ผ่านไป แล้วเมื่อครั้งก่อนนะครับสำหรับ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป มือปืนผู้คงกระพัน หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะเริ่มเครื่องร้อนกัน
ขึ้นแล้วที่จะทำความรู้จัก รายต่อไปกันบ้าง
ผมขอออกตัวก่อนสักนิดนะครับว่าสำหรับ แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน และรายอื่นที่จะเขียนถึงต่อๆไปนั้น อาจจะไม่สามารถ
บรรยายในระดับ"เจาะลึก"ได้เต็มที่อย่างตอนที่เขียนถึง วายแอ็ท เอิ๊ร์ป สาเหตุเพราะว่าความดังกว่าของวายแอ็ท
เอิ๊ร์ปนั่นเอง ตามที่ได้เคยเล่าให้ฟังมาแล้วว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อนมีผู้นำเรื่องไปสร้างเป็น หนังคาวบอยฟอร์มใหญ่ขึ้นมา
ใหม่ติดๆกันตั้ง 2 เรื่องใช้ดาราระดับตุ๊กตาทองทั้งคู่ ทำให้แฟนคาวบอยลูกทุ่งตะวันตกทั้งหลายกลับมาคึกคักกัน
อีกครั้งหลังจาก ที่หนังคาวบอยซบเซาไปเสียหลายปี
การกลับมาของหนัง 2 เรื่องดังกล่าว (ขอเอ่ยชื่ออีกทีนะครับเผื่อลืม คือเรื่องทูมบ์สโตน - Tombstone กับเรื่อง วายแอ็ท
เอิ๊ร์ป - Wyatt Earp เรื่องแรกนำโดย เคิร์ท รัสเซล เรื่องหลังโดย เควิน คอสท์เนอร์) ทำให้ในสหรัฐอเมริกามีผู้สนใจเรื่อง
ของวายแอ็ท เอิ๊ร์ปเพิ่มขึ้นอีก นำไปสู่การศึกษาค้นคว้าหาหลักฐาน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างละเอียดและ
กว้าง ขวาง จึงทำให้มีข้อมูลมาฝอยได้ค่อนข้างละเอียดและหลายแง่มุม
นอกจากนี้ผลที่ตามมาอีกอย่างก็คือ การกลับมาของปืนซิงเกิ้ลแอ๊คชั่น ที่มีผู้คนหันมาเล่นทั้งแบบสะสม และแข่งขัน
ในรูปแบบที่ล้อเลียนมาจากสไตล์การยิงในยุคคาวบอยจริงๆ (ผสมกับอิทธิพลหนังฮอลลีวู้ดเสียครึ่งหนึ่ง) ปืนซิงเกิ้ล
เหล่ามีทั้งปืนที่ทำขึ้นมาใหม่ใน ลักษณะก๊อปปี้จากของจริงในสมัยก่อน หรือไม่ก็ออกแบบขึ้นใหม่เองทั้งหมดโดยคง
สไตล์ของปืนยุคนั้นไว้ ซึ่ง กันส์ เวิลด์ โดย บก.พิชญ และคุณธัชรวี ก็เคยนำมาโชว์และทดสอบให้ดูไปแล้วหลายรุ่นนะ
ครับ ในบ้านเราผมพอทราบว่ามีผู้สนใจสะสมและเล่นปืนซิงเกิ้ลกันอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ว่างๆก็มีการจับกลุ่มแต่งตัวเป็น
คาวบอยย้อนยุคติดดาวนายอำเภอเป็นมือ ปราบบ้างเป็นมือปืนเฉยๆบ้าง วางมาดออกไปชักปืนยิงกันในทุ่งกว้างชาย
เขา (หมายถึงยิงเป้าแข่งกันนะครับไม่ได้ยิงกันเอง) ดูจะสนุกสนานเพลิดเพลินกันไม่น้อยทีเดียว
กลับมาเข้าเรื่องของ แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน คาวบอยประจำฉบับของเรากันเสียทีดีกว่า ก่อนจะเริ่มเอ่ยถึงแบ๊ท ผมก็อด
ไม่ได้ที่จะขอคลายข้อข้องใจอีกสักนิดนึงเกี่ยวกับการใช้คำว่า "คาวบอย" ที่หลายท่านอาจจะท้วงติงว่า อ่านเรื่องดู
แล้วไม่เห็นจะเกี่ยวกับพวกต้อนวัวหรือเลี้ยงวัวตามความหมายที่แท้จริงของคำ ว่าคาวบอยหรือโคบาลตรงไหนเลย
ก็ขอยอมรับโดยดีครับว่าถ้าแปลตรงๆก็ไม่ใช่ แต่ถ้าเราพูดถึงหนังคาวบอยละก็คงจะพอเห็นพ้องกันนะครับว่าไม่เห็น
มีซักกี่เรื่องที่ตั้งหน้าตั้งตาเลี้ยงวัวกันจริงๆ ส่วนมากก็เป็นเรื่องขี่ม้ายิงปืนกันเป็นหลักเสียมากกว่า และก็หนีไม่พ้นที่
จะต้องมีนายอำเภอ โจรผู้ร้าย หรือบางทีก็อินเดียนแดง เป็นตัวชูโรง หาที่มีพระเอกตั้งหน้าตั้งตาเลี้ยงวัวอย่างเอา
จริงเอาจังแต่เพียงอย่าง เดียวจริงๆได้ยากมาก ท่านที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับคาวบอย (หมายถึงคาวบอยแบบในหนัง
นะครับ ไม่ใช่คาวบอยตามคำแปลตรงๆ เดี๋ยวจะงงกันเสียก่อน) อ่านหนังสือดูจะพบว่าในยุคนั้นจะมีคำหลายคำที่
เขา ใช้แยกแยะแบ่งกลุ่มบุคคลเพื่ออธิบายแบบง่ายๆว่าใครเป็นพวกไหน ที่พบบ่อยๆก็จะมี มือปืน (Gunfighter),
มือปราบ (Lawman), พวกนอกกฎหมาย (Outlaw), นักพนัน (Gambler) เป็นลำดับต้นๆ รองลงมาก็มี พรานล่าควาย
(Buffalo Hunter), เสือพราน (Army Scout), นักแสวงโชค (Frontiersman), คนเลี้ยงวัว (Cattleman), ชาวไร่
(Rancher), โจร (Rustler) แล้วก็เบ็ดเตล็ดอื่นๆอีก พวกที่ดูจะมีสีสันถูกกล่าวขวัญเขียนถึงมากกว่าใครก็คงจะหนี
ไม่พ้นสี่ อย่างแรกนั่นแหละครับ และจะต้องเป็นให้ได้อย่างน้อยสามอย่างในคนเดียวกันด้วยคนๆนั้นถึงจะดัง หรือ
ถ้าเป็นได้สี่อย่างเลยละก็จะยิ่งดังที่สุด (ทำให้น่านึกถึงคนดังหลายๆคนในบ้านเราทุกวันนี้ด้วยเหมือนกันนะครับ)
แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน นั้น เป็นทั้งมือปืน, มือปราบ, นักพนัน แถมยังเป็นพรานล่าควาย และเสือพรานด้วย ประวัติในวัย
เด็กและช่วงต้นๆของชีวิตนั้นไม่ค่อยชัดเจน บ้างก็ว่าเกิดในปี 1853 บ้างก็ว่า 1855 วันที่กับเดือนนั้นไม่ต้องพูดถึง
ส่วนสถานที่เกิดนั้นยิ่งไปกันใหญ่ครับ บางตำราก็บอกว่าเกิดที่รัฐอิลลินอยส์ บางตำราบอกว่าแคนซัส และบางตำรา
ก็ ฉีกแนวไปเสียไกลเลยครับบอกว่าเกิดที่แคว้นควีเบ็คในประเทศคานาดาโน่น พอมาถึงเรื่องชื่อก็สนุกไม่แพ้กันอีก
ตำราหนึ่งบอกว่าตอนเกิดพ่อแม่ตั้งชื่อให้ว่า บาร์โธโลมิว (Bartholomew) อันเป็นที่มาของชื่อย่อว่า แบ๊ท (Bat) อีก
ตำราหนึ่งบอกว่าไม่ใช่ ที่จริงแล้วชื่อ วิลเลียม บาร์เคลย์ (William Barclay)ต่างหาก ส่วนชื่อ แบ๊ท นั้นคนมาเรียกกัน
ทีหลังเมื่อหันมาถือไม้เท้าติดตัวใช้เป็นอาวุธตีผู้ร้าย ต่างฝ่ายต่างก็ว่าเหตุผลของตัวเองน่าเชื่อถือกว่า จนปัจจุบันยัง
ไม่มีข้อยุติ ในที่สุดก็เลยมีผู้เสนอทางออก(ที่ฟังดูออกจะประชดประชันเชิงขำขันเสีย มากกว่า)ว่า ตอนเกิดพ่อแม่คง
จะตั้งชื่อให้ว่าบาร์โธโลมิวนั่นแหละ แต่ตัวเองไม่ชอบพอโตแล้วเลยไปเปลี่ยนใหม่เป็น วิลเลียม บาร์เคลย์ ผมฟังดู
แล้วก็ชักจะนึกสนุกครับ คิดตามเรื่อยเปื่อยเพลิดเพลินไปว่า สงสัยคงถูกหมอดูทักว่าชื่อเดิมเป็นกาลกิณี ชาตินี้ไม่มี
วันรุ่งแน่ เลยไปขอให้พระตั้งชื่อให้ใหม่ อย่างนี้สิถึงจะอามะภันเตน่าเชื่อถือที่สุด
แบ๊ทเกิดในครอบครัวชาวไร่ เป็นบุตรชายคนที่ 2 ของ ทอม กับ แคเธอรีน มีพี่น้องรวมกันทั้งหมด 5 คน พี่ชายคน
โตชื่อ เอ๊ด (Ed) และน้องชายคนถัดไปชื่อ จิม (Jim) อีก 2 คนไม่ทราบชื่อ แบ๊ทเติบโตในหลายแห่งตามพ่อแม่ซึ่ง
ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในรัฐนิวยอร์ค อิลลินอยส์ แล้วในที่สุดก็มาปักหลักอยู่ที่แคนซัสแถวๆเมืองวิชิต้า พอถึงปี 1871
อายุได้แถวๆ 16 ปี แบ๊ทรู้สึกเบื่อที่จะใช้ชีวิตชาวไร่ จึงได้ชักชวนชวนพี่ชาย เอ๊ด และน้องชาย จิม ออกผจญภัยใน
ดินแดนตะวันตก พิจารณาดูจะเห็นว่าแบ๊ทนั้นคล้ายกับวายแอ็ท เอิ๊ร์ปเหมือนกัน คือถึงจะออกจากบ้านมาแล้วก็
ยังใช้ชีวิตร่วมเป็นร่วมตายกันกับพี่น้องอยู่ และในที่สุดคนหนึ่งก็จะตายจริงๆด้วยเหมือนกัน ซึ่งผมจะเล่ารายละเอียด
อีก ทีนึงนะครับ
มาถึงตรงนี้อดที่จะขอออกนอกเรื่องอีกสักนิดไม่ได้ คือเรื่องของพี่น้องนี่แต่ก่อนแต่ไรเรามักจะเข้าใจกันว่าชีวิตของ
ฝรั่งอเมริกันนั้นพอโตๆกันแล้วก็ตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างอยู่ไม่ค่อยผูกพันกันเท่าไรในระหว่างพ่อแม่พี่น้อง จะมา
เจอกันก็ต่อเมื่อมีเทศกาลอย่างเช่นคริสต์มาสหรืออี๊สเต้อร์ปีนึงไม่กี่ครั้ง ไม่เหมือนอย่างชาวเอเชียโดยเฉพาะชาวจีน
ที่ครอบครัวมักจะเหนียวแน่นกัน ไปตลอดจนตาย แต่จากการที่ได้ศึกษาประวัติชีวิตของพวกคาวบอยมือปืนตะวันตก
หลายคนกลับพบว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป มีหลายรายมากที่พี่น้องใช้ชีวิตด้วยกันค่อนข้างผูกพันใกล้ชิดเมื่อโต
แล้ว ท่านที่อ่านเรื่อง วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ในฉบับก่อนก็คงจะจำได้นะครับว่าเหตุการณ์ที่ทูมบ์สโตนนั้น ถือได้ว่าเป็นเรื่อง
การพิพาทบาดหมางกันระหว่างพี่น้องตระกูลเอิ๊ร์ปฝ่ายหนึ่ง กับพี่น้องตระกูลแคลนตั้นและแม็คลอรี่อีกฝ่ายหนึ่งเป็น
หลัก จนถึงขนาดต้องล้างกันให้หมดไปข้างหนึ่ง ส่วนท่านที่เคยดูหนังเรื่อง วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ก็คงจะจำได้ว่าวายแอ็ท
ถูกพ่ออบรมสั่งสอนและเชื่ออย่างฝังใจมาตลอดว่า พี่น้องเท่านั้นที่เป็นครอบครัว นอกนั้นเป็นคนอื่น แถมยังหาเรื่อง
ว่าไปถึงภรรยาและพี่สะใภ้น้องสะใภ้ด้วยว่า ภรรยานั้นไม่ถือเป็นครอบครัว เพราะในที่สุดถ้าไม่แยกทางกันก็ตายจาก
ไป (ไม่ได้หมายความว่าผมจะเชื่อตามนะครับ ท่านผู้อ่านโดยเฉพาะท่านสุภาพสตรีทั้งหลายโปรดอย่าเพิ่งเข้าใจผิด)
ผมฟังจากในหนังแล้วก็จำได้ว่าเมื่อตอน ที่มีการฉายหนังเรื่องสามก๊กในทีวีไม่กี่ปีมานี้ ก็ได้ยินเล่าปี่พูดเหมือนกันว่า
พี่น้องเหมือนแขนขา ลูกเมียเหมือนเสื้อผ้า เรียกว่ามีปรัชญาชีวิตแบบเดียวกันเปี๊ยบเลย ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าคิดเหมือน
กันข้ามยุคข้ามทวีปขนาดนี้เข้าไปได้อย่างไร (ผมเองก็ชักจะสงสัยแล้วเหมือนกันว่าเขียนเรื่องคาวบอยอยู่ดีๆทำไมถึง
ดัน ไปออกเป็นเรื่องสามก๊กได้)
หันมาเข้าเรื่องของเราต่อไปนะครับ แบ๊ทกับพี่น้องเริ่มชีวิตการผจญภัยในดินแดนตะวันตกด้วยอาชีพล่าควาย เริ่ม
จาก ในทุ่งหญ้าเขตตะวันตกเฉียงใต้ของแคนซัสซึ่งไม่ไกลจากบ้านนักก่อน จากนั้นแบ๊ทกับเอ๊ดพี่ชาย ก็เปลี่ยนไป
ทำงานกับบริษัทผู้รับเหมาสร้างทางรถไฟสาย แอ๊ทชิสัน โทปีก้า และ ซานตาเฟ่ ทำให้มีโอกาสได้สัมผัสกับเมือง
ด๊อดจ์ ซิตี้ (Dodge City) ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงชุมชนเล็กๆที่พวกคนงานมาตั้งแค้มป์รวมอยู่ด้วยกันและ เป็นจุดค้า
ขายส่งควายขึ้นรถไฟไปขายต่อที่อื่น อย่างที่ผมเคยบรรยายไว้ในเรื่อง วายแอ็ท เอิ๊ร์ป มือปืนผู้คงกระพันแล้วนั่น
แหละครับว่ายังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน เต็มไปด้วยบาร์ บ่อน แล้วก็อื่นๆอีก แต่ทั้งคู่ก็เอาตัวรอดปลอดภัยมาได้ ว่า
กันว่าเป็นเพราะบุคลิกส่วนตัวมีส่วนช่วยคือแบ๊ทเป็นคนรักสนุกสนาน ส่วนเอ๊ด ป็นผู้มีอัธยาศัยดี แต่ทั้งสองก็คง
ความเข้มแข็งเด็ดขาดเมื่อถึงเวลาเช่น กัน ครั้งหนึ่งถูกผู้รับเหมาเบี้ยวค่าแรงหลังจากทวงแล้วทวงอีกไม่สำเร็จ ก็
ใช้ไม้แข็งเอาปืนจี้เก็บเงินมาจนได้ เป็นที่ครั่นคร้ามของบรรดานักเลงต่างๆพอสมควร ฝ่ายจิมน้องชายนั้นค่อน
ข้าง จะมีนิสัยโมโหง่าย และไม่ค่อยสนใจงานสมาคมนัก จึงไม่ค่อยได้มาร่วมวงด้วย
ภาพถ่าย แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน ในวัยรุ่นที่ไม่ค่อย
ได้เห็นกันบ่อยนัก
พอเสร็จงานรถไฟแบ๊ทกับเอ๊ดก็กลับไปล่าควาย กันต่อ ได้รู้จักกับ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป และร่วมงานกันล่าควายอย่าง
เป็นล่ำ เป็นสันได้เงินมากมาย จนเมื่อวายแอ็ทบอกลาไปแล้ว แบ๊ทก็ยังคงล่าควายและตะลุยต่อไปทางใต้ ผ่าน
เข้าเขตโอคลาโฮม่าไปจนถึงเท็กซัส การล่าควายนั้นกล่าวกันว่าในที่สุดได้ขยายตัวจากเป็นเพียงแค่ SME ในระยะ
แรกๆ กลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ผลาญชีวิตควายกันอย่างมโหฬารแทบจะล้างทุ่ง โดยได้รับการสนับสนุน
อย่างเต็มที่จากฝ่ายทหาร ที่เห็นว่าเป็นการช่วยกำจัดคนท้องถิ่นและชนกลุ่มน้อยที่ไม่ยอมขึ้นกับรัฐบาล กลางไป
พร้อมๆกัน (ฟังดูคล้ายๆการปกครองประเทศอะไรก็ไม่รู้ในสมัยนี้นะครับ) เนื่องจากพวกนี้ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยเนื้อ
และหนังควายเป็นหลัก ฝ่ายที่เดือดร้อนมากที่สุดก็คืออินเดียนแดงเผ่าโคมานชี (Comanche) และไคโอวา
(Kiowa) เพราะนอกจากพวกผิวขาวจะมาตลุยล่าควายกันอย่างไม่บันยะบันยังแล้ว ยังแถมด้วยการไล่ฝูงม้าและ
ถือโอกาสขโมยม้าเสียอีกด้วย จนในที่สุดทำให้เกิดสงครามลุ่มแม่น้ำแดง (Red River War) ขึ้นเมื่อปี 1874
ฝูงควายไบซัน (Bison) จำนวนมหาศาลหากินอยู่
ในทุ่งหญ้าอันกว้างขวางของดินแดนตะวันตก ถูก
ทั้ง คนขาวและอินเดียนแดงล่าเป็นอาหาร เครื่อง
นุ่งห่ม เครื่องเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับ ฯลฯ
แบบแทบจะล้างทุ่ง
ควายไบซันเชื่องแค่ไหนลองดู จากการเผชิญหน้า
ตามรูปนี้นะครับ (ทั้งบุคคลในรูปและผู้ที่ถ่ายรูปนี้
ไว้ ยังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้)
วันที่ 26 เดือนมิถุนายนในปีนั้น แบ๊ทแวะพักค้างคืนที่ อโด๊บิ วอลส์ (Adobe Walls) ซึ่งเป็นป้อมค่ายเล็กๆถูกสร้าง
ขึ้นตั้งใจว่าจะให้เป็นจุดพักค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าแห่งหนึ่งในตอนบนของ ส่วนที่เป็นด้ามกะทะของรัฐเท็กซัส
(Texas Panhandle) ขยายความนิดนึงครับว่ารัฐเท็กซัสนั้นมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดามลรัฐต่างๆของ สหรัฐอเมริกา
ที่อยู่ติดกันบนแผ่นดินใหญ่ พื้นที่มากกว่าอินโดจีนทุกประเทศรวมกัน ทิศตะวันตกเฉียงเหนือยื่นออกมาคล้ายสี่
เหลี่ยม ดูรวมๆกันในสายตาฝรั่งเจ้าของประเทศแล้วเป็นรัฐที่รูปร่างเหมือนกะทะมีด้าม อยู่ด้านบน เขตตะวันตก
เฉียงเหนือก็เลยถูกขนานนามว่าด้ามกะทะหรือ Panhandle จนแพร่หลายกลายเป็นศัพท์ที่ใช้ในทางราชการไป
ด้วยในที่สุด บ้านเราสมัยผมเด็กๆจำได้ว่าในโรงเรียนชอบสอนว่าประเทศไทยมีรูปร่างเหมือน ขวาน ในวิทยุก็ชอบ
เรียกประเทศไทยว่าเป็นขวานทอง แต่ไม่ยักมีใครเรียกภาคใต้ว่าบริเวณด้ามขวานของประเทศไทยกันบ้างนะครับ
ฟัง ดูเท่ดีออก
คืนนั้นมีพวกพรานล่าควายแวะค้างอยู่รวมกันสัก 28 คน พอวันรุ่งขึ้นเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ถูกอินเดียนแดง
บุกเข้าโจมตี ตั้งแต่เช้ามืดด้วยกำลังที่เหนือกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ บางตำราบอกว่า ฝ่ายอินเดียนประกอบด้วย
นักรบ 200 คนบ้าง 500 บ้าง 700 บ้าง จน 1000 บ้างก็มี (ไม่รู้จะโม้กันไปถึงไหน) บรรดาพรานทั้งหลายช่วยกัน
ต่อสู้ อย่างเต็มที่จนฝ่ายอินเดียนไม่สามารถยึดป้อมได้ แค่ปิดล้อมไว้ 3-4 วันแล้วก็ถอนกำลังกลับไปในที่สุดหลัง
จากเสียนักรบไปเป็นร้อย ฝ่ายพรานนั้นตายไป 2 คน แบ๊ทเวลานั้นอายุเพิ่งจะประมาณ 19 น้อยที่สุดในกลุ่มได้ร่วม
ต่อสู้ อย่างแข็งขันและรอดชีวิตมาได้
สาเหตุหลักที่ฝ่ายอินเดียนต้องล่าถอยไปในที่สุดนั้น ก็เพราะอาวุธสู้ฝ่ายพรานไม่ได้ ผมค้นไม่พบว่าฝ่ายอินเดียน
ใช้ปืนอะไรกันบ้าง แต่ทางฝ่ายพรานที่ตั้งรับอยู่ในป้อมนั้น บอกว่าทีเด็ดอยู่ที่ปืนไรเฟิลช้าร์ป ขนาด .50 คาลิเบอร์
ซึ่งเอาไว้ใช้ล่าสัตว์ใหญ่ในระยะไกลนั่นเอง ฝ่ายพรานให้การว่า ใช้ปืนช้าร์ป .50 เล็งยิงถูกฝ่ายตรงข้ามตกลงมาตาย
จากหลังม้าที่อยู่ห่างออกไปได้ใน ระยะไกลตั้ง 3/4 ไมล์ ฝ่ายอินเดียนให้การว่า พวกคนขาวมีปืนดีติดกล้องด้วย
ส่องยิงโดนนักรบตกลงมาจากหลังม้าได้ ทั้งๆที่อยู่ห่างตั้ง 1 ไมล์ ทำให้บรรดานักรบตกใจ รู้สึกครั่นคร้ามเสียขวัญ
ไป มาก ส่วนสาเหตุรองของการล่าถอยนั้นบอกว่า นักรบอินเดียนคนหนึ่งดันทำผิดศีลไปยิงตัวสกั๊งค์ตาย เกิดเป็น
อาเพศทำให้ยาทากันกระสุนปืนที่หมอผี อุตส่าห์ปลุกเสกไว้ให้นั้นหมดฤทธิใช้ไม่ได้ผล (นี่จากหลักฐานที่ค้นได้
จริงๆ นะครับไม่ได้แต่งขึ้นมาเองสนุกๆเหมือนตอนที่เล่าเรื่องแบ๊ทเปลี่ยนชื่อ)
พรานล่าควายไม่ทราบชื่อ ถ่ายภาพคู่กับปืนช้าร์ปไรเฟิลซึ่งเป็นปืนยอดนิยม
สำหรับใช้ในการล่าควาย ในยุคนั้น ช้าร์ปไรเฟิลเป็นปืนบรรจุเดี่ยวจากท้าย
ลำกล้อง มีขนาดของกระสุนให้เลือกใช้ตั้งแต่ .40 จนถึง .50 รุ่นที่ฝ่าย
พรานใช้ ยิงถูกอินเดียนตกจากหลังม้าที่ระยะตั้งเกือบ 1 ไมล์ในสงครามที่
อโด๊บิ วอลส์ เมื่อเดือนมิถุนายน ปี1874นั้น เป็นกระสุนขนาด .50-90 ซึ่ง
ได้รับสมญา นามว่า "บิ๊ก ฟิฟตี้" หัวกระสุนหนัก 475 เกรน ความเร็วปาก
ลำกล้อง 1350 ฟุต/วินาที แรงปะทะ1920 ฟุต/ปอนด์
ในการต่อสู้ที่ อโด๊บิ วอลส์ นี้ แบ๊ทยังไม่ได้เป็นพระเอก เป็นแต่เพียงผู้หนึ่งที่ช่วยกันต่อสู้เพื่อให้อยู่รอดจากการปิด
ล้อมโจม ตีเท่านั้น หลังจบจากการรบไปแล้ว แบ๊ทก็ตกกระไดพลอยโจน สมัครเป็นเสือพรานทำหน้าที่เป็นหน่วย
สอดแนมให้กับฝ่ายทหารไปเสียเลย จนสงครามลุ่มแม่น้ำแดงยุติลงในเดือนมิถุนายนปี 1875 หลังสงครามแบ๊ท
ก็ ยังคงใช้ชีวิตวนเวียนอยู่แถวด้ามกะทะของเท็กซัส กลับมาล่าควายและแบ่งเวลาส่วนหนึ่งทำหน้าที่ส่งกำลังบำรุง
ให้ฝ่ายทหาร และยังได้ช่วยฝ่ายทหารสำรวจพื้นที่สำหรับการตั้งค่ายแห่งใหม่ขึ้นในบริเวณ ด้ามกะทะด้วย โดยเลือก
ที่ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำเล็กๆสายหนึ่งมีชื่อว่า สวี้ทวอเท่อร์ (Sweetwater - ในภาษาอังกฤษกลับแปลว่าน้ำจืดนะครับ ไม่
ยักแปลว่าน้ำหวาน) จากนั้นฝ่ายทหารก็ก่อตั้งค่ายเอเลียต (Fort Elliot) ขึ้น ส่วนชุมชนเดิมที่อยู่ใกล้ๆนั้นก็ขยับ
ขยายขึ้นเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ใช้ชื่อว่าสวี้ทวอเท่อร์ตามชื่อของแม่น้ำ และที่นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของการที่แบ๊ทจะมี
ชื่อเสียงโด่งดังและแจ้ง เกิดในฐานะมือปืนชั้นแนวหน้าระดับพิชิตตะวันตกอีกคนหนึ่ง
ที่สวี้ทวอเท่อร์แบ๊ทได้คบหาสมาคมเป็นเพื่อนกับนักเลงปืนพี่น้องชื่อดัง 2 คน ได้แก่ เบ็น และ บิล ธอมป์สัน ท่านผู้
อ่านคงจำได้หากอ่านเรื่องวายแอ็ท เอิ๊ร์ปในตอนที่แล้วนะครับว่า พี่น้องคู่นี้ไปก่อเรื่องไว้ที่เมืองเอลส์เวอร์ธในแคนซัส
เมื่อสองปีก่อน โดยบิลยิงนายอำเภอตายแบบไม่มีสาเหตุ แถมยังขี่ม้าลอยนวลออกนอกเมืองไปเฉยๆ ส่วนเบ็นอยู่
จ้องตาสู้กันกับวายแอ็ทอยู่พักหนึ่งก็ยอมแพ้ให้จับโดยไม่ ทันได้ดวลกันให้เห็นดำเห็นแดงเสียก่อน ทั้งๆที่ตัวเองก
็เป็นถึงนักเลงปืนระดับพระกาฬที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมยิงคู่ต่อสู้คว่ำไปตั้ง หลายคนแล้ว ในขณะที่วายแอ็ทเพิ่งจะเป็น
มือใหม่ เกี่ยวกับเรื่องที่ฟังดูค่อนข้างจะประหลาดนี้ เบ็นเล่าให้แบ๊ทฟังว่า ตนมองเข้าไปลึกๆในสายตาของวายแอ็ท
แล้ว นอกจากจะอ่านออกว่าวายแอ็ทเอาจริงแน่ ยังมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีอีกด้วย เลยตัดสินใจถอยดีกว่า ผมฟัง
คำอธิบายแล้วก็ยังรู้สึกว่าประหลาดอยู่ดี นี่ยังไม่นับว่าประหลาดอีกเหมือนกันนะครับที่แบ๊ทผู้ซึ่งจะเปลี่ยนอาชีพ
ไป เป็นมือปราบในวันหลังกลับเลือกคบนักเลงปืนผู้เหี้ยมโหดคู่นี้อย่างสนิทสนม แต่คงพอจะเข้าใจได้หรอกครับ
ลองคิดง่ายๆดูว่าบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ทุกอย่างตัดสินกันด้วยปืนนั้น จะไปหาคนดีๆมีศีลธรรมที่ไหนมาคบได้ แบ๊ท
เองนั้นก็เป็นคนมีนิสัยรักความ สนุกสนานเป็นพื้นอยู่แล้วด้วยก็เลยคบใครไม่ยากนัก
เหตุการณ์ที่จะทำให้แบ๊ทโด่งดังมาถึงเมื่อคืนวันที่ 24 มกราคม ปี 1876 แบ๊ทอยู่ในซาลูนชื่อเลดี้ เกย์ (Lady Gay -
น่าจะแปลว่าผู้หญิงบานฉ่ำนะครับ ไม่ใช่คุณนายประเภทสอง) นั่งเล่นไพ่โป๊กเกอร์อยู่กับเจ้าของซาลูนชื่อเฮนรี่
เฟลมมิ่ง และแขกประจำอีก 2 คน คนหนึ่งชื่อจิม ดั๊ฟฟี่ อีกคนหนึ่งเป็นทหารยศสิบโทชื่อเมลวิน คิง (Melvin King)
หมู่คิงเสียไพ่ให้กับแบ๊ทตั้งแต่เริ่ม เล่น แก้เท่าไรไม่ขึ้นยิ่งเล่นยิ่งเสีย ชักฉุนก็เลยบอกเลิกกลับออกไปก่อนอย่าง
หงุดหงิด
พอวงไพ่เลิกแบ๊ทก็เจอะเจอกับสาวนักระบำคนหนึ่งชื่อ มอลลี่ เบร็นแนน (Mollie Brennan) มอลลี่เป็นนักเต้น
ประจำโรงเต้นรำข้างๆเลดี้เกย์ซาลูน โรงเต้นรำนี้มีอดีตนายทหารยศพันเอกชื่อชาร์ลี นอร์ตั้น เป็นเจ้าของโดยเข้า
หุ้นร่วมกันกับบิล ธอมป์สันเพื่อนของแบ๊ท เป็นสถานเริงรมย์ที่ขึ้นชื่อว่ามีสาวสวยนักเต้นมากมาย คืนนั้นโรงเต้นรำ
ปิด พวกสาวนักเต้นจึงพากันออกมาเที่ยวที่เลดี้เกย์ซาลูนรวมทั้งมอลลี่ด้วย แบ๊ทจ๊ะจ๋ากับมอลลี่อยู่พักใหญ่ โดย
ไม่รู้ว่ามอลลี่เป็นที่หมายปองของหมู่คิงผู้เพิ่งจะแพ้พนันจากโป๊กเก้อร์ให้ ตัวเองไปหลายตังค์อยู่หยกๆ หมู่คิงนั้น
เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็น นักเลงโตประเภทชอบเบ่งและเกะกะระรานชาวบ้านเวลาเมาได้ที่
ใกล้เที่ยงคืน แบ๊ทกับมอลลี่ และชาร์ลี นอร์ตั้น ออกมาจากเลดี้เกย์ซาลูนเข้าไปในโรงเต้นรำ ชาร์ลี นอร์ตั้นเดินไป
จุดตะเกียง แบ๊ทกับมอลลี่ลงนั่งคุยกันที่โต๊ะริมหน้าต่างตรงข้างประตู มองเห็นหมู่คิงเดินรี่เข้ามาเคาะประตู ท่า
ทางเมาแอ๋และโกรธจัดเอาเป็น เอาตาย แบ๊ทจึงเดินไปเปิดประตูเพื่อจะถามว่ามีอะไร
พอประตูเปิดเท่านั้นหมู่คิงก็ร้องด่าแบ๊ทอย่างหยาบคายเสียๆหายๆ พร้อมชักปืนยิงตูมเข้าใส่แบ๊ททันที แต่ด้วย
เหตุผลใดไม่แน่ชัดมอลลี่รีบ วิ่งเข้ามาขวางไว้ (บ้างก็บอกว่าออกมาห้าม บ้างก็บอกว่าจะวิ่งหนีออกไปข้างนอก)
กระสุนนัดแรกเฉียดมอลลี่อย่างหวุดหวิด วิ่งเลยไปโดนแบ๊ทเข้าที่หน้าท้องทะลุไปถึงกระดูกสะโพกจนแบ๊ทล้มลง
หมู่ คิงยิงซ้ำอีกนัดหนึ่ง นัดนี้โดนมอลลี่เข้าจังๆล้มลงไปอีกคน แบ๊ทใช้จังหวะนี้ยันตัวขึ้นด้วยแขนซ้าย มือขวาชัก
ปืนยิงเข้าใส่หมู่คิงทะลุหน้าอกล้มลงไปบ้าง จบเสียงปืน 3 นัดก็ลงไปนอนกองอยู่กับพื้นครบทั้ง 3 คน ผู้คนต่างกรู
กันเข้ามาดูว่า เกิดอะไรขึ้น
ภาพเขียนฝีมือของบั๊ด แบร๊ดชอว์ แสดงเหตุการณ์แบ๊ทยิง
กับหมู่คิงที่เมืองสวี้ทวอเท่อร์ แบ๊ทถูกหมู่คิงยิงบาดเจ็บล้ม
ลงไปก่อนที่มอลลี่จะถูกหมู่คิงยิงล้มตามลง ไปอีกคน แต่
แบ๊ทก็ยังสามารถรวบรวมกำลังยันตัวขึ้นมายิงตอบหมู่คิง
ได้อย่างแม่นยำ
เนื่องจากเมืองนี้ยังไม่มีนายอำเภอ ฝ่ายทหารจึงเข้ามาดูแลแทน ในชั้นแรกต้องรีบห้ามผู้คนไม่ให้ตีกัน เนื่องจาก
แบ๊ท มีพวกพรานล่าควายเป็นเพื่อนอยู่มากมาย รวมทั้งมือปืนระดับพระกาฬอย่างเบ็นและบิล ธอมป์สันด้วย ส่วน
หมู่คิงก็มีเพื่อนพ้องทหารเยอะเหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างอยากแก้แค้นแทนเพื่อนด้วยกันทั้งนั้น หลังจากเข้าคุมม็อบ
ทั้ง สองฝ่ายได้แล้ว หมอทหารจึงเข้าตรวจรักษาผู้บาดเจ็บ และหัวหน้านายทหารก็เข้าสอบสวนเหตุการณ์ มอลลี่
เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ หมู่คิงถูกนำส่งโรงพยาบาลทหารและไปตายในวันรุ่งขึ้น แบ๊ทถูกรักษาตัวในที่เกิดเหต
ุและรอดตายอย่างหวุดหวิด แต่เนื่องจากกระสุนทะลุกระดูกสะโพกแตก ก็เลยทำให้เดินไม่ค่อยถนัด ต้องใช้ไม้เท้า
ช่วยเดินไปตลอดจนกลายเป็นเครื่องหมายประจำตัวไป
ผลการสอบสวนออกมา อย่างตรงไปตรงมา ตัดสินว่าแบ๊ทต่อสู้ป้องกันตนเองตามสมควรไม่มีความผิด ผู้คนส่วน
ใหญ่ที่ทราบข่าวต่างสรรเสริญฝีมือของแบ๊ท และพากันดีใจที่นักเลงโตอย่างหมู่คิงถูกกำจัดไปเสียได้ ส่วนแบ๊ทนั้น
ดู จะไม่ได้ภูมิอกภูมิใจอะไรนัก รู้สึกว่าตนเป็นเหตุทำให้ผู้หญิงน่ารักคนหนึ่งต้องตายไปเสียด้วยซ้ำ แถมยังไม่แน่
ใจว่าพรรคพวกของหมู่คิงจะแห่ตามมาแก้ แค้นอีกหรือเปล่า เลยตัดสินใจย้ายออกจากสวี้ทวอเท่อร์ ตั้งใจจะกลับไป
เยี่ยม บ้านสักพัก
ขออนุญาตเพิ่มเติมนิดนึงเกี่ยวกับเรื่องสถานที่ สำหรับท่านผู้อ่านที่เป็นนักเดินทางท่องเที่ยวหน่อยนะครับว่าเมือง
สวี้ทวอเท่อร์ที่พูดถึงในเหตุการณ์นี้ไม่ใช่เมืองเดียวกับที่ปรากฏอยู่ใน แผนที่ปัจจุบันของรัฐเท็กซัส เพราะว่าถึงแม้จะ
เรียกขานกันด้วยชื่อนี้มาก่อน แต่ก็ไม่มีใครไปขอจดทะเบียนตั้งชื่อให้เป็นเรื่องเป็นราวไว้ จนกระทั่งเมื่อปี 1878
ชาวบ้านรวมตัวกันขอตั้งชื่อที่ทำการไปรษณีย์ ถึงได้พบว่ามีเมืองอื่น (คือเมืองที่ปรากฏอยู่ในแผนที่ปัจจุบัน) ใช้ชื่อ
เดียวกันไปแล้ว หลังจากคิดกลับไปกลับมาหลายตลบก็เลยตัดสินใจตั้งชื่อใหม่ว่า โมบีตี้ (Mobeetie) อันเป็น
ภาษาของอินเดียนแดงท้องถิ่นเดิมที่มี ความหมายเดียวกันกับสวี้ทวอเท่อร์ ปัจจุบันเมืองโมบีตี้ยังคงเป็นเมือง
เล็กๆ ในเขตด้ามกะทะของรัฐเท็กซัส เป็นจุดท่องเที่ยวสำหรับผู้คนที่สนใจประวัติศาสตร์เรื่องของสงครามลุ่ม
แม่น้ำแดงที่พูดถึงไปแล้ว รวมทั้งเหตุการณ์ยิงกันระหว่างแบ๊ทกับหมู่คิงนี้ด้วย ผมเองยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชม
สถานที่จริง หากท่านผู้อ่านท่านใดเคยไปและถ่ายรูปไว้ละก็ขอเชิญนำมาเผยแพร่ดูกันสนุกๆ บ้างนะครับ
แบ๊ทกลับมาถึงบ้านเดิมที่วิชิต้า แคนซัส ได้ไม่นาน วายแอ็ท เอิ๊ร์ป ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ช่วยมาร์แชลอยู่ที่เมือง ด๊อดจ์
ซิตี้ (Dodge City) ทราบข่าวจึงชวนแบ๊ทให้เข้ามาร่วมทีมมือปราบ แบ๊ทตกลงตอบรับคำชวนจากเพื่อนเก่า เข้าทำ
หน้าที่ปราบปรามอันธพาลและโจร ผู้ร้ายเคียงบ่ากับวายแอ็ทและผู้ร่วมทีมอื่นๆอย่างแข็งขัน สร้างความเป็นระเบียบ
เรียบร้อยและขื่อแปขึ้นเป็นที่ถูกอกถูกใจชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาพี่และน้องชายของแบ๊ทคือเอ๊ดและจิม ก็เข้า
มาร่วมเสริมทีมให้แข็ง แกร่งยิ่งขึ้นอีก
ถึงจะเป็นที่ถูกอกถูกใจชาวบ้าน แต่แบ๊ทกลับไม่ค่อยลงรอยกับมาร์แชลของเมืองด๊อดจ์ฯ ชื่อว่า แลรี่ ดีเกอร์ (Larry
Deger) ผู้เป็นนายของตัวนัก เคยมีเรื่องมีราวถึงขนาดถูกนายของตัวเองแจ้งจับข้อหาขัดขวางการปฏิบัติ หน้าที่
รายละเอียดเล่ากันว่าเป็นเพราะแบ๊ท เห็นผู้ต้องหาคนหนึ่งถูกมาร์แชลดีเกอร์ซ้อมอย่างไม่เป็นธรรม จึงเข้าไปขัด
ขวาง ทำให้ผู้ต้องหาหลุดหนีไปได้ ถึงปี 1877 มีการเลือกตั้งเชอร์ริฟแห่งมณฑลฟอร์ด (Ford County) อันเป็นเขต
คามที่เมืองด๊อดจ์ฯสังกัดอยู่ แบ๊ทโดยการสนับสนุนจากชาวบ้านก็ลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งกับมาร์แชลดีเกอร์ นาย
ของตัว และเอาชนะไปได้อย่างหวุดหวิดแค่ 3 คะแนน หลังจากแบ๊ทเข้ารับตำแหน่งใหม่ไม่นาน ดีเกอร์ก็ถูกถอด
ออกจากตำแหน่งมาร์แชลของเมืองด๊อดจ์ฯ โดยเอ๊ดพี่ชายของแบ๊ทขึ้นรับตำแหน่งแทน ในขณะที่จิมน้องชายก็ยั