ภาพประวัติศาสตร์..ของนักข่าวหัวเห็ด

 

เจ้าของภาพและเรื่องราวทั้ง หมดครับ

 

ในยุคที่ผู้ก่อการ ร้ายคอมมิวนิสต์แทรกซึมเข้ามาประเทศไทยในทุกภาคของประเทศ ในช่วงนั้นการรบเป็นสงครามเกือบเต็มรูปแบบเลยครับ แรงกว่าเหตุการณ์ใต้ในขณะนี้อีก เพราะมีการประกาศเป็นทางการโดยมีอุดมการที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ มีกำลังทหารแดงและหน่วยรบจัดตั้งจริง และสมัยนั้นรัฐบาลเป็นรัฐบาลทหาร(เต็มรูปของแท้)ด้วย การรบเลยดุเดือด แบบใช้อาวุธหนักเข้าถล่มกันเลย เหตุการณ์นี้อยู่ในช่วงหลังของการรบก่อนที่จะสงบลงครับ ที่ตั้งมั่นเกือบสุดท้ายของคอมมิวนิสต์ภาคเหนือตอนล่างกำลังถูกทำลาย ทหารป่ายิงเจ้าหน้าที่ตชด.ของรัฐที่แทรกซึมเข้าไปหาข่าวรวดเดียวสี่คน ปล่อยศพเน่าอืดอยู่บนถนนและในป่าในเขตพื้นที่สีแดง ทหารและตชด และทหารอากาศต้องผนึกกำลังกันกู้ศพลงมาให้ได้ ปฎิบัติการนี้ใช้ทหารพื้นราบกว่า 500นาย และสนับสนุนจากอากาศร่วมผสมด้วย แต่ฝ่ายผกค.(ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์) มีที่มั่นที่เหนือกว่ามาก เพราะอยู่บนเขาสูงในเขต อ.คลองลาน ต่อ อ.อุ้มผาง จังหวัดตาก การรุกของทหารรัฐบาลต้องไปจากเชิงเขาเพียงทางเดียว การทำงานยิ่งยากเป็นหลายเท่า กำลังผสมพร้อมด้วยรถถังหุ้มเกราะล้อยางแบบ V-150 ทำในสหรัฐ ค่อยๆคืบเข้าไป ไม่นานการยิงจากที่สูงก็เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ตามที่คาด ทหารวิ่งหมอบสองข้างทางเพื่อหาที่มาของจุดยิง เมื่อจับทิศทางยิงได้ หน.ชุดได้วิทยุติดต่อเครื่องบิน C-47 (Dakota) ที่บินวนอยู่แล้วให้ยิงใส่ทันที เสียงปืนจาก ปืนกลร่วมแกน แบบ Mini gun 6 ลำกล้องส่งกระสุนขนาด 7.62 มม.(ใหญ่กว่าM-16 เกือบเท่าตัว) เสียงแหวกอากาศของกระสุนดังลั่นทั่วป่า เพราะเครื่องบินๆระยะต่ำมาก เสียงดังน่ากลัวมากครับปืนแบบนี้ยิงออกมาด้วยความเร็ว 3,000 นัดต่อนาที จาก 6 ลำกล้องที่หมุนขณะยิง อำนาจในการยิงที่เหนือกว่าสร้างขวัญกำลังใจให้ทหารราบได้มาก ฝ่ายผกค.ทีแรกคงคิดว่าเป็นเครื่องบินวน ชี้เป้าธรรมดา ไม่คิดว่าจะติดปืนกลมาด้วย รู้ว่าเสียเปรียบเลยล่าถอยไป ทหารทั้งหมดจึงไปถึงจุดที่ ตชด.เสียชีวิตได้ หน.หน่วยได้สั่งให้ระวังว่าจะมีการซุกระเบิดพลางไว้กับศพ แต่ก็ไม่พบ การรบสมัยนั้นรุนแรงถึงขั้นใช้เครื่องบินรบ รถัง และปืนใหญ่เลยนะครับ แต่ชาวบ้านประชาชนไม่ค่อยมีผลกระทบเท่าไหร่ ไม่เหมือนเหตุการณ์ภาคใต้ที่ประชาชนถูกผลกระทบมากและเสียชีวิตไปนับพันแล้ว มีVDO ความดุของ Mini gun มาให้ดูครับ

 



รถหุ้มเกราะแบบV-150 สองคันนำ ตชด.และ ทหารรุกเข้าพื้นที่



 

เสียงกระสุนนัดแรกระเบิด วินาทีต่อไปก็เกิดเป็นภาพนี้ทันที ทุกคนหาที่กำบังและพร้อมยิงตอบโต้


 

ภาพศพเจ้าหน้าที่นอนอืดอยู่กลางถนน ก่อนการกู้กลับลงพื้นราบ


 

มีรูปก๊อปปี้ไปมาจากหนังสือ ครับแล้วมาแต่งใหม่(ผมชอบPSจัง) นักศึกษาประชาชนสมัย14ตุลาก็มีพวกนี้แหละครับ เป็นหัวหอกต่อสู้ ผมได้ภาพนี้ Exclusive เลยคือถ่ายได้คนเดียวเลยครับ วันที่15ประชาชนและหัวหอกช่างกล ล้อม บชน.เดิมที่ผ่านฟ้าแล้วยิงต่อสู้กับตำรวจ ภาพนี้จะเห็นว่าฝ่ายต่อต้านก็ใช้ปืนยาวยิงตำรวจเหมือนกันโดยจุดซุ่มยิงพวก เขาอยู่ที่สะพานผ่านฟ้า โดยมีช่างกลนำปืนที่ยึดมาได้จากร้านปืนแถวย่านแยกอุณากรรณ์ เป็นไรเฟิ่ล ซุ่มยิงตำรวจ โดยมีพรรคพวกคอยส่งกระสุนให้ สว่นผมได้ภาพนี้เพราะวิ่งถือเล็นส์ Nikon 500mm. f8 reflex วิ่งขึ้นชั้นบนของโรงหนังเฉลิมไทย ถ่ายลงมา และก่อนค่ำวันนั้นเอง บชน.ก็ถูกอาชีวะและประชาชนใช้รถนำ้ฉีดนำ้มันแล้วเผาจนวอดทั้งตึก นักศึกษา และอาชีวะสมัยนั้นมีอุดมการณ์เพื่อบ้านเมืองจริงๆ ไม่เหมือนสมัยนี้กินเหล้าหัวราน้ำ ใครจะชุมนุมประท้วงอะไรเพื่อบ้านเพื่อเมืองไม่สนใจ พ่นกูมึง animals กันสนุกปาก เมาแล้วจูงหญิงขึ้นคอนโด ผมคงแก่ไปแล้วนะเนี่ย...



 

รูปประจำรถเมล์ขาว ที่อาชีวะขับพุ่งชนทหารที่ราชดำเนิน เป็นเหมือนภาพซ้ำๆนะครับ ทำไมรถเมล์รับเคราะห์ทุกที


 

มีรูปประวัติศาสตร์ ประเทศมาให้ดูอีก รูปดั่งสงครามย่อยๆเลยครับ ทหารที่มีอาวุธเหนือกว่า แต่ถูกอำนาจที่สูงมากดันหลังให้ออกมาทำร้ายประชาชนอย่างที่เขาเองก็ไม่อยาก ทำ แต่พอมาเจอกับพลังมวลชนที่มีจำนวนมหาศาล ก็เกิดอาการตื่นกลัว และทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดได้ ผมคงอยู่ตรงนั้นและมองด้วยใจเป็นธรรมว่า ทหารพวกนี้เป็นจำเลยของสังคม ไม่ใช่เพราะตัวเขา แต่เป็นเพราะเขาต้องทำ เพราะข้องมูลข่าวระดับสูงที่ผิด รูปมุมสูงรูปนี้ผมวิ่งขึ้นชั้นสามของโรงแรม รอแยล (รัตนโกสินทร์สมัยนี้)แล้วใช้เล็นส์ Nikon 24mm. f2.8 ถ่ายลงมา จะเห็นว่ารถถังแบบ M-41 เริ่ม เคลื่อนตัวออกมายิงขู่ ประชาชนบริเวณ ราชดำเนินและสนามหลวงด้านหนือ เห็นเป็นกลุ่มควันคือแก๊สน้ำตาแบบขว้าง ช่วงนี้ทหารยังไม่ใช้กระสุนจริง เพราะยังไม่มีการตาย แต่ชั่วโมงถัดไป บริเวณใกล้กลุ่มควัน ทางซ้ายมือของภาพนั่นแหละ เป็นจุดที่มีคนถูกยิงเสียชีวิตนับสิบคน รวมไปถึงเณรด้วย การที่เห็นคนนอนหมอบหน้าโรงแรมนั้น แน่นอนว่าทหารมีการยิงขู่มา จนต้องมีการหมอบ ผมต้องหมอบอยู่ระเบียงโรงแรม พยายามโผล่แต่กล้อง หัวหดเลยครับเพราะถ้าเขายกปืนยิงสูง เป้าหมายก็คือผมแหละ


 

เหมือนภาพสงครามครับ ทหารราบ 11 เริ่ม นอนหมอบหลังจากถูก Sniper อาชีวะยิง ด้วยปืนไรเฟิ่ล


 

นาย จีระ บุญมาก นักศึกษาปริญญาโท ของนิด้าถูกปืนยิงตาย เป็นศพ ต่อหน้าต่อตาผม เพราะเขาถือธงนำกลุ่มประชาชนวิ่งเข้าหาทหาร ในระยะใกล้มาก จะเห็นเลือดของเขากระเซ็นติดกางเกงเพื่อนร่วมต่อสู้เขาด้วย และทุกคนมีอาการตกตะลึง จิระได้รับการยกย่องว่าเป็นนักต่อสู้
จนมีการ ตั้งชื่อ "หอประชุมจีระ บุญมาก" ที่ Nida ด้วย


 

นายทหารคนซ้ายมือ กำลังมองหาที่มาของจุดยิงปืนไรเฟิ่ล ที่ยิงทหารจนทะลุหมวกเหล็ก ล้มทั้งยืน


 

รถถัง M-41 และทหารกำลังจัดกำลังเพื่อเคลื่อนตัวออกมาถนนราชดำเนิน ผมถ่ายด้วย Tele 200mm.ของ Nikon จากบนระเบียงของโรงแรม

 

ผมคงเป็นโรคจิต ติดถ่าย Silhouette ตั้งแต่หนุ่มๆ เป็นหนักถึงขนาด เห็นคนตายต่อหน้าต่อตามากมาย ยิงกันจนหูอื้อไปหมด ยังมีอารมณ์ถ่ายรถถังแบบศิลป์อีก...จะบ้า มา คิดตอนนี้หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป 36 ปีแล้วขำๆ รูปนี้ถ่ายตอนใกล้ค่ำ แล้วครับ


 

เหตุการณ์ก่อนวันที่ 6 ตุลาคม19 ที่มีนักศึกษาและประชาชนตายไปเป็นจำนวนมากในวันนั้นที่มหาวิทยาลัยธรรม ศาสตร์และสนามหลวง ช่วงก่อนหน้านั้นกลุ่มอาชีวะขวาจัด กลุ่มกระทิงแดง กลุ่มนวพล ได้พยายามก่อกวนนักศึกษาและผู้ชุมนุม ภายในมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์บ่อยครั้ง แต่ก็มีกลุ่มที่ต่อตา้นของฝ่ายของนักศึกษา ธรรมศาสตร์ ซึ่งถูกตราหน้าจากฝ่ายข่าวกรองของรัฐบาลว่าเป็นฝ่ายซ้าย และ มีกลุ่มเป็นภัยต่อประเทศสนับสนุนอยู่ แต่ฝ่ายภายในมหาลัยก็มีจำนวนไม่มาก ทำให้ฝ่ายต่อต้านขวาจัดฮึกเหิมบุกโจมตีและพังเข้าไปภายในธรรมศาสตร์ประจำ หอประชุมเล็กและหอประชุมใหญ่ ถูกถล่มไม่เว้นแต่ละวันภาพนี้เป็นภาพ กลุ่มนักศึกษา และกระทิงแดง ยึดรถเมล์ศิริมิตร มาเต็มคันรถ ปาระเปิดขวดเปิดทางที่หน้า มหาลัย ด้านประตูสนามหลวงตรงข้ามหอประชุมเล็ก ก่อนที่จะส่งกำลังพลจู่โจมทำลายข้าวของภายในหอประชุมเล็ก


 

กลุ่มขวาจัด บุกเข้าหอประชุมเล็ก มธ. ข้วางปาทุกอย่างที่เตรียมมา และมีการปาระเบิด ภายในหอประชุมเล็กจนเสียหายด้วย เหตุการณ์ 6 ตุลาวันนั้นผมอยู่ในเหตุการณ์ตลองตั้งแต่เริ่ม จนจบ ทุกวันนี้ผมกลับไปหน้าหอประชุม ยังเห็นภาพอยู่เลยครับ
ว่าตรงใหนมีศพ นอนอยู่บ้าง โดยเฉพาะหน้าบันไดใหญ่หน้าด้านซ้ายของหอประชุม ตรงนั้น มีศพประมาณ ห้าศพนอนตายอยู่ในพุ่มไม้ข้างบันได
คงลบไม่ออกหรอกครับ มันติดตา


 

เอารูปที่คุ้นตามาให้ดู แต่บางรูปก็หาดูที่ไหนไม่ได้ เมื่อวันที่ 6 ตุลาวันที่ประชาชนและชาวธรรมศาสตร์ ผ่านจุดนั้นมาได้อย่างยากลำบาก หลายคนตอนนี้เป็นอาจารย์ เป็นนักวิจารณ์รัฐบาล เป็นนักการเมืองร่ำรวยมีอุดมการณ์แบบบิดเบี้ยวหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองอย่าง เดียว บางรายหนักหนาสาหัสมาเป็นลูกจ้างนายทุนทุกคนใกล้จะแก่ตายเต็มที คงยากที่จะกลับลำมองเห็นอุดมการณ์ที่ถูกต้องในวัยหนุ่มเพราะถ้าเป็นอย่าง นั้นคงอดตาย ในวันนั้นผมเห็นคนบริสุทธิ์คนแล้วคนเล่าถูกฆ่าตายอย่างโหดเ***้ยม หลายคนเดินออกมาจากธรรมศาสตร์ ในสภาพที่อ่อนล้า เพราะถูกล้อมไว้หลายวันขาดน้ำและอาหาร พวกเขายกมือไหว้ขอชีวิตผ่านแนวกลุ่มขวาจัดทั้งอาชีวะ กระทิงแดง นวพล ตำรวจ ตชด. ประชาชนที่โกรธแค้น และพวกสามล้อ และแท๊กซี่ (อีกแล้ว) เหมือนสัตว์ร้ายหิวโหยจ้องกินเหยื่อ แม้จะยกมือขอชีวิตตัวสั่นงันงก เดินเป็นแถวเรียงหนึ่งออกมาอยา่งยอมจำนน กระบองเหล็กและท่อนไม้มาจากไหนบ้างไม่รู้หวดเข้าไปที่หัวของเหยื่อ ร่างทรุดฮวบลง และเหมือนแร้งรุมแทะ เพียงหนึ่งนาที กระโหลกศีรษะแตก มันสมองไหลเต็มพื้น ตัวอ่อนเหลว หน้าหอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์นั่นเอง พวกเขาลากออกไปเผาอีกที่สนามหลวง ผมเห็นคนแล้วคนเล่าถูกกระทำเหมือนกันหลายสิบคน ผมรู้ว่าพวกเขาที่ตายรับเคราะห์แทนผู้อื่น ถ้าจะมีคนอยู่เบื้องหลังจริงอาจหนีไปแล้ว พวกเขาที่ตายคือผู้บริสุทธิ์ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คนที่อยู่เบื้องหลังหนีเข้าป่าไปหมด หลังจากรู้ว่าถูกหลอกก็ซมซานกลับมาในเมือง เสนอหน้าอยู่ในสังคมนี้ต่อไป ....เปื้อนเลือดจริงๆ รูปพวกนี้เป็นวางขายตามร้าน "เพื่อชีวิตกูเอง" พร้อมกับพวกเขาควายทั้งหลาย และผับร้านเหล้าแต่งแบบเถื่อนๆ มากมาย เออ "รูปกรู...ต่อชีวิตมรึง"


 

ดั่งสงคราม... ปืนไร้แรงสะท้อน หรือ Recoilless rifle ผมเห็นแต่ทหารใช้ในการรบกันที่ชายแดนกับทหารต่างชาติ แต่วันนั้น ตชด.ชุดนี้วิ่งเข้าไปในธรรมศาสตร์ พร้อมกับพลฯบรรจุกระสุนนอกเครื่องแบบหิ้วกล่องบรรจุลูกระเบิด ปืนแบบนี้ยิงคนเดียวไม่ได้คนยิงจะแบกปืืน และจะต้องมีพลฯบรรจุกระสุนคอยยัดกระสุนเข้าลำกล้องทางด้านท้ายของปืน รูปนี้ผมถ่ายแบบแทบจะเป็นแบบ Panning เขาทั้งสองวิ่งผ่านหอประชุม เข้าไปตั้งจุดยิงที่สนามฟุตบอล แล้วยิงเข้าไปในตึกคณะบัญชีหลายนัด เขายิงเพื่อกดดันให้ออกมามอบ ตัวกระสุนที่รุนแรงทำให้มีนักศึกษาตายไปหลายคน ความแรงของปืนขนาดนี้สามารถทำให้รถเก๋งที่ว่ิ่งเข้าหา แหลกระเบิดแล้วลอยไปบนอากาศได้อย่างง่ายดาย


 

เครื่องบินตก(แถมครับ)

หายไปนาน พอมาเปิดมาก็พาเรื่องเศ้รามาเชียว เมื่อ 27 เมษายน 1980 เกือบสามสิบปีแล้วครับ เครื่องบิน Avro748 ของสายการบินบ.เดินอากาศไทย จำกัด ซึ่งเป็นบ.การบินในประเทศตอนนั้นยังไม่ควบรวมกับการบินไทย ได้พาผู้โดยสารกว่า 50คนจากขอนแก่นมาที่สนามบินดอนเมืองช่วงนั้น มีฝนฟ้าคะนองทางด้านเหนือของกรุงเทพ เครื่องบินได้ตกลงบนทุ่งนาระหว่างคลองสามและคลองสี่และหักออกเป็นหลายท่อน ผู้โดยสาร 43 คนเสียชีวิตอีก10 คนบาดเจ็บสาหัส ผมจำได้ว่ามีเพียงสองคนที่ไม่เป็นอะไรเลยจึงเดินกลับบ้านไป เครื่องบินแบบนี้เป็นเครื่องบินที่มีความปลอดภัยสูงมากนะครับ เพราะเป็นเครื่องบินกังหันไอพ่นสามารถประคองตัวได้ดีถ้าเกิดอุบัติเหตุ เครื่องบินลำนี้ไกล้จะถึงดอนเมืองอีกไม่กี่นาที ก็เกิดพายุหมุน และตกลงกระแทกพื้น บางรายงานก็บอกว่าถูกฟ้าผ่า บางรายงานก็ว่าเป็นเพราะนักบินๆด้วยความเร็วที่ต่ำไปทำให้เกิดอาการ Stall หล่นลงกระแทกพื้นเรื่องนี้ผมเอาเป็น Plot เรื่องเขียนเร่ืองในหนังสือ "ช่างภาพโรงผี"ด้วย ในเรื่องของความหน้าด้าน "ต้องด้าน"ของช่างภาพหนังสือพิมพ์ วันนั้น ผมอยู่บ้านที่เอกมัยนี่แหละ จำได้ว่าเป็นวันหยุด แต่ผมก็ยังเปิดวิทยุตำรวจฟังหลังเครื่องบินตกไม่กี่นาทีศูนย์วิทยุปทุมวัน ของกรมตำรวจก็รายงานให้คุณ ประเทือง กีรติบุตร รัฐมนตรีมหาดไทย (ที่น่ารัก)ทราบ วิทยุก็เข้ามาที่บ้านผม เพราะบ้านท่านอยู่ทองหล่อหลังบ้านห่างกันไม่ถึง 300เมตร ผมตกใจมากคว้ากล้องกระโดดขึ้นรถไปที่เกิดเหตุทันที ที่เกิดเหตุอยู่กลางทุ่งนาต้องรถเข้าไม่ถึงตอ้งเดินราว 3 กม. ขณะยังคิดไม่ออก เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอากาศแบบBell ก็บินมารับเครื่องมือจากรถปิ๊กอัพ เพื่อจะไปที่เกิดเหตุเหมือนกัน โดยบนเครื่องมี นาวาอากาศเอก ยุธทพงศ์ กิติขจร ลูกชายจอมพลถนอมอยู่บนเครื่องด้วย เพราะคุณยุทธพงศ์ เป็นเจ้าหน้าที่นิรภัยการบินต้องไปไปตรวจสอบการตก ผมรู้แล้วว่าจะไปที่เกิดเหตุและถ่ายภาพมุมสูงได้อย่างไร ผมยืนรออยู่จนกระทั่งเครื่องจะยกตัวขึ้นผมกระโดดขึ้นเครื่่องอย่างรวดเร็ว แล้วกอดเสาเครื่องบินไว้
แล้วปากก็ร้องแข่งกับเสียงใบพัด "ไปด้วยครับหนังสือพิมพ์" เจ้าหน้าที่บนเครื่องพยายามบอกผมว่าไปไม่ได้ ผมก็ส่ายหัวอย่างเดียวแล้วบอกนักบินให้เอาเครื่องขึ้น อย่างไงก็ไม่ลง เขาพูดอีกผมก็ส่ายหัวอีก ด้านจริงๆ แล้วผมรู้เขาก็ทนผมไม่ได้ ก็เลยเอาเครื่องขึ้น ผมถ่ายรูปมุมสูงกลางทุ่งนาแบบยกม้วนเลยครับ ช่างภาพ นสพ.ค่แข่งผมเห็นผมลงจากเฮลิคอปเตอร์ แทบเป็นลม...คริ คริ จะหามุมไหนแบบนี้อีกกลางทุ่งแบบนี้ Exclusive เลยแหละเพราะด้านแบบเทพ รูปนี้สะเทือนใจจริงๆครับถ้าไปรอรับลูกเมียที่กำลังมาจากต่างจังหวัด ที่ดอนเมือง แล้วต้องมารับลูกในสภาพตัวบิดงอแบบนี้ หัวใจสลายเลยครับ ผู้ชายคนนี้หลังจากรู้ข่าวว่าเครื่องบินที่เมียและลูกที่มาจากขอนแก่นตกเขา รีบมาที่เกิดเหตุทันที ผมยังได้ยินเขาร้องอยู่เลย "โธ่ลูกทำไมเป็นอย่างนี้"


 

ภาพนี้มีหลายความรู้สึกอยู่ในประวัติอันยาวนานในตัวของมัน ผมได้รับรางวัลอาเซียน จากภาพนี้เมื่อเดือนกุมพาพันธ์ปี 1981 จากการประกวดรูปของหนังสือพิมพ์ใน ASEAN ของสมาพันธ์หนังสือพิมพ์แห่งอาเซียนครั้งที่ 1 ชื่อภาพ Heart breaking farewell ภาพนี้เป็นความรู้สึกบีบคั้นของผู้ลี้ภัยจากการสู้รบในเขมร ที่หลบภัยสงครามเข้ามาในประเทศไทยที่ค่าย "เขาอีด่าง" ปราจีนบุรี ก่อนหน้านั้นเธอสองคนพลัดพรากกันเพราะสงครามทั้งสองต่างตามหากันอยู่นับ เดือนและโชคไม่เข้าข้างหญิงทั้งสองเลย เธอพบกันอีกครั้ง ในขณะที่หญิงคนซ้ายต้องถูกบังคับให้กลับเข้าไปในกัมพูชาอีก และแน่นอนเธอต้องตกไปอยู่ในเงื้อมือเขมรแดงอันโหดเ***้ยม จนบัดนี้ก็ยังไม่ทราบชะตากรรมเธออีกเลย หลังจากภาพนี้ลงหน้าหนึ่งในหนังสือที่ผมสังกัด APได้มาขอไปใช้ทั่วโลก และในวันรุ่งขึ้นรูปผมได้ไปเป็นรูปLead หน้า1 ในหนังสือพิมพ์ The New York Times หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกาทางซีกตะวันออกและคงอีกหลายฉบับในโลกเพราะ ช่วงนั้นชาวโลกจ้องมองการสู้รบในเขมรติดชายแดนไทยอย่างตลอดเวลา รูปนี้ได้ทำนิทรรศการหลายครั้งเป็นที่คุ้นตาของสื่อในไทยอย่างดี ผมก็เก็บเอารูปที่เหลือมาทำกรอบ ติดไว้ที่บ้านเป็นขนาด 20x24นิ้วเป็นรูปขาวดำดูแสนเศร้า ไม่กล้าติดที่ห้องนั่งเล่น แต่อยู่ในห้องมืดผมบ้างมุมส่วนตัวผมบ้าง เป็นเวลากว่าสิบปี อยู่มาวันหนึ่งลูกชายคนเล็กผมเห็นผมถือรูปนี้อยู่ เขาเอ่ยถาม "สงสัยมานานแล้ว อยากรู้จังเลยว่าคนที่ร้องไห้เนี่ยเป็นญาติเราเหรอ เพราะเห็นรูปนี้อยู่ในบ้านเราตั้งนานแล้ว ทำไมเค้าร้องไห้ แล้วไม่เคยเห็นป้าเค้าเลยอ่ะ" ผมขำแทบตาย เพราะเขาคงเคยไปบ้านเพื่อนคนโน้นคนนี้ ก็มีภาพญาติพี่น้องถ่ายรูปกัน เท่านั้นถึงเอามาแขวน มีสารพัดภาพทุกภาพก็ยิ้มแย้มถ่ายในสวนสนุกบ้าง บางภาพก็มีพ่อยิ้มแฉ่งถ่ายกับนายตำรวจมีลายเซ็นผู้กำกับติดอยู่หน้าร้านบ้าง ทำไม่ญาติเรามันถึงเศร้าอย่างนี้ ผมว่าเขาคงกดดันมานาน แต่ก็ไม่กล้าถามกลัวพ่อแม่ยิ่งเศร้ากันไปใหญ่ พอผมบอกให้ฟัง เขาก็ร้อง...โธ่ แล้ววิ่งไปเลย


 

ผมเป็นคนที่เดินสลัมคลองเตยจนคุ้น เดินเข้าซอกโน้นซอกนี้ตั้งแต่ล๊อคหนึ่งยันล๊อคเก้า ตกสะพานไม้ลงน้ำครำ ก็เคยผ่าน เริ่มจากล๊อคหนึ่งคือเริ่มจากหลังกรมศุลกากรยาวไปตามถนนอาจณรงค์ด้านขวามือ จนเกือบประตูถึงประตูใหญ่ทางเข้าตึก OB ของการท่าเรือ นั่นคือสลัมล๊อคเก้า แถวนั้นมีรูปให้ถ่ายเยอะมากครับถ้าใครสนจะไปถ่าย แต่ต้องระวังพวกติดยาอาจจะวิ่งเอา Leica-m ตัวแพงของคุณ หนีไปดื้อๆ นานมาแล้วปัญหาใหญ่ของสลัมและคนที่อยู่ก็คือไฟไหม้ เพราะมันมีตัวแปรมากมาย เนื่องจากสายไฟฟ้าที่ต่อกันแบบง่ายๆ จุดไฟเตาถ่านทำอาหาร สูบยา จุดธูป แล้วสภาพแวดล้อมก็มีกระดาษไม้เก่าที่ติดไฟง่าย สมัยนั้นมีไฟไหม้บ่อยมากเรียกว่าสองเดือนครั้งเลยครับ พอวิทยุตำรวจรายงานว่าไฟกำลังไหม้ล๊อคไหนผมก็นึกภาพออก คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ ที่เคยทำงานร่วมสำนักงานเดียวกันมาเคยเขียนกลอนไว้ ผมพอจำได้แบบไม่ครบอ่ะครับ คงเป็นเพราะผมไม่ใช่นักกลอนว่า "กูเป็นคนหนังสือพิมพ์ กูเดินตั้งแต่ปราสาทราชวังยันดมกลิ่นขี้ในสลัม" มันช่างตรงกันจัง เพราะผมทำงานก็เดินปราสาทพระราชวังมากนะครับ พระราชวัง versalles ที่ฝรั่งเศส พระราชวัง Schonbrunn ที่ Austria และที่ พระราชวัง Hofburg ที่เวียนนา Austria ซึ่งวังแห่งนี้ เคยเป็นที่ประทับของพระนาง Maria Antoinette สมัยยังสาว ก่อนหน้าที่จะไปเป็น Queen ของฝรั่งเศส และถูกประหารอย่างเ***้ยมโหดด้วย กิโยตินกลางกรุงปารีส
ผมไปวังที่ท่าน เคยประทับ ช่วงงานกลางคืน เห็นรูปเขียนสีน้ำมันขนาดใหญ่มากของพระนางแขวนอยู่ จะไปเข้าห้องน้ำชั้นล่างผมรีบสาวเท้าเดินผ่านอย่างเร็วมากกแบบไม่เหลือบตา มอง ...แว๊ป รูปเป็นเรื่องไฟไหม้ลากไปจนถึงปราสาทโน่น

 


 

ผมถ่ายไฟไหม้บอ่ยมากและนี้คือผลของไฟ เหยื่อไฟไหม้หมดตัวครับพวกเธอจะร้องแบบเต็มที่ด้วยครามตกใจ เพราะหมดเนื้อหมดตัว บางรายก็เสียคนที่รักในกองไฟก็มีให้เห็นบ่อย


 
 
 

 

เหตุสะเทือนใจของผมเกิดที่รูปนี้แหละครับ ไม่ใช่เพราะเป็นรูปที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนบ่อยนัก แต่เป็นการสัมผัสอย่างใกล้ชิดของช่างภาพข่าวอย่างผมตะหาก รูปนี้เป็นการประหารชีวิตคนถึงสามคนในเวลาเดียวกัน ที่เรือนจำจังหวัดปราจีนบุรี ด้วยต้้องหาคดี "ค้าขายกับเขมร"ในเวลานั้น นั่นเป็นเพียงเพราะช่วงนั้นไทยทำการรบกับเขมร เพื่อนบ้านของเรา รัฐบาลนาย ธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้ตัดสินประหารชีวิตคนไทยสามคนที่ค้าขายกับเขมร ในปี 1977 ผมสงสารเขาจริงๆ เพราะผมพบพวกเขา คุยกับพวกเขาในห้องพักผู้ประหาร ก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิตจนหมด เวลาราวๆตีห้าผมกับนักข่าวจากกรุงเทพที่รู้ว่าจะมีการประหารชีวิต หลายฉบับก็มาอยู่ที่หน้าเรือนจำ ผมได้มีโอกาส หลุดรอดเข้าไปเกาะลูกกรงคุยกับนักโทษได้ ผมเห็นตั้งแต่เขานั่งรวมกันอยู่สามคนบนพื้นซีเมนต์ ภายในห้องแสงไฟไม่สว่างนัก ผมถามเขาว่า "กลัวมั๊ย" ดูเหมือนไม่ได้รับคำตอบจากพวกเขาเลย ทุกคนก้มหน้านิ่ง เหมือนรู้ชะตากรรม พวกเขาทั้งสามถูกใส่กุญแจมือไข้วหลังอยู่ เหมือนเวลาตายมาถึงแล้ว เจ้าหน้าที่เรือนจำสองคนก็เดินเข้ามาแล้วก็ หิ้วปีกนักโทษคนแรกออกไป นักโทษที่นั่งอยู่มองตามด้วยสายตาสงบ เวลาผ่านไปนาน เสียงปืนเกือบสิบนัด ก็ดังขึ้น นักโทษที่เหลือถึงกับสะดุ้ง ผมว่าเสียงปืนมันแทงเข้าไปในใจเขาอย่างมาก ใบหน้าเขายิ่งเศร้าลง ผมถามประโยคซ้ำ "กลัวหรือ" ควาวนี้พวกเขาทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน แล้วคอตกลงกว่าเดิม มันเศร้าจริงๆครับในสถานการณ์แบบนั้น ไม่ถึงห้านาทีเจ้าหน้าที่สองคนเดิมก็เดินเข้ามาอีก แล้วก็หิ้วปีกคนที่สองออกไป เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกจนกระทั้งคนสุดท้ายก็หายไปเหลือเพียงห้องโล่งๆ มันเป็นเหตุการณ์เศร้าสะเทีอนใจจริงๆและบีบหัวใจจริงๆครับ ครั้งนั้นเมื่อผมเข้าไปภายในไม่ได้ ผมได้ใช้การตีสนิทกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ฝากกล้องเขาเข้าไปถ่ายรูป การประหารมาให้ โลกภายนอกจึงได้เห็นภาพนี้แหละครับ รูปนี้เป็นรูปเดียวที่ออกสู่สายตาคนทั้งประเทศในวันรุ่งขึ้นในหน้าหนึ่ง ของหนังสือพิมพ์ของผม เป็นที่ฮือฮาว่า เราทำได้อย่างไร และแล้วก็คงเป็นประวัติศาสตร์ไม่บ่อยนักในวงการหนังสือพิมพ์บ้านเรา ที่ทุกฉบับต้องมาขอรูปจากเรา นำไปพิมพ์ในวันรุ่งขึ้นซึ่งช้ากว่าเราไปหนึ่งวัน พร้อมกับมี Credit ใต้รูปเป็นชื่อผมและหนังสือพิมพ์ที่ผมทำงาน เพราะรูปนี้มันมีความหมายจริงๆ

Credit: http://atcloud.com/stories/77886
15 มิ.ย. 53 เวลา 05:20 10,866 27 344
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...