ท่านผู้อ่านหลายท่าน อาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้สักเท่าไรนัก แต่เชื่อไหมครับว่าในแวดวงคาวบอยตะวันตกนั้นมี
ลุค ช้อร์ท อยู่ถึงสองคน คนหนึ่งเป็นนักเขียนนิยายโคบาลตะวันตกที่มีชื่อเสียง มีผลงานหลายเล่มจำนวนมาก
และโด่งดังไม่แพ้ หลุยส์ ลามูร์ ที่คอคาวบอยบ้านเรารู้จักกันดี ทว่าชื่อ ลุค ช้อร์ท ของนักเขียนนี้คนเป็นเพียงนาม
ปากกา ชื่อจริงของแกคือ เฟรดเดอริค ดิลลี่ย์ กลิ๊ดเด้น (Frederick Dilley Glidden) มีชีวิตอยู่ในช่วงระหว่างปี
ค.ศ. 1908 ถึง 1975 ไม่ทราบเหมือนกันว่าแกเลือกใช้นามปากกานี้เพราะอยากจะเลียนแบบคนอื่น หรือฟลุคตั้ง
ขึ้นมาเองแล้วดันไปตรงกันโดยไม่รู้ว่าเคยมีคนชื่อนี้อยู่ก่อนแล้ว
ส่วน ลุค ช้อร์ท อีกคนหนึ่งเป็นตัวจริงเสียงจริง มีชีวิตอยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1854 ถึง 1893 นั่นคือตายไปแล้ว
ตั้ง 15 ปี ก่อนที่คนเอาชื่อตัวไปใช้ทำนามปากกาเขียนหนังสือจนโด่งดังจะเกิดเสียอีก (ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่า
ถ้าอยู่ทันกันจะตามไปเอาปืนจี้ทวงชื่อคืน หรือบังคับให้จ่ายค่าธรรมเนียมฐานเอาชื่อไปใช้โดยไม่ได้ขออนุญาต
ก่อนหรือเปล่า) ลุค ช้อร์ท ตัวจริงนี้ เป็นนักพนันตัวฉกาจและมือปืนระดับไร้เทียมทานอีกคนหนึ่งแห่งดินแดน
ตะวัน ตก เป็นเพื่อนสนิทที่เป็นที่ไว้วางใจของทั้ง วายแอ็ท เอิ๊ร์ป และ แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน แล้วยังมีอีกอย่างที่หาได้
ไม่ง่ายนักในแวดวงของมือปืนที่มีชื่อ เสียงโด่งดังทั้งหลาย นั่นคือจบชีวิตลงด้วยการตายเองโดยไม่ได้ถูกใครยิง
ประวัติของ ลุค ช้อร์ท ในช่วงแรกๆค่อนข้างมัวซัว (หมายถึงไม่ค่อยละเอียดชัดเจนน่ะครับ) ทราบแต่เพียงว่าเกิดใน
ครอบครัวชาวไร่ปศุสัตว์ในฝั่งตะวันตกของเท็กซัส มีพี่น้องอีก 2 คน เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ลุคใช้ชีวิตในวัยเด็กและ
วัยรุ่นเป็นโคบาลต้อนวัวในไร่ของพ่อ ในระหว่างนี้ก็ชอบที่จะเล่นปืนและฝึกฝีมือในการใช้ปืนหกนัดที่ข้างหลังยุ้ง ฉาง
ในไร่อยู่เสมอ จนไวและแม่นขนาดที่พูดกันว่า ลุคเป็นนักเลงปืนที่มีพรสวรรค์ อยากจะให้ลูกปืนวิ่งไปถูกเป้าตรงไหน
ก็แค่ชี้ปากกระบอกปืนไปที่ตรงนั้น ลูกปืนจะวิ่งเข้าเป้าเป๊ะเหมือนตามสั่งไม่เคยพลาด (แน่นอนครับว่าต้องง้างนก
เหนี่ยวไกก่อนด้วย เดี๋ยวจะโม้มากไปหน่อย)
ลุคเป็นคาวบอยเท็กซัสที่ผ่าเหล่าอยู่อย่าง หนึ่งตรงที่เกิดมาตัวเล็กกว่าเขา คาวบอยเท็กซัสปกติจะตัวสูงใหญ่ไม่ต่ำ
กว่าหกฟุต (หรือไม่ต่ำกว่า 182 เซนติเมตร) ทั้งนั้น น้ำหนักตัวโดยทั่วไปเฉียดร้อยกิโลทุกคน ส่วนลุคตัวเล็กมาตั้งแต่
เด็ก จนโตเต็มที่แล้วก็สูงเพียงห้าฟุตครึ่ง (หรือราวๆ 167 เซนติเมตร - ถือว่าเตี้ยกว่าหนุ่มไทยยุคใหม่นี้อีกนะครับ)
และหนักเพียง 140 ปอนด์ (หรือประมาณ 64 กิโล) เท่านั้นเอง ลุคจึงมักจะถูกพวกคาวบอยที่ตัวโตกว่าคอยต้อนเอา
อยู่ เสมอ แต่ความที่ใจนักเลงไม่กลัวใครก็ไม่เคยถอย มีเรื่องเล่าว่า ลุคเริ่มไปโรงเรียนเมื่อตอนอายุเลยเกณฑ์ไปแล้ว
หลายปี (ซึ่งเป็นธรรมดาของเด็กชาวไร่ในสมัยนั้นที่มัวแต่เลี้ยงวัวที่บ้านอยู่) พออายุได้ 13 ก็เอามีดฟันนักเรียนโค่ง
คนหนึ่งเสียเหวอะหวะ เป็นการตอบแทนโทษฐานที่หมอนั่นใช้ความได้เปรียบทางสรีระมาเล่นรังแกข่มขู่ ตัว และด้วย
เหตุนี้ลุคก็เลยต้องออกจากโรงเรียนไปเสียก่อนจะได้เรียนให้ จบ ขณะนั้นเป็นปี 1867
ลุค ช้อร์ท มือปืนจิ๋วแต่เจ็บตัวจริงที่ไม่ใช่นักเขียนนวนิยาย
ไหนๆก็ต้องออกจากโรงเรียนแล้ว ลุคจึงตัดสินใจออกจากบ้านเพื่อออกไปเผชิญโชคในทุ่งกว้างเสียเลย เริ่มด้วยการเป็น
โคบาลรับจ้างต้อนฝูงวัวจากเท็กซัสไปยังแคนซัส รับเงินเดือนๆละ 30 เหรียญ ระหว่างทางเมื่อหยุดพักตามเมืองต่างๆ
ก็มีโอกาสได้เรียนรู้และฝึกหัดการพนันไปจนเจนจัดด้วย พอย่างเข้าปี ค.ศ. 1870 เป็นช่วงที่อาชีพการล่าควายเพื่อแล่
เนื้อถลก หนังไปขายกำลังมาแรงและรายได้ดี ลุคก็เอากับเขาด้วยพักนึง
จากนั้นลุคได้ผันตัวเข้าสู่วงการธุรกิจ หรือจะเรียกว่าเซ็งลี้ก็คงไม่ผิดนัก และดูจะมีหัวในทางนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียว มีไอเดีย
ใหม่ๆล้ำหน้าจนคนอี่นคิดไม่ถึงอยู่เสมอ เรียกได้ว่าเป็นพวกคิดนอกกรอบคนหนึ่ง เริ่มต้นด้วยการเป็นเอเย่นต์เหล้า (แต่
ไม่รู้ว่าพ่วงเบียร์ด้วยหรือเปล่านะครับ) อยู่ที่เมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ (Dodge City) ในแคนซัส ตั้งแต่ช่วงแรกๆสมัยเมืองเพิ่งจะ
เริ่มบูม พอธุรกิจรายได้ดีมีคู่แข่งเข้ามาเยอะ ตลาดเชักจะอิ่มตัว ลุคก็มองหาตลาดและกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ไม่มีใครเคยนึก
ถึง มาก่อน ได้แก่อินเดียนแดงยังไงครับ
เป็นที่รู้กันดีอยู่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียนแดงกับคนผิวขาว ตั้งแต่สงครามกลางเมืองยุติลงในปี ค.ศ. 1865 เป็น
ต้นมาแย่ลงตลอด โดยเฉพาะในแถบเท็กซัสคนขาวถึงกับสอนลูกหลานให้เกลียดพวกอินเดียนกันตั้งแต่ เกิดเลยทีเดียว
(คงคล้ายๆประเทศแถวๆนี้ที่ต่างฝ่ายต่างแข่งกันเขียนประวัติศาสตร์ลงในตำรา เรียน สั่งสอนให้เกลียดประเทศเพื่อน
บ้านกันตั้งแต่เด็กนั่นแหละครับ) ลุคเองถึงจะเป็นชาวเท็กซัสทั้งแท่ง แต่ก็เป็นคนรู้จักให้อภัยไม่ยึดติด สามารถค้าขาย
กับพวกอินเดียนอย่างมั่นใจและสนิทสนม ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ มิใยจะถูกคนนินทาว่าทำตัวไม่เหมาะสม ที่เป็น
คน ขาวแล้วไปคบค้าทำมาหากินกับอินเดียนแดง ก็ไม่แคร์ ถือฉันว่าทำธุรกิจสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตนเองอย่างสุจริต
มาโดยตลอด ไม่ได้ทุจริตคดโกงหรือไปขโมยเหล้าใครมาขายซักกะหน่อย
ขออนุญาตนอก เรื่องนิดหน่อย เพื่อเล่าเกร็ดสนุกๆแถมเกี่ยวกับเหล้าและอินเดียนแดง (จากมุมมองของคนขาว) สัก
นิดนึงนะครับ อันว่าเหล้าที่ขายให้พวกอินเดียนนั้น ที่จริงก็คือวิ้สกี้นั่นเอง (หมายถึงอเมริกันวิสกี้น่ะครับ ไม่ใช่สก๊อตช์
เดี๋ยวท่านผู้อ่านที่เป็นคอวิสกี้ตัวจริงจะทักท้วงเอา ส่วนจะแตกต่างกันแค่ไหนอย่างไร รบกวนท่านผู้อ่านที่ติดใจสอบ
ถามเอาเอง จากท่านผู้รู้ทั้งหลายก็แล้วกัน ขืนให้ผมอธิบายตรงนี้เกรงว่าเดี๋ยวจะนอกเรื่องมากไป จนกลายเป็นเรื่อง
คาวบอยกับสุราคู่ใจแทน) วิสกี้เมื่อร้อยกว่าปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นิยมวางขายตามหัวเมือง คงพอคาดเดากันได้
นะครับว่า ต้องเแรงชนิดบาดคอซิบๆทั้งนั้น ไม่มีคำว่าสุขุมนุ่มลึกอะไรทั้งสิ้น ประเภทบ่มหมักในถังไม้โอ๊คจนกว่าจะได้
ที่เพราะเราไม่รีบร้อน เอาแต่นั่งเล่นหมากฮอสทั้งวัน อย่างของตาแจ๊คแดเนี่ยลส์ที่ชอบโฆษณากันเมื่อหลายปีก่อนนั่น
คงไม่มี หรอก เพราะฉะนั้นการจุดไฟติดจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก คนขายจะต้องพิสูจน์ว่า วิสกี้ที่ตัวนำมาขายนั้นมี
แอลกอฮอล์อยู่จริง ด้วยการรินใส่ถ้วยนิดนึง แล้วสาดเข้ากองไฟจนลุกพรึ่บให้เห็น ถ้าไม่ทำอย่างนี้พวกอินเดียนก็จะไม่
ยอมซื้อ เพราะเกรงว่าอาจถูกหลอก และด้วยเหตุนี้เองอินเดียนแดงจึงพากันเรียกวิสกี้ว่า Firewater หรือน้ำที่ลุกเป็นไฟได้
ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1876-1878 พวกอินเดียนแดงเผ่าซูส์ (Sioux) และไชย์แอน (Cheyenne) ก่อความไม่สงบขึ้น
รัฐบาลสหรัฐฯต้องส่งกองทัพเข้าปราบปรามเต็มรูปแบบ หลังจากที่นายพลคัสเตอร์กับทหารม้ากองพันที่ 7 อีก 263
คนภายใต้บังคับ บัญชาของตนถูกพวกอินเดียนเผ่าซูส์ภายใต้การนำของหัวหน้าเผ่าที่ชื่อว่าวัว กำลังนั่ง (Sitting Bull)
รุมล้อมกรอบจนเละเทะไม่เหลือรอดชีวิตกลับมาสักคนเดียว ในสงครามที่ ลิตเติ้ล บิ๊ก ฮอร์น (Battle of the Little Big
Horn - ลิตเติ้ล บิ๊ก ฮอร์น เป็นชื่อแม่น้ำที่อยู่ใกล้กับสมรภูมิที่เกิดเหตุ จะแปลชื่อเป็นไทยให้ใกล้เคียงที่สุดก็คงต้องเรียก
ว่า แม่น้ำเขาใหญ่สายเล็ก กระมังครับ) ลุคไปสมัครเป็นแมวมองให้กับกองหน้าของฝ่ายทหาร และทำหน้าที่ขี่ม้านำ
สารให้กับแม่ทัพใหญ่ด้วย อาศัยประสบการณ์สมัยที่เคยค้าขาย ทำให้รู้จักพื้นที่และเส้นทางในเขตของอินเดียนแดง
เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบดาโกต้า (Dakota) และเนบร๊าสก้า (Nebraska)
ตอนแรกๆ ลุคก็ทำงานได้ดี เป็นที่ชื่นชอบไว้วางใจของแม่ทัพมาก และรายได้จากการทำงานให้กับทหารก็ถือได้ว่า
ค่อนข้างสูง แต่เนื่องจากความที่เลือดนักธุรกิจดูจะเข้มข้นไม่มีจืดจาง ลุคจึงไม่พลาดโอกาสที่จะหาแสวงกำไรเพิ่ม
ด้วยการใช้เวลาระหว่างทำหน้าที่สอดแนมและเดินทาง แอบติดต่อค้าขายกับพวกอินเดียน ทำไซ้ด์ไลน์เม้คมันนี่ไป
พร้อมๆกันด้วย อาศัยว่าตัวเคยทั้งอยู่ในพื้นที่มาก่อน และทั้งเป็นที่รู้จักกว้างขวางในหมู่พวกอินเดียนมาตั้งนานแล้ว
ก่อนพวกทหารจะเข้ามาเสียอีก เลยมีแต่ได้กับได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง อย่างงี้จะเรียกว่าผันวิกฤตให้เป็นโอกาสคงจะไม่ตรง
ประเด็นนัก สงสัยคงต้องเรียกว่าผันทุกโอกาสให้เป็นกำไรสูงสุดเสียละมากกว่า
ไม่นานนักพวกทหารก็จับลุคได้คาหนังคาเขา ที่บริเวณไม่ไกลจากค่ายโรบินสัน (Camp Robinson) ทางตะวันตก
เฉียงเหนือ ของเนบร๊าสก้า ขณะที่ลุคกำลังติดพันเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนสินค้ากับพวกอินเดียนว่า จะเอาเหล้ากี่ขวด
แลกหนังควาย 1 ผืนดี หลังจากสอบสวนได้ความจริงทั้งหมด ทหารก็ตัดสินว่าลุคมีความผิดตามกฎหมาย โดยไม่
สนใจว่าจะเป็นความบกพร่อง โดยสุจริตหรือไม่ แล้วก็ควบคุมตัวลุคขึ้นรถไฟเพื่อจะนำไปติดคุกที่เมืองโอมาฮ่า (Omaha)
แผนที่ดินแดนตะวันตกของสหรัฐอเมริกาเมื่อกลางทศวรรษ ของ ค.ศ.1870 แสดงให้เห็นอาณาเขต
พื้นที่สงวนของอินเดียนแดงที่กระจัด กระจายอยู่ทั่วไปในหลายๆรัฐ (ตรงที่ระบายไว้เป็นสีเทา) จุดที่
ลุค ช้อร์ท ค้าขายกับพวกอินเดียนจนถูกจับในที่สุดอยู่ในพื้นที่สงวนของเผ่าซูส์ ซึ่งกินบริเวณคาบเกี่ยว
ระหว่างรัฐเนบร๊าสก้าและดาโกต้า
ลุคใช้ฝีไม้ลายมือของตัวหลบรอดจากการควบคุมของทหาร โดดรถไฟหนีไปได้ แล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองเดนเว่อร์ใน
โคโลราโด ถึงตอนนี้ลุคคงจะรู้สึกว่า การทำธุรกิจค้าขายอย่างที่ผ่านมานั้น ถึงแม้จะรายได้ดี แต่ก็เหนื่อยและอุปสรรค
แยะ กว่าจะได้สตังค์ทีนึงต้องลงทุนลงแรงหลายอย่าง ไหนจะต้องติดต่อหาแหล่งสินค้า เจรจากับลูกค้า ควบคุมดูแล
การขนส่ง หลบหลีกการปล้นหรือรีดไถ ตรวจสินค้า ยังไม่นับที่ต้องระวังของแตกหักเสียหาย แถมทำไปแล้วถึงจะไม่ได้
ไปหลอกลวงหรือคดโกงใครมา ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับของภาครัฐและประชาชนทั่วไปอยู่ดี คิดได้อย่างนี้แล้วก็ต้องมอง
หาอาชีพใหม่ที่ไม่ต้องเหนื่อยแรงเปลืองตัว เหมือนเดิมอีก ความจริงถ้ายุคนั้นมีตลาดหุ้นอย่างที่บูมนักบูมหนาในบ้าน
เราเมื่อไม่กี่ปีก่อน ลุคก็คงจะหันไปเล่นหุ้นแทนแล้ว แต่เนื่องจากไม่มี ลุคก็เลยต้องเลือกทางออกที่ใกล้เคียงที่สุด นั่นก็
คือ การพนัน ซึ่งสมัยนั้นนอกจากจะไม่ผิดกฎหมายแล้ว ยังเป็นที่ยอมรับกันแพร่หลายว่าเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติและมี
หน้ามีตาอย่างหนึ่งเสียด้วย
ลุคตระเวณเล่น การพนันอยู่ที่เดนเว่อร์ และตามเมืองต่างๆในแถบโคโลราโดอยู่หลายปี ช่วงนี้ได้สตังค์เยอะแยะ แต่
ก็ไม่ได้สบายไปหมดเสียทีเดียวอย่างที่คิด เนื่องจากคู่เล่นประเภทแพ้ไม่เป็นและชอบใช้ความรุนแรง ยังมีอยู่ทั่วไป
โดย เฉพาะอย่างยิ่งตามเมืองเล็กๆที่กฎหมายยังยื่นมือไปไม่ถึง แถมความที่ตัวเล็กกว่าคนอื่นเขา ก็เลยไม่ค่อยจะได้รับ
ความเกรงใจจากพวกอันธพาลตัวโตนัก ลุคก็เลยได้กลับมาใช้พรสวรรค์ในเรื่องปืนผาหน้าไม้ที่ตัวถนัดมาตั้งแต่วัย
เยาว์ อีกครั้ง ปืนคู่มือของลุคก็คือ โค้ลท์ ซิงเกิ้ล แอ๊คชั่น อาร์มี่ ขนาด .45 ลำกล้องตัดสั้น อย่างที่เราๆท่านๆผู้เป็นแฟน
ปืนคาวบอยทั้งหลายมักได้ยินกันบ่อยๆนั่นแหละครับ ว่า ขึ้นชื่อว่าคาวบอยแล้ว ตัวเล็กตัวใหญ่ไม่สำคัญ หากมีปืน
โค้ลท์อยู่ ในมือแล้วละ ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ไม่มีคำว่าได้เปรียบเสียเปรียบอีกต่อไป คนที่กระดิกนิ้วไวกว่าและ
แม่นกว่าเท่านั้นเป็นผู้ชนะ และคนๆนั้นก็แน่นอนครับว่าต้องเป็น ลุค ช้อร์ท เสมอ
ต้นปี ค.ศ. 1881 ลุคได้รับการติดต่อจาก วายแอ็ท เอิ๊ร็ป ซึ่งกำลังลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองทูมบ์สโตนในอริโซน่า บอก
ว่ามาช่วยงานที่โอเรียนทัลซาลูน (Oriental Saloon) กันหน่อย วายแอ็ทรู้จักลุคมาตั้งแต่สมัยอยู่ที่เมือง ด๊อดจ์ ซิตี้
และ คงรู้ฝีมือรวมทั้งนิสัยใจคออยู่พอสมควร จึงได้ชักชวนให้มาร่วมงานด้วย เพราะก่อนหน้าที่จะติดต่อลุค วายแอ็ท
ก็ได้ชวน แบ๊ท ม้าสเต้อร์สัน เพื่อนคู่หูรู้ใจอีกคนหนึ่งของตัวให้ลงมาช่วยเหมือนกัน
ภาพถ่ายเมืองทูมบ์สโตน เมื่อปี ค.ศ.1881 ช่วงที่ ลุค ช้อร์ท ไปช่วยงาน วายแอ็ท เอิ๊ร์ป
เป็นเจ้ามือไพ่ฟาโรอยู่ที่ โอเรียนตัล ซาลูน
ลุคตอบรับคำชวนของวายแอ็ททันที เดินทางมาที่ทูมบ์สโตน รับหน้าที่เป็นเจ้ามือไพ่ฟาโรอยู่ที่โอเรียนทัลซาลูน คืน
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ระหว่างลุคกำลังทำหน้าที่เจ้ามืออยู่ ขาไพ่คนหนึ่งชื่อ ชาร์ลี สตอร์มส์ (Charlie Storms) เกิดอาการ
หัวเสียไม่ได้อย่างใจขึ้นมายังไงก็ไม่ทราบ ลุกขึ้นมาเอะอะอาละวาด ลุคพยายามเกลี้ยกล่อมให้สงบลง แต่ไม่สำเร็จ
กลับ ยิ่งแผลงฤทธิ์หนักขึ้นไปอีก
ชาร์ลี สตอร์มส์ เป็นนักพนันที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดคนหนึ่งในดินแดนตะวันตก และมือปืนฝีมือดีอยู่ในระดับ
แนวหน้าคนหนึ่ง เคยเอาชนะคู่ต่อสู้ในการดวลมาแล้วหลายครั้ง ชาร์ลีไม่เคยรู้จักลุค มิหนำซ้ำเห็นลุคเป็นแค่เจ้ามือ
ตัวเล็กๆที่บังอาจเหิมเกริมทำเป็นมาเจ้ากี้เจ้าการกำกับดูแล ไม่รู้ซะแล้วว่าใครเป็นใคร ก็เลยเบ่งใส่ด้วยการใช้ความ
ได้เปรียบทางด้าน สรีระ ตบหน้าสั่งสอนลุคไปเสียหนึ่งที เชื่อว่าพอโดนยังงี้เข้าสักที ไอ้เจ้ามือตัว