ด๊อค ฮอลลิเดย์ มือปืนประชดชิวิต

"เป็น เซียนพนันที่หาตัวจับยากที่สุด และเป็นนักเลงปืนหกนัดที่บ้าบิ่นที่สุด ไวที่สุด แล้วก็อันตรายที่สุดที่เคยเห็นมา"
วายแอ็ท เอิ๊ร์ป เป็นผู้กล่าวข้อความนี้เมื่อพูดถึง ด๊อค ฮอลลิเดย์

"ลักษณะเด่นที่สุดของ ด๊อค ฮอลลิเดย์ ก็คือ ความกล้าหาญไม่เคยเกรงกลัวอะไรเลย และความจงรักภักดีที่มีต่อต่อ
วาย แอ็ท เอิ๊ร์ป อย่างเสมอต้นเสมอปลาย" อันนี้เป็นคำกล่าวของ แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน

"ไอ้ปอดเน่าตัวแสบ" เป็นคำที่ ไอ๊ค์ แคลนตัน ใช้เรียก ด๊อค ฮอลลิเดย์ ก่อนที่จะพาน้องชายและพรรคพวกอีก 2 คน
ไป ตายในการดวลปืนกับพี่น้องเอิ๊ร์ปและ ด๊อค ฮอลลิเดย์ ที่ โอเค คระราล

"ฮอลลิเดย์เป็นผู้ที่ได้รับการกล่าวขานกันว่าเป็นนักสู้ เคยเก็บกวาดพวกโจรและเหล่าร้ายลงหลุมไปแล้วหลายคน"
ประโยคนี้ตัดตอนมา จากข่าวในหนังสือพิมพ์ เดอะ เดนเว่อร์ รีพับลิกัน ฉบับประจำวันที่ 22 มีนาคม 1882

"ความที่รู้ตัวว่ากำลังจะตาย ก็เลยทำอะไรหลายอย่างที่หากเป็นปกติแล้วคงไม่กล้าทำ" เป็นข้อสังเกตของนักประวัติ
ศาสตร์ชาวอริโซน่า นามว่า เบ็น ที. เทรย์วิค เขียนไว้ในหนังสือประวัติชีวิตของ ด๊อค ฮอลลิเดย์

ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านที่ติดตาม กันส์ เวิลด์ มาโดยตลอดตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเริ่มเขียนเรื่องคาวบอยกับปืนคู่ใจนี้ โดย
เฉพาะอย่างยิ่งท่านที่เป็นคอลูกทุ่งตะวันตกทั้งหลายคงจะมีน้อยคนที่ไม่ รู้จัก หรือไม่เคยได้ยินชื่อ ด๊อค ฮอลลิเดย์
มาก่อน ทั้งนี้เนื่องจากหมอเป็นคาวบอยและมือปืนในระดับที่เรียกได้ว่าเป็นคนดังในวง การคนหนึ่งตั้งแต่ในสมัยนั้น
มาจนถึงสมัยนี้ คำกล่าวถึงจากใครๆหลายคนตามตัวอย่างข้างต้นคงเป็นเครื่องรับประกันได้เป็น อย่างดี นอกจากนั้น
แล้วหมอยังมีทั้งที่มาและแง่มุมของ ชีวิตที่ออกจะแตกต่างไปจากเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันทั้งหมด จะจัดว่าเป็นพระเอก
ก็ไม่ใช่จะเป็นผู้ร้ายก็ไม่เชิง ถ้าจะเปรียบเทียบให้ใกล้เคียงที่สุดก็ต้องบอกว่าออกจะเป็นประเภทพวกตัวแสบ ชนิดกัด
ไม่เลือกและไม่เลิก แบบที่รัฐบาลฝ่ายเทพต้องมีเอาไว้ใช้ต่อกรกับพวกพรรคมาร ที่บางทีก็เผลอปล่อยให้กัดเพลินไป
หน่อยจนทำท่าจะลากรัฐบาลพังตามไปกลาย เป็นมารไปด้วย จะใช่หรือไม่ใช่อย่างไร ขอเชิญพิจารณาดูจากเรื่องราว
ทั้งหมดเกี่ยวกับตัวหมอ เท่าที่ค้นคว้าหามาเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้ได้นะครับ

คงไม่ผิดที่ใช้ คำว่าหมอเป็นสรรพนามแทนตัวด๊อค (ไม่ใช่ ด๊อก นะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นหมอลากข้างไป)) เพราะ
หากจะเรียกชื่อให้เต็มยศตามที่ใช้กันในสมัยนั้น ก็จะต้องใช้ว่า นายแพทย์ จอห์น เฮนรี่ ฮอลลิเดย์ ทันตแพทย์ศาสตร์
บัณฑิต (John Henry Holliday, D.D.S.) เริ่มต้นก็คงพอจะเห็นแล้วนะครับว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับวงการคาวบอยหรือ
มือปืนสักเท่าไรเลย เป็นหมอก็น่าจะอยู่ส่วนหมอ รักษาคนไข้ไปในฐานะที่เป็นผู้มีจิตใจเมตตามุ่งมั่นที่จะบำบัดโรค
ภัยไข้เจ็บให้กับเพื่อนมนุษย์ เรื่องอะไรถึงจะไปหาเรื่องตีรันฟันแทงหรือยิงกับคนอื่นเขา อันนี้ก็ตอบยากนะครับ เพราะ
ร้อยกว่าปีให้หลัง จากยุคคาวบอยครองบ้านจนมาเป็นดาวเทียมครองเมือง เปลี่ยนจากพกปืนหกนัดมาเป็นพกมือถือ
ติดเอวอย่างทุกวันนี้ เราก็ยังมีโอกาสได้เห็นว่ามีหมอประเภทที่อยู่ดีๆก็ลุกขึ้นมาแทงฟันหั่นคน อื่นให้เป็นเรื่องเป็นราว
ฮือฮาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

จอห์น เฮนรี่ หรือที่ใครๆต่างพากันเรียกว่า ด๊อค ฮอลลิเดย์ เกิดที่เมือง กริฟฟิน (Griffin) ในรัฐจอร์เจีย เมื่อวันที่14
สิงหาคม 1851 เป็นบุตรคนโตของ เฮนรี่ เบอร์โรส์ (Henry Burroughs) และ อลิซ เจน (Alice Jane) ฮอลลิเดย์ มีพี่
สาว หนึ่งคนแต่เสียชีวิตไปเสียตั้งแต่อายุ 6 เดือน พ่อของด๊อคเป็นพ่อค้าขายยาที่สร้างฐานะขึ้นมาจนร่ำรวย ภายหลัง
ได้กลายเป็นนักกฎหมาย และเป็นคหบดีคนสำคัญคนหนึ่ง ได้เข้าร่วมรบติดยศเป็นนายพันตรีอยู่ในกองทัพฝ่ายใต้
เมื่อฝ่ายใต้ ประกาศศึกกับฝ่ายเหนือเป็นสงครามกลางเมืองเมื่อปี 1861 และปลดประจำการออกมาตั้งแต่ปี 1862
ขณะที่สงครามยังไม่เลิก

จากนั้น ทั้งครอบครัวก็ย้ายบ้านไปอยู่ที่เมือง วาลโด๊สต้า (Valdosta) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆทางใต้ของรัฐจอร์เจีย ที่นี่ผู้พัน
หิน ขอโทษไม่ใช่ครับ ผู้พันเฮนรี่ พ่อของด๊อคได้กลายเป็นผู้กว้างขวางคนหนึ่งของเมือง โดยได้รับเลือกตั้งเป็นนายก
เทศมนตรี เป็นสมาชิกกิติมศักดิ์ของสมาคมช่างก่อสร้างตึก เลขานุการสมาคมเกษตรกร เลขานุการสมาคมทหารผ่าน
ศึก แถมเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นอีกด้วย การที่มีพ่อเป็นบุคคลสำคัญระดับแนวหน้า ทำให้ด๊อคได้เข้า
เรียนชั้นมัธยมที่สถาบันวาลโด๊สต้า (Valdosta Institute) อันเป็นโรงเรียนชั้นนำของเมืองนี้ ด๊อคเป็นเด็กเรียนดี และ
แตกฉานในภาษาต่างประเทศทั้งกรีก ลาติน และฝรั่งเศส แถมยังชอบเรียนวิชาภาษาอังกฤษชั้นสูง นอกจากนี้ยังมี
หัวทางดนตรี สามารถเล่นเปียโนได้อย่างไพเราะด้วย

พอสงครามเลิกได้ไม่นานในปี 1865 แม่ของด๊อคก็เสียชีวิตลง หลังจากนั้นไม่ถึงสามเดือน พ่อของด๊อคก็แต่งงาน
ใหม่กับผู้หญิงที่อายุแก่กว่าด๊อคเพียง 9 ปีเท่านั้น กลายเป็นปัญหาขึ้นมาในบ้านทันที เนื่องจากด๊อคเป็นคนที่รักแม่
มาก และขณะนั้นกำลังอยู่ในวัยรุ่น เลยทำใจยอมรับไม่ได้ เกิดความรู้สึกต่อต้านพ่อของตัวขึ้นมาและเริ่มมีปากเสียง
กันบ่อยครั้ง ส่วนนอกบ้านนั้น เนื่องจากฝ่ายใต้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ถูกฝ่ายเหนือเข้าปกครอง คนใต้ก็เกิดความรู้สึกชิงชัง
และต่อต้านผู้ปกครองฝ่ายเหนือเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ด๊อคจึงเก็บกดสองต่อ และถือโอกาสระบายความเก็บกดนี้ด้วย
การสร้างวีรกรรมไว้เสียสองครั้ง (เท่าที่มีหลักฐานนะครับ จริงๆแล้วอาจมากกว่านี้ก็ได้) ครั้งแรกด้วยการร่วมมือกับ
ประชาชนผู้เก็บกดคนอื่นๆวางระเบิดตึกที่ทำการศาล อีกครั้งหนึ่งด้วยการคว้าปืนยิงลูกซองเข้าใส่กลุ่มเด็กวัยรุ่นนิโกร
4 คน ที่ถือวิสาสะ (หลังจากถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากทาสแล้ว) เข้ามาเล่นน้ำในสระน้ำที่บ้านโดยไม่ได้ขออนุญาต
และไม่ได้รับเชิญ จนเตลิดเปิดเปิงหนีกันไปหมด

หลังจากจบมัธยม ด๊อคสมัครเข้าเรียนที่วิทยาลัยทันตกรรมแห่งรัฐเพนซิลวาเนีย (Pennsylvania College of Dental
 Surgery) ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย หลังจากเรียนจบวิชาบังคับทั้งหมด ทำหน้าที่แพทย์ฝึกหัด และทำวิทยานิพนธ์เรื่อง
"โรคเกี่ยวกับฟัน" (Disease of the Teeth) แล้ว ก็สำเร็จออกมาเป็นทันตแพทย์ ได้รับปริญญา Doctor of Dental
Surgery (D.D.S.) เมื่อวันที่1 มีนาคม 1872

 ในช่วงแห่งความสำเร็จเบื้องต้นของชีวิตนี้ ด๊อคหายเก็บกดชั่วคราว และเดินทางกลับมาบ้านเกิดที่จอร์เจียเพื่อเปิด
คลินิคทันตกรรมขึ้นที่เมืองแอ๊ตแลนต้า ร่วมกับหมอฟันอีกคนหนึ่งชื่อ อาร์เธ่อร์ ซี. ฟอร์ด (Arthur C. Ford) สมัยนั้น
หมอฟันยังมีจำนวนไม่มากนัก อาชีพนี้จึงรายได้ดีและมีหน้ามีตาทีเดียว ว่ากันว่าด๊อคในขณะนั้นเป็นทั้งทันตแพทย์
หนุ่มและ "สุภาพบุรุษชาวใต้" (A Southern Gentleman) ที่รูปหล่อคนหนึ่งทีเดียวครับ มีผู้บรรยายลักษณะของด๊อค
ไว้ว่า มีผมสีทอง ดวงตาสีฟ้า จมูกโด่งได้สัดส่วน ริมฝีปากได้รูปดูเร้าอารมณ์ ไว้หนวดงามทรงเขี้ยวช้างน้ำ (พอถึงตรง
นี้หมดอารมณ์เลยนะครับ) ส่วนรูปร่างนั้นไม่ถึงกับใหญ่โต สูงห้าฟุตสิบนิ้ว สะโอดสะองไม่มีพุง และชอบแต่งตัวด้วย
เสื้อผ้าชั้นดี

     

ด๊อค ฮอลลิเดย์ ในวัยหนุ่มแน่น เป็น "สุภาพบุรุษชาวใต้" ที่จัดว่าหล่อ
เหลาเอาการคน หนึ่ง

 

ต่อมาจะเป็นเพราะกรรมเก่าหรืออะไรก็แล้วแต่ อยู่ดีๆด๊อคก็กลับมีสุขภาพแย่ลงและเริ่มไอมากขึ้นเรื่อยๆ หมอที่มา
รักษา ด๊อคพอตรวจอาการดูอย่างละเอียดแล้วก็แจ้งกับด๊อคว่า เป็นอาการของวัณโรคในขั้นสุดท้าย นอกจากไม่มีทาง
หายแล้ว คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินอีกสองสามเดือนเท่านั้น แต่ถ้าลองย้ายไปอยู่ในที่ๆมีมีอากาศแห้งกว่าที่นี่ละก็
อาจจะอยู่ได้นาน ขึ้นอีกนิด

ด๊อคจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำแนะนำของหมอ ออกเดินทางขึ้นรถไฟไปทางทิศตะวันตกจนสุดทางรถไฟ
ในขณะนั้น ถึงเมืองดาลลัส รัฐเท็กซัส เมื่อเดือนตุลาคมปี 1873 ที่นี่ด๊อคพยายามประกอบอาชีพตามที่ได้ร่ำเรียนมา
อีกครั้ง แต่ก็เป็นปัญหาไปไม่รอดเสียแล้ว เพราะไม่สามารถกลั้นไอระหว่างที่กำลังใช้สมาธิในการทำฟันได้ (นึกภาพดู
นะ ครับว่ากำลังกรอฟันหรือดึงคีมจะถอนฟันอยู่ดีๆ หมอดันเกิดไอโขลกๆไม่ยอมหยุดขึ้นมาเสียเฉยๆ เผลอๆไม่รู้ไอใส่
หน้าคนไข้เข้าไปด้วยหรือเปล่า) คนไข้ก็เลยค่อยๆหายไปทีละคนสองคนจนไม่มีใครกล้ามาทำฟันด้วยอีก

เมื่อ เคยรุ่งอยู่ดีๆ กลับทำท่าว่าจะหมดอนาคตเอาดื้อๆอย่างคาดไม่ถึง เข้าทำนอง "ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น ไม่แล
เห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา" เช่นนี้ อาการเก็บกดที่หายไปนานก็กลับมาใหม่ ด๊อคเริ่มหันเข้าหาสุราเป็นเครื่องปลอบใจ และต้อง
หาทางประกอบอาชีพอื่นเลี้ยงตัวไปวันต่อวันแทน ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะไม่รู้ตัวว่าจะอยู่ไปได้อีกนานสักแค่ไหน อาชีพ
ที่เหมาะที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นนักพนัน ความที่เป็นคนฉลาดหัวดีมาก่อนทำให้ด๊อคเรียนรู้ได้เร็ว และกลายเป็นเซียน
พนัน ชนิดหาตัวจับยากในเวลาไม่นานนัก ไม่ว่าจะเป็นฟาโรหรือโป๊กเก้อร์

การใช้ชีวิตเป็นนักพนันอยู่ในดินแดนเถื่อนอย่างเท็กซัสสมัยนั้นไม่ใช่ของ ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเล่นชนะพวก
คาวบอยประเภทไพ่แพ้คนไม่แพ้ เสียพนันแล้วเกิดเสียดายตังค์ขึ้นมาอยากจะได้คืนด้วยวิธีใช้กำลัง มาตรฐานคาวบอย
เท็กซัสนั้นสูงกว่า 6 ฟุตทั้งสิ้น ด๊อคซึ่งสูงเพียง 5 ฟุต 10 นิ้ว แถมเป็นวัณโรคอีกย่อมไม่มีทางจะสู้แรงได้ ดังนั้นเพื่อให้
แน่ใจว่าตนสามารถต่อกรกับพวกนี้ และถือโอกาสระบายความเก็บกดไปด้วยพร้อมๆกัน ด๊อคจึงต้องอาศัยเครื่องกำจัด
ความ เหลื่อมล้ำของตุลาการโค้ลท์ขนาด .45 มาเป็นอาวุธคู่กาย ฝึกฝีมือการใช้ปืนหกนัดนี้ให้แม่นยำและว่องไวอยู่เสมอ
 และเพื่อความไม่ประมาท ด๊อคก็ไม่ลืมที่จะพกมีดไว้เป็นแบ๊คอัพอีกเล่มหนึ่งด้วย

ด๊อคได้โอกาส ปลดปล่อยกับพวกคาวบอยที่ดาลลัสนี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 มกราคม 1875 หลังปีใหม่เพียงวันเดียว ด้วย
การทะเลาะแล้วยิงกับคนเฝ้าซาลูนแห่งหนึ่ง หนังสือพิมพ์ ดาลลัส วี้คลี่ย์ เฮราลด์ ลงข่าวแบบไม่ซีเรียสว่า สองคนนี้
ช่วยบรรเทาความน่าเบื่อหน่ายของเสียงพลุฉลองวันปีใหม่ ด้วยการชักปืนยิงเข้าใส่กันหลายนัด แต่ต่างฝ่ายต่างยิงไม่
ถูกใคร แล้วก็ถูกจับไปทั้งคู่ในข้อหาก่อความไม่สงบ ข่าวนี้กลายเป็นเรื่องตลกขบขันสำหรับชาวบ้านทั่วไป นัยว่าถ้ายิง
กันแล้ว ไม่โดนใครตายเลยซักข้างนึงนั้น คงเป็นประเภทพวกมือใหม่หัดขับที่อยากดังเสียมากกว่า

หลังจากดวลปืนครั้งแรกไปแล้วดูจะยังไม่ทำให้ได้เครดิตดีนัก ด๊อคก็ฝึกปรือและพัฒนาศิลปทั้งในการพกพาและใช
้อาวุธเสียใหม่ให้ก้าวหน้ากว่าใครๆในยุคนั้นขึ้นไปอีก อาวุธใหม่ที่ด๊อคนำมาเสริมเขี้ยวเล็บตัวเองครั้งนี้ก็คือ ปืนลูก
ซองแฝดขนาด 10 ยี่ห้อเมทีออร์ (Meteor) ของเบลเยี่ยม นำมาตัดลำกล้องให้สั้นลงเหลือแค่ 12 นิ้ว ตัดพานท้ายออก
ให้ เหลือแต่คอสำหรับมือจับ เชื่อมห่วงทองเหลืองเล็กๆสำหรับร้อยสายสะพายติดไว้บนสะพานลำกล้อง แล้วห้อยติด
ตัวไว้ในระดับเอวโดยใช้สายสะพายคล้องไว้กับไหล่ขวา ในลักษณะที่เมื่อสวมเสื้อโค้ตยาวคลุมไว้ ตัวเสื้อด้านหน้าจะ
กดปากกระบอก ปืนชี้ลงพื้น แต่เมื่อแง้มเปิดเสื้อด้านขวาออกเมื่อไร ปืนก็จะบาล้านซ์ตัวเองยกปากกระบอกขึ้น และ
โผล่ออกมาโดยอัตโนมัติในระดับที่พร้อม จะ "ทำธุระ" กับคู่ต่อสู้ได้ทันที อาวุธเดิมที่เคยใช้อยู่แต่ก่อนนั้นก็ไม่ได้ทิ้งไป
เพียงแค่ย้ายมีดขึ้นไปพกไว้ที่ใต้รักแร้ขวา ส่วนปืนโค้ลท์ซิงเกิ้ลแอ๊คชั่นอาร์มี่ .45 นั้นพกไว้ในซองแบบสะพายไหล่ที่
หน้า อกด้านซ้ายเหมือนเดิม

         

ปืนลูกซองแฝด เมทีออร์ ขนาด 10 ของด๊อค ถูกเจ้าของนำไปตัดหัวตัดท้ายจนเหลือเท่าที่เห็น
แล้วเชื่อมห่วงทอง เหลืองเล็กๆไว้ข้างบนไว้ใช้เกี่ยวแขวนสายสะพายสำหรับคล้องกับไหล่   

 

ถือได้ว่าด๊อคเป็นต้นแบบของไอ้ปืนโตกับเขา เหมือนกันนะครับ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าด๊อคไม่ได้ออกความคิดในการ
เอาปืน ลูกซองมาตัดหัวท้ายสะพายไหล่แบบนี้เองทั้งหมด แต่ศึกษาดัดแปลงมาจากวิธีการของมือปืนคนหนึ่งชื่อ
พอร์เต้อร์ ร็อคเวลล์ (Porter Rockwell) องค์รักษ์คนสำคัญคนหนึ่งของ บริกแฮม ยังก์ (Brigham Young) ศาสดา
มอร์ มอนผู้บุกเบิกและสถาปนารัฐยูท่าห์ พอร์เตอร์ ร็อคเวลล์เป็นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือกันมาก่อนว่านำปืนลูกซองแฝด
ขนาด 10 นี้มาตัดใช้เป็นปืนพกประจำตัว ได้รับการเรียกขานกันทั่วไปว่า ปืนใหญ่ถนน (Street Howitzer)

เมื่อ สักสองสามเดือนก่อนนี้ ผมได้ดูหนังคาวบอยทางช่องเคเบิ้ลเรื่องหนึ่งชื่อ The Avenging Angles ซึ่งเป็นเรื่อง
เกี่ยวกับองครักษ์มอร์มอนคนนี้ด้วย ครับ มีพระเอกรุ่นเก๋า เจมส์ โคเบอร์น เล่นเป็นตัว พอร์เตอร์ ร็อคเวลล์ นี้แหละ
แล้วก็ปู่ ชาร์ลตั้น เฮ้สตั้น เล่นเป็น บริกแฮม ยังก์ หนังเรื่องนี้ดูสนุกพอสมควร และต่างจากหนังคาวบอยฮอลลีวู้ด
เดิมๆตรงที่มีการโชว์ปืนดังๆในยุคนั้นให้ดูอีกหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น โค้ลท์ พ็อคเก็ต ดรากูน, สมิธ แอนด์ เว้สสัน รุ่น
หมายเลข 3 รวมทั้งลูกซองแฝดสไตล์ตัดสั้นกระบอกเก่งที่ว่านี้ด้วย อีกไม่นานก็คงวนกลับมาฉายอีก ขออนุญาต
แนะนำให้ลองติดตามดูหากยังไม่ได้ชมกัน นะครับ

หลังจากติดตั้งอาวุธใหม่ได้ไม่นาน ด๊อคก็ได้โอกาสวิวาทกับพวกคาวบอยที่ดาลลัสอีกเป็นครั้งที่สองในวงไพ่ คู่ปรับ
หนนี้เป็นเจ้าของปศุสัตว์ใหญ่ มีบารมีและสมัครพรรคพวกมากมาย  ด๊อคปล่อยกระสุนลูกซองทั้ง 2 นัดออกจากใต้
โต๊ะ เข้าใส่คาวบอยผู้กว้างขวางรายนี้หงายเก๋งไป หนนี้ไม่มีใครเห็นด๊อคเป็นตัวตลกอีก แถมไม่พอใจที่ด๊อคเล่นงาน
คนสำคัญของเมืองจนถึงตาย ด๊อคก็เลยต้องระเห็จออกจากดาลลัสเสียก่อนที่จะถูกจับแขวนคอ

ย่าง เข้าปี 1876 ด๊อคไปรับงานเป็นเจ้ามือไพ่ฟาโรอยู่ในซาลูนแห่งหนึ่งที่เมืองแจ๊คสโบโร (Jacksboro) ซึ่งเป็นตลาด
ค้าขายปศุสัตว์แห่งหนึ่งในหลายๆแห่งของเท็กซัสที่ค่อนข้างคึกคัก ตั้งอยู่ไม่ใกลจากค่ายทหารชื่อ ฟอร์ท ริชาร์ดสัน
(Fort Richardson) ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ด๊อคก็ได้วาดลวดลายในการดวลไปอีกสามครั้ง ส่งพวกคาวบอยลงหลุม
ไปเสียอีกสามรายโดยไม่มีใครสนใจเอาเรื่องเอาราว พอถึงหน้าร้อนปีเดียวกัน ด๊อคเกิดย่ามใจในฝีมือไปหน่อยดัน
ยิงทหารตายไปคนนึง หนนี้ปรากฏว่าทั้งฝ่ายทหาร, ยู.เอส. มาร์แชล, เท็กซัส เรนเจ้อร์, ตำรวจท้องถิ่น รวมทั้งชาว
บ้านที่อยากได้เงินรางวัลค่าหัว ต่างแห่กันมาไล่ตามจับตัวด๊อคเป็นการใหญ่

ด๊อคจึงต้องเตลิดต่อไปอีก หนนี้ร่วม 800 ไมล์มุ่งสู่เมืองเดนเว่อร์ในรัฐโคโลราโด ตามเส้นทางจากเท็กซัสสู่โคโลราโด
ที่ต้องผ่านเมืองต่างๆหลายเมืองนั้น ด็อกไม่ละเลยที่จะมีเรื่องกับชาวบ้านเขาไปตลอด กว่าจะถึงเดนเว่อร์ก็หมดไป
อีก 3 ศพ ที่เดนเว่อร์ ด๊อคปิดบังไม่ให้ชาวบ้านรู้ว่าที่จริงแล้วตัวเป็นใคร ด้วยการเปลี่ยนใช้ชื่อใหม่ว่า ทอม แม็คคีย์
(Tom Mackey) รับจ้างเป็นเจ้ามือฟาโรในซาลูนชื่อว่า แบ๊บบิทส์ เฮ้าส์ (Babbit's House) แต่แล้ววันหนึ่งมีเรื่อง
ทะเลาะกับนักเลงไพ่คนดังและหนังหนาคนหนึ่งของ เดนเว่อร์ชื่อว่า บั๊ด ไรอัน (Bud Ryan) จนเกิดการต่อสู้ขึ้น
ด๊อคไม่ได้ใช้ปืน แต่ใช้มีดแทงฟันบั๊ดเสียหลายแผลฉกรรจ์เรียกได้ว่าเกือบจะขาดเป็นสองท่อน มีแผลหนึ่งเป็นรูป
กากบาทอันเบ้อเริ่มเทิ่มอยู่บนใบหน้า บั๊ดโชคดีรอดตายจากบาดแผลในที่สุด และผู้คนถึงได้รู้ว่ามือมีดอันตรายนี้
ที่แท้จริงคือ ด๊อค ฮอลลิเดย์ มือปืนนักพนันที่ชอบยิงคู่ต่อสู้ตายคาวงไพ่ไปแล้วหลายคนจนเป็นที่ร่ำลือนั่น เอง และ
เช่นเคยเหมือนคราวก่อนๆ ด๊อคไม่ยอมอยู่ต่อให้ใครมาจับมาต้อง รีบหลบออกจากเมืองหายตัวไปทันที

ที่น่าสนใจก็คือ อีกหลายปีให้หลังต่อมา บั๊ด ไรอัน ผู้เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการถูกแทงฟันครั้งนี้ ก็ยังคงวนเวียน
ใช้ ชีวิตอยู่แถวเดนเว่อร์ และชอบที่จะอวดแผลเป็นขนาดใหญ่รูปกากบาทบนหน้าของตัวให้ใครๆดูอย่างภาคภูมิ ใจว่า
 ได้มาจาก ด๊อค ฮอลลิเดย์

ด๊อค เผ่นขึ้นเหนือไปจนถึงไวโอมิ่ง แล้วย้อนลงมา นิว เม็กซิโก จากนั้นก็กลับเข้าไปที่เท็กซัสอีกครั้ง มาอยู่ที่เมือง
ฟอร์ท กริฟฟิน (Fort Griffin) ที่นี่ด๊อคได้พบเพื่อนใหม่สองคนซึ่งจะเป็นผู้ที่มีบทบาทและอิทธิพลต่อชีวิต ในวันข้าง
หน้าของด๊อคไปอีกหลายปี (คงเริ่มฉุกนึกกันขึ้นมาได้บ้างแล้วนะครับว่า เอ๊ะ ก็ไหนว่าหมอบอกไว้ตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่
แล้วนี่ว่าคงอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่ เดือน ทำไมถึงยังอึดอยู่ได้)

คนแรกเป็นผู้หญิงครับ มีชื่อว่า แมรี่ แคธรีน โฮโรนี่  (Mary Katherine Horony) หรือที่รู้จักกันทั่วไปส่วนใหญ่ในนาม
ว่า เค้ท เอลเด้อร์ (Kate Elder) หรือหากคุ้นเคยกันมากขึ้นอีกหน่อยก็จะเป็นเค้ทจมูกโต (Big Nose Kate) เค้ทเป็น
ผู้มีพื้นเพดั้งเดิมมาจากเมืองบูดาเป๊สท์ประเทศฮังการี ลงเรือข้ามมหาสมุทรแอ๊ทแลนติคมาแสวงโชคประกอบอาชีพ
เต้นกินรำกินที่อเมริกาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น จนในที่สุดเดินทางมาไกลถึง ฟอร์ท กริฟฟิน ในเท็กซัสนี้โดยมีอาชีพเป็น
เจ้าของสถานบริการ (แม่เล้านั่นแหละครับ) ว่ากันว่าเค้ทจมูกโตนี้จัดอยู่ในประเภทนางสิงห์เหล็กจอมลุยคนหนึ่ง
เหมือน กัน เป็นที่ร่ำลือในเรื่องความดุดัน เด็ดเดี่ยว อารมณ์ร้าย และไม่กลัวใคร เคยผ่านการแต่งงานมาแล้วหลาย
หน สุดท้ายยึดอาชีพเป็นแม่เล้านี้ด้วยใจรัก และไม่ได้ยอมไปหรือคบกับผู้ชายที่ไหนพร่ำเพรื่อถ้าตัวไม่ชอบ (ก็คงจะ
ต้องเชื่อว่าแน่จริงนะครับ ไม่งั้นคงไม่สามารถเอาตัวรอดและมีกิตติศัพท์เลื่องลืออยู่ในดงเถื่อนที่ล้วน แต่แวดล้อม
ไปด้วยคาวบอยเท็กซัสได้) เป็นที่สันนิษฐานว่าเค้ทน่าจะชอบด๊อคเพราะความที่ด๊อคเป็นสุภาพบุรุษชาวใต้ ผู้มีการ
ศึกษามาก่อน ทำให้ด๊อคดูดีมีเสน่ห์มากกว่าพวกคาวบอยอยู่หลายขุม หรือไม่งั้นก็อาจจะเป็นเพราะเป็นพวกชอบ
ซาดิสม์เหมือนกัน

 

เค้ท เอลเด้อร์ หรือ เค้ทจมูกโต แฟนของ
ด๊อค รูปนี้คงจะถ่ายเมื่อใกล้วัยทองเต็มทีแล้ว

 

ส่วนอีกคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ได้แก่ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป เจ้าเก่านี่เอง วายแอ็ท ขณะนั้นเป็นมือปราบคนหนึ่งของเมือง
ด๊อดจ์ ซิตี้ ในแคนซัส กำลังเดินทางแกะรอยเพื่อจะจับตัวโจรปล้นรถไฟคนหนึ่งชื่อว่า เด๊ฟ รุดดาบั๊ฟ (Dave
Ruddabough) วายแอ็ทมาแวะหาข่าวที่ ฟอร์ท กริฟฟิน เจ้าของซาลูนชื่อ จอห์น ชานส์ซี่ย์ (John Shanssey) จึง
แนะนำให้รู้จักกับด๊อคซึ่งมารับจ้างเป็นเจ้ามือไพ่อยู่ทีนี่ บอกว่าด๊อคเป็นผู้ที่สามารถบอกได้ว่าจะไปตามจับโจรปล้น
รถไฟรายนี้ได้ที่ไหน กล่าวกันว่าด๊อคกับวายแอ็ทรู้สึกถูกชะตากันตั้งแต่แรกรู้จัก และด๊อคก็ช่วยเหลือหาเบาะแสให้
วายแอ็ทตามจับตัว เด๊ฟ รุดดาบั๊ฟ ได้จนสำเร็จ

หลังจากช่วยวายแอ็ททำธุระสำเร็จไปแล้ว ด๊อคก็ตั้งหน้าตั้งตาประกอบวีรกรรมคลายเครียดในแบบฉบับของตนเอง
ต่อไป ที่ ฟอร์ท กริฟฟิน นี้ มีเซียนโป๊กเก้อร์อยู่คนหนึ่งนามว่า เอ๊ด เบลี่ (Ed Bailey) เป็นพวกนักเลงโตไม่ชอบให้ใคร
ขัดคอ ขาไพ่คนอื่นๆค่อนข้างจะเกรงใจและยอมลงให้เวลาเล่นด้วยกัน

เอ๊ดมา ร่วมวงเล่นโป๊กเก้อร์กับด๊อค และตั้งหน้าตั้งตาเปิดไพ่ที่คนอื่นเปลี่ยนทิ้งไปแล้วขึ้นดู ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นการผิดกฎ
กติกามารยาทอย่างยิ่ง แต่จะทำเสียอย่างใครจะกล้ามาว่าอะไร ด๊อคชักไม่ชอบใจ เตือนเอ๊ดไปสองหนว่าอย่าทำ
เพราะตามกติกาละก็จะต้องถูกยึดตังค์ทั้งหมด บรรยากาศเริ่มตึงเครียด ผู้คนรอบข้างต่างค่อยๆทยอยกันเข้ามา
ล้อมวงมุงดู

เอ๊ดไม่สนใจคำพูดของด๊อค ยังคงคว้าไพ่เปิดดูต่อไปเหมือนเดิม ด๊อคไม่พูดว่าอะไร เอื้อมแขนออกไปหาเอ๊ด ทำท่า
ว่าจะรวบเอากองสตังค์ของเอ๊ดมาไว้กับตัว แต่ซ่อนมือไว้ไม่ให้โผล่ออกมาจากปลายแขนเสื้อ เอ๊ดเห็นด๊อคทำท่าจะ
ยึดเงินของตัวจริงๆ ก็คว้าปืนขึ้นมาจากใต้โต๊ะทันที ถึงตอนนี้ผู้คนรอบข้างถึงได้เห็นมือของด๊อคพร้อมด้วยมีดเล่ม
หนึ่ง โผล่วับออกมาจากปลายแขนเสื้อเหมือนเล่นกล และไม่ทันที่เอ๊ดจะได้เหนี่ยวไกปืน มีดในมือของด๊อคก็เสียบ
เข้าที่ลิ้น ปี่ของเอ๊ดเสียก่อน ฟุบจมกองเลือดอยู่กลางโต๊ะนั่นเอง

ด๊อคยอมให้นายอำเภอจับแต่โดยดี ไม่หลบหนีไปไหนเหมือนครั้งก่อนๆ เพราะค่อนข้างจะมั่นใจว่าเป็นการต่อสู้ป้อง
กัน ตนเองอย่างสมเหตุผล มีผู้คนรู้เห็นเป็นพยานมากมาย แต่มารู้ตัวว่าคิดผิดเมื่อพบว่าบรรดาลูกสมุนของเอ๊ดและ
พวกอาสาชาวบ้านอีกกลุ่มใหญ่ที่ไม่ชอบหน้าด๊อค พากันมาชุมนุมก่อม็อบที่หน้าห้องขัง เรียกร้องให้นายอำเภอส่ง
ตัวด๊อคมา แขวนคอเสียดีๆโดยไม่ต้องรอขึ้นศาล

เรื่องก็เลยถึงเค้ทจมูกโต ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเป็นการด่วน เค้ทรีบเตรียมรถม้าไว้หนึ่งคัน บรรทุกข้าวของและ
เสบียงไว้พร้อมตั้งแต่ตอนบ่าย พอพลบค่ำก็จัดการจุดไฟเผาโรงนาเสียแห่งหนึ่ง ระหว่างที่ไฟเริ่มลามไปทั่วและทำท่า
จะไหม้ไปทั้งเมือง จนผู้คนต้องเลิกม็อบเพื่อมาช่วยกันดับไฟก่อนนั้น เค้ทคว้าปืนหกนัดสองกระบอกไปที่ห้องขัง ป
ลดอาวุธยามคนหนึ่งที่ยังเหลือเฝ้าด๊อ คอยู่ สั่งให้ไขกุญแจปล่อยด๊อคออกมา พอช่วยกันจับยามมัดเสร็จแล้ว ด๊อค
กับเค้ทก็ขึ้นรถม้าที่เตรียมไว้ขับหายออกไปจาก ฟอร์ท กริฟฟิน ด้วยกันในคืนนั้น มุ่งหน้าสู่ ด๊อดจ์ ซิตี้ (Dodge City)

ที่ ด๊อดจ์ ซิตี้ ด๊อคและเค้ทเข้าพักที่บ้านเช่าของ ดีคอน ค็อกซ์ (Deacon Cox) โดยใช้ชื่อว่า นายแพทย์และนาง เจ.
 เอ็ช. ฮอลลิเดย์ ด๊อครู้ตัวว่าเป็นหนี้ชีวิตเค้ท จึงพยายามทำตัวเป็นแฟมิลี่แมนเต็มที่ ลด ละ เลิก อบายมุขทุกประเภท
และหันมาประกอบอาชีพหมอฟันอีกครั้งหนึ่ง เค้ทก็พยายามเปลี่ยนตัวเองมาเป็นศรีภรรยาแม่บ้านแม่เรือน ปรากฏว่า
ไปได้ ไม่นานซักเท่าไร เค้ทก็กลับเบื่อชีวิตแบบเรียบง่ายที่ปราศจากความตื่นเต้น ความที่ต่างฝ่ายต่างก็จัดอยู่ในจำ
พวกสติแตกเจ้าอารมณ์ จึงเริ่มมีปากเสียงจนนำไปสู่การทะเลาะกัน สุดท้ายเค้ทก็บอกกับด๊อคว่า ขอแยกตัวกลับไป
ใช้ชีวิตสนุกๆแบบเดิมในโรงเต้นรำและซาลูนดีกว่า ไม่อยากเป็นแม่บ้านแม่เรือนให้กับคนเป็นวัณโรคไอโขลกๆแถม
ยังขี้เหล้านี้แล้วละ หลังจากได้ปลดปล่อยด้วยการตบตีกันอย่างดุเดือดจนต่างสะใจกันดีแล้ว ทั้งสองก็แยกทางกัน
เป็นครั้งแรก (เพราะเดี๋ยวก็กลับมาอยู่ด้วยกันอีก แล้วก็แยกกันอีก ไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละครับ โปรดคอยติดตามดูต่อ
ไป) โดยเค้ทไปจากด๊อดจ์ ซิตี้ ส่วนด๊อคอยู่ต่อแต่เลิกเป็นหมอฟัน กลับไปหาการพนันและเหล้าเหมือนเดิม

   

ข่าวตัดจากหนังสือพิมพ์ ด๊อดจ์ ซิตี้ ไทมส์ ฉบับวันที่ 8 มิถุนายน 1878 เป็นประกาศโฆษณาร้านทำฟัน
ของด๊อคที่ เมืองนี้ ตอนท้ายบอกว่าหากบริการไม่เป็นที่พอใจยินดีคืนเงินเสียด้วย

 

และที่ด๊อดจ์ ซิตี้นี้เอง ด๊อคได้สร้างวีรกรรมสำคัญที่ดูจะเป็นประโยชน์มากที่สุดตั้งแต่ตั้งหน้าตั้ง ตาสร้างมา นั่นคือ
ช่วยเหลือ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป มือปราบคนสำคัญของเมือง ให้รอดพ้นจากการถูกรุมล้อมกรอบโดยพวกอันธพาลกลุ่ม
ใหญ่นำขบวนโดย เอ๊ด มอริสัน (Ed Morrison) รายละเอียดผมได้เคยบรรยายไว้ในตอนของ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป มือปืน
ผู้คง กระพัน ท่านที่ติดตามไปแล้วคงจะจำกันได้นะครับว่าวายแอ็ทถูกพวกนี้ล้อมกรอบอยู่ใน ลองแบร๊นช์ซาลูน แต่
แล้วด๊อคแอบย่องมาข้างหลังเอ๊ดตัวหัวโจก อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังจ้องไปที่วายแอ็ท เอาปืนจ่อขมับเอ๊ดไว้จน
เอ๊ด ต้องยอมสั่งลูกน้องทั้งหมดให้ทิ้งปืนยอมแพ้ วายแอ็ทไม่เคยลืมบุญคุณของด๊อคและทั้งสองกลายเป็นมิตรแท้
ซึ่งกันและกันไปอีกนาน

ถึงปี 1879 วายแอ็ท เอิ๊ร์ป กับพี่น้องๆได้แก่เจมส์กับเวอร์จิลพี่ชาย และมอร์แกนน้องชาย พร้อมด้วยครอบครัว ตัด
สินใจย้ายไปทำมาหากินที่เมืองทูมบ์สโตนในอริโซน่า ด๊อคไม่ได้ตามไปด้วยในทันทีแต่แยกไปผจญภัยเดี่ยวต่อที่
เมืองทรินิแดดใน โคโลราโด มีเรื่องกับนักเลงท้องถิ่นคนหนึ่งชื่อ คิด โคลตั้น (Kid Colton) ด๊อครับคำท้าดวลแล้วก็
ลั่นกระสุนใส่ คิด โคลตั้นไปสองนัดลงไปนอนจมฝุ่นอีกราย ด๊อคย้ายไปที่เมือง ลาส เวกัส ใน นิว เม็กซิโก (คนละ
เมืองกับ ลาส เวกัส ในเนวาดา ที่ผู้คนชอบไปดูโชว์กับเล่นคาสิโนทุกวันนี้นะครับ เผอิญชื่อเหมือนกัน) พยายามจะ
ประกอบอาชีพหมอฟันอีก แน่นอนครับว่าไม่สำเร็จ

     

ด๊อค ฮอลลิเดย์ เมื่อปี 1879 อายุได้ 28 ปี เข้าใจว่าภา

Credit: http://www.thailandoutdoor.com/CowboyAndWestern/CowboyGun/Cowboy5/cowboy5.html
#คาวบอย
Messenger56
ผู้กำกับภาพ
สมาชิก VIPสมาชิก VIP
14 มิ.ย. 53 เวลา 15:31 4,646 5 68
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...