหลกของฟาโรห์องค์นี้ยาวเรียวผิดส่วน แอเคนาเทนประสบความสำเร็จในรุ่นลูก ตุตันคาเมนที่กลายมาเป็นฟาโรห์ชื่อดังตลอดกาล และมีการค้นพบหลุมฝังพระศพและพบว่าตุตันคาเมนมีกระโหลกยาวเรียวเช่นกัน พระองค์ก็มีเชื้อสายต่างดาวเหมือนกับพระบิดาจริงหรือไม่ แอเคนาเทนเปลี่ยนความเชื่อในอียิปต์เพราะพระองค์สืบเชื้อสายมาจากต่างดาวจริงหรือ ถ้าเป็นความจริงมีหลักฐานคล้ายๆกันบนโลกนี้อีกหรือไม่ บางทีเบาะแสที่ว่านี้อาจพบได้ห่างออกไปหลายพันไมล์อีกด้านหนึ่งของทวีปแอฟริกา ประเทศมาลีอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแอฟริกา ลึกเข้าไปในหุบเขาห่างไกล มีชนเผ่าโดกอนซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าเร่ร่อนซึ่งมาตั้งรกรากที่นี่เมื่อคริสศักราชที่ 1000 ตำนานของชนเผ่าโดกอนกล่าวว่าเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าคืออัมม่า อัมม่าได้สร้างนอโม่ขึ้นมา ต่อมานอโม่ได้แตกออกเป็นหลายส่วน และหนึ่งในนั้นได้ทรยศต่ออัมม่า และอัมม่าก็ตอบโต้ด้วยการทำลายทำให้เถ้าถ่านกระจัดกระจายไปทั่วโลก บางเรื่องเล่าของเผ่าโดกอนเทพเจ้าให้ความรู้กับพวกเขา ลงมาจากฟากฟ้าด้วยเรือเหาะที่มีไฟลุกและลงจอดในพายุ จนถึงทุกวันนี้ชนเผ่าโดกอนก็ยังฉลองเทศกาลเพื่อสรรเสิญถึงการมาเยือนในอดีต บางคนเห็นถึงความคล้ายคลึงอันน่าประหลาดระหว่างตำนานของชาวโดกอนและเรื่องราวลึกลับของฟาโรห์แอเคนาเทน แอเคนาเทนเชื่อว่าพระองค์สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากอาเทนเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ส่วนนอโม่กล่าวกันว่าสร้างขึ้นมาจากอัมมาเทพเจ้าแห่งท้องฟ้า เป็นเหตุบังเอิญหรือไม่ที่ทั้งสองวัฒนธรรมที่อยู่ห่างไกลกันหลายพันไมล์ กลับมีเรื่องเล่าของสิ่งที่ลงมาจากท้องฟ้าเหมือนๆกัน ทั้งนอโม่และแอเคนาเทนต่างก็ได้รับการพรรณนาว่ามีศรีษระเรียวยาว เป็นไปได้หรือไม่ว่าตำนานของทั้งสองมีพื้นฐานมาจากเหตุการณ์เดียวกัน ชนเผ่าโดกอนมีความเชื่อกันว่าอัมม่าเทพเจ้าของพวกเขามาจากกลุ่มดาวนายพราน บริเวณเดียวกันกับที่ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าเทพเจ้าโอเซริสถือกำเนิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์และนักมนุษยวิทยากล่าวว่าชนเผ่าโดกอนอาจเรียนรู้มาจากชาวตะวันตก อาจเคยได้ฟังมาแล้วจับมาเป็นตำนานของตน แต่ถ้ามันเป็นตำนานของพวกเขาจริงๆ รวมกับข้อมูลของนักดาราศาสตร์ นั่นหมายความว่าโลกเคยมีมนุษย์ต่างดาวมาเยือนแล้วในยุคก่อนประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำไป ขอบคุณที่มา:http:/www.anyapedia.com/2013/06/blog-post_20.html">ต่อมานอโม่ได้แตกออกเป็นหลายส่วน และหนึ่งในนั้นได้ทรยศต่ออัมม่า และอัมม่าก็ตอบโต้ด้วยการทำลายทำให้เถ้าถ่านกระจัดกระจายไปทั่วโลก บางเรื่องเล่าของเผ่าโดกอนเทพเจ้าให้ความรู้กับพวกเขา ลงมาจากฟากฟ้าด้วยเรือเหาะที่มีไฟลุกและลงจอดในพายุ จนถึงทุกวันนี้ชนเผ่าโดกอนก็ยังฉลองเทศกาลเพื่อสรรเสิญถึงการมาเยือนในอดีต บางคนเห็นถึงความคล้ายคลึงอันน่าประหลาดระหว่างตำนานของชาวโดกอนและเรื่องราวลึกลับของฟาโรห์แอเคนาเทน
แอเคนาเทนเชื่อว่าพระองค์สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากอาเทนเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ส่วนนอโม่กล่าวกันว่าสร้างขึ้นมาจากอัมมาเทพเจ้าแห่งท้องฟ้า เป็นเหตุบังเอิญหรือไม่ที่ทั้งสองวัฒนธรรมที่อยู่ห่างไกลกันหลายพันไมล์ กลับมีเรื่องเล่าของสิ่งที่ลงมาจากท้องฟ้าเหมือนๆกัน ทั้งนอโม่และแอเคนาเทนต่างก็ได้รับการพรรณนาว่ามีศรีษระเรียวยาว เป็นไปได้หรือไม่ว่าตำนานของทั้งสองมีพื้นฐานมาจากเหตุการณ์เดียวกัน
ชนเผ่าโดกอนมีความเชื่อกันว่าอัมม่าเทพเจ้าของพวกเขามาจากกลุ่มดาวนายพราน บริเวณเดียวกันกับที่ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าเทพเจ้าโอเซริสถือกำเนิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์และนักมนุษยวิทยากล่าวว่าชนเผ่าโดกอนอาจเรียนรู้มาจากชาวตะวันตก อาจเคยได้ฟังมาแล้วจับมาเป็นตำนานของตน แต่ถ้ามันเป็นตำนานของพวกเขาจริงๆ รวมกับข้อมูลของนักดาราศาสตร์ นั่นหมายความว่าโลกเคยมีมนุษย์ต่างดาวมาเยือนแล้วในยุคก่อนประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำไป
ขอบคุณที่มา:http://www.anyapedia.com/2013/06/blog-post_20.html