read:http://petmaya.com/cannibal-medicine
สยอง! “การกินศพมนุษย์” เคยใช้เป็นยารักษาโรคในอดีต
เป็นเวลาหลายร้อยปี ที่ชาวยุโรปมีส่วนร่วมกับการกินมนุษย์ จนกระทั่งถึงปลายศตวรรษที่ 18 เพียงแต่การกินมนุษย์ของพวกเขา ไม่ใช่การกินแบบมนุษย์กินคน ที่เราเข้าใจกัน แต่เป็นการใช้ชิ้นส่วนของคนตาย มาเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาทางการแพทย์
ในระหว่างศตวรรษที่ 16-17 วิทยาศาสตร์การแพทย์ค่อนข้างจะโบราณ ชาวยุโรปจำนวนมาก รวมทั้งราชวงศ์ นักบวช และนักวิทยาศาสตร์ ต่างมีความเชื่อในเรื่องของการใช้ชิ้นส่วนของมนุษย์ อย่างเช่น กระดูก เลือด ไขมัน มาใช้เป็นยารักษาโรค
มีมัมมี่จากอียิปต์จำนวนไม่น้อย ที่ถูกขโมยไปจากสุสาน รวมไปถึงชิ้นส่วนศพต่างๆ จากสุสานของชาวไอริช ก็ถูกนักขุดทั้งหลายมาขโมยไปไม่น้อยเช่นกัน
ชิ้นส่วนจากศพของมัมมี่เหล่านี้ จะถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของวิชาการแพทย์ โดยเฉพาะส่วนกระโหลกศีรษะที่มักถูกนำมาบดเป็นผง พวกเขาเชื่อว่ามันสามารถรักษาได้ทุกสิ่ง ตั้งแต่อาการปวดหัว จนไปถึงโรคที่ร้ายแรงกว่าอย่างเช่นโรคลมชัก
โทมัส วิลลิส ผู้บุกเบิกวิทยาศาสตร์ด้านสมองในศตวรรษที่ 17 จะชงผงกระโหลกศีรษะมนุษย์กับช็อคโกแลต เพื่อรักษาโรคลมชักและอาการเลือดออก ส่วนกษัตริย์ชาร์ลสที่ 2 แห่งราชวงศ์อังกฤษ ก็ใช้ผงกระโหลกศีรษะดื่มกับเหล้าเช่นกัน
ในศตวรรษที่ 16 พาราเซลซัส นักฟิสิกส์ชื่อดังเชื่อว่า การดื่มเลือดสดๆ จะดีต่อสุขภาพ หนึ่งในผู้ติดตามของเขาแนะนำว่า เลือดจะต้องมาจากร่างกายที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น ซึ่งความเชื่อนี้ ถึงกับต้องมีการจ่ายเงินซื้อเลือดของนักโทษประหารกันเลยทีเดียว
ส่วนไขมันของมนุษย์ จะถูกนำมาใช้รักษาทางภายนอกร่างกาย อย่างเช่น การนำมาทาบริเวณจมูก จะทำให้เลือดกำเดาหยุดไหล หรือ การนำไขมันไปถูเพื่อรักษาโรคเกาต์อีกด้วย
ริชาร์ด ซักก์ นักประวัติศาสตร์ถึงกับบอกว่า ในสมัยอดีต คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่า “คุณควรกินมนุษย์หรือไม่ ?” แต่ควรจะถามว่า “คุณควรกินมนุษย์ส่วนไหน ?” มากกว่า
เครดิต พี่หมี เพชรมายา