2012
2012 ????
มหา ภัยพิบัติในประวัติศาสตร์ของโลกซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกจำนวนมาก
สูญ พันธุ์ เกิดขึ้นมาแล้ว 5 ครั้ง คือในยุคออร์โดวิเชียน-ไซลูเรียน
เมื่อ ประมาณ 439 ล้านปี ยุคดีโวเนียน เมื่อประมาณ 364 ล้านปี
ยุคเพอร์เมีย น-ไทรแอสสิก เมื่อประมาณ 251 ล้านปี ยุคไทรแอสสิก
เมื่อประมาณ 199-214 ล้านปี และยุคครีเทเชียส-เทอร์เทียรี
เมื่อ 65 ล้านปีที่ผ่านมา
การ ศึกษาวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ทำให้เชื่อว่า มหาภัยพิบัติในยุค
ออร์โดวิ เชียน-ไซลูเรียนเกิดจากการละลายของน้ำแข็งในทะเล
ยุคดีโวเนียนยังไม่รู้ สาเหตุ ยุคเพอร์เมียน-ไทรแอสสิก ยุค "การล้มตาย
ครั้งยิ่งใหญ่" (the Great Dying) ซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลก 95 สปีซีส์
สูญพันธุ์ เกิดจากดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางชนโลก หรืออาจจะ
เกิดจากการปะทุของ ภูเขาไฟในไซบีเรียซึ่งปล่อยลาวาจำนวนมหาศาล
ขนาด ครอบคลุมทวีปยุโรป ภูเขาไฟยังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และ
ก๊าซพิษจนทำให้ชั้นบรรยากาศของโลก เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก
(greenhouse effect)
การศึกษาวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ทำให้เชื่อว่า มหาภัยพิบัติในยุค
ออร์โดวิเชียน-ไซลูเรียนเกิดจากการละลายของน้ำแข็งใน ทะเล ยุค
ดีโวเนียนยังไม่รู้สาเหตุ ยุคเพอร์เมียน-ไทรแอสสิก ยุค "การล้มตาย
ครั้งยิ่งใหญ่" (the Great Dying) ซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลก 95 สปีซีส์
สูญพันธุ์ เกิดจากดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางชนโลก หรืออาจจะเกิด
จากการปะทุของ ภูเขาไฟในไซบีเรียซึ่งปล่อยลาวาจำนวนมหาศาล
ขนาด ครอบคลุมทวีปยุโรป ภูเขาไฟยังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และ
ก๊าซพิษจนทำให้ชั้นบรรยากาศของโลก เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก(greenhouse effect)
ยุค ไทรแอสสิกเกิดจากทะเลลาวาเช่นกัน และครั้งหลังสุดคือยุคครีเทเชียส
-เทอร์เทีย รี ซึ่งกวาดล้างไดโนเสาร์จนหมดสิ้นไปจากโลกยังเป็นที่ถกเถียง
กันอยู่ ว่า เกิดจากดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางชนโลก หรือเกิดจากทะเล
ลาวา แต่จากการค้นพบหลุมอุกกาบาตชิคซูลูป(Chicxulub) ขนาดเส้นผ่าน
ศูนย์กลาง 9.3 ไมล์บริเวณก้นอ่าวเม็กซิโก ทำให้ทฤษฎีดาวเคราะห์น้อยมี
น้ำหนัก มากกว่า
และ เมื่อ เร็วๆ นี้นักวิทยาศาสตร์ทีมหนึ่งได้เสนอผลงานวิจัยซึ่งนำเสนอ
ทฤษฎีใหม่ที่แตก ต่าง ออกไปอย่างน่าสนใจอย่างยิ่ง นั่นคือ ทฤษฎีเมฆ
อวกาศ ผลงานวิจัยนี้เพิ่งถูกตีพิมพ์ในวารสาร Geophysical Research
Letters.
ทฤษฎี นี้อธิบายว่าตัวการที่ทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกสูญพันธุ์คือ เมฆอวกาศ
แบบ จำลองคอมพิวเตอร์แสดงให้เห็นว่าเมื่อโลกเคลื่อนที่ผ่านเข้าไปในเมฆ
อวกาศ ที่มีความหนาแน่นสูง ฝุ่นในเมฆอวกาศจะจับตัวกันเป็นชั้นในชั้น
บรรยากาศ ของโลก ชั้นของฝุ่นจะมีความหนาพอที่จะกั้นแสงอาทิตย์ไว้ทำให้
เกิดหิมะ ปกคลุมบนพื้น โลก
....
อย่างไรก็ตาม ในแต่ละทฤษฏี ก็ยังถือเป็นข้อสันนิษฐานที่ยังต้องหาข้อมูล
มาสนับสนุนกันต่อไป .. แต่กาลนั้นจะมาถึงหรือเปล่า
เมื่อย้อนไปสามถึงสี่ปีนี้ มีผู้ตั้งทฤษฎีต่างๆ ว่าโลกจะแตกอีกครั้ง
ซึ่งหนึ่งในทฤษฎีเริ่มใกล้ เข้ามาแล้ว .. "Nibiru กลับการมาถึงของดาวดวง
ใหญ่ พร้อมกับจุดจบของโลก 2012"
และรวมถึงการสร้างหนังเรื่อง "2012"
......
ทำไม 2012 จะมีข่าวลือเกี่ยวกับวันสิ้นโลกมากมายเหลือเกิน
บาง แหล่งก็อ้างน้ำท่วมจาเหตุโลกร้อน
บางแหล่งก็อ้างไบเบิ้ลเพราะพระเจ้า กำหนดมา
(ปรากฏในคัมพรีไบเบิ้ล และในอีกหลายๆ ศาสนา
ซึ่งในพระพุทธ ศาสนา พระพุทธเจ้าเคยทำนายว่า
จะมีดวงไฟบัลลัยกันยักษ์มาแผดเผาโลก ก็อาจจะเป็นดาวดวงนี้ก็ได้)
แต่มีสิ่งที่นึงที่มีทั้งหลักฐานทาง วิทยาศาสตร์พร้อมเกี่ยวปรากฎการณ์ที่
อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้
และถ้า เกิดขึ้นก็จบ... ไม่เหมือนกับ LHC ที่กลัวโอกาสว่าจะเกิดหรือเปล่า
เท่า นั้น
เรื่องนี้คือเรื่อง ดาวปริศานาดวงที่ 12 ของ ระบบสุริยะจักรวาล
ถ้าใครได้พอดูความปี 2002 จะได้ทราบว่า นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ
ดาวดวงที่ 12 ขึ้นมาอยู่ในระบบกาแล็คซี่เราดื้อๆ
แต่ความเป็นจริงนักดาราศาสตร์รู้จัก ดาวนี้มาตั้งแต่ปี 1982 แล้ว
ซึ่งเป็นข่าวใหญ่โตมากช่วงเดือน พฤษภาคม เพราะผมก็ได้ดูเหมือนกัน
มันคือดาวที่มีชื่อตั้งทางวิทยาศาตร์ว่า นิบิรุ (Nibiru)
(นิบิรุ เป็นชื่อเทพองค์หนึ่งของบาบิโลน ส่วน ดาวนิบิรุ เป็นดาวตามทฤษฎี
ของ เซชาเรีย ซิตชิน ซึ่งอ้างว่าถอดความมาจากจารึกของชาวสุเมเรียน
ทฤษฎีนี้กล่าวว่าดาวนิบิ รุเป็นดาวที่มีสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมอาศัยอยู่ และ
เคยมาเยือนโลก เมื่อนานมาแล้ว ..แม้เรื่องดาวนิบิรุจะได้รับ ความนิยมใน
หมู่ผู้ชื่น ชอบเรื่องลึกลับ เรื่องจานบิน เรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่เนื่องจาก
ทฤษฎี นี้มีหลักฐานอ่อนมาก และตั้งอยู่บนจินตนาการมากกว่าเหตุผล
เรื่องนี้จึง ไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้างในวงการวิทยาศาสตร์รวมถึง
นัก วิชาการด้านสุเมเรียนด้วย)
และด้วย หลักฐานโบราณวัตถุและนักโบราณคดีได้กล่าวไว้เนืองๆ
ว่า...สิ่งของที่ไม่ สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้เกิดจากดาวดวงนี้
แต่สิ่งที่เรารับ รู้คือเจอดาวเคราห์ดวงใหม่ แล้วก็จบ...
ทำไมถึงกล่าวอ้างเช่นนั้น?
ิสิ่ง ที่เราไม่รู้มันคือสิ่งนี้ครับ....
ดาวดวงนี้ทุนเดิมไม่ได้อยู่ใน ระบบกาแล็คซี่ทางช้างเผือกมาแต่เนิ่นๆ
อยู่แล้ว แต่... มีวงโคจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก จนมาทับซ้อนลงบน
กาแล็คซี่นี้
แปล ว่า... ที่นักวิทยาศาสตร์เห็นเพิ่มมาดวงก็แปลว่ามันโคจรเข้ามาใกล้
กา แล็คซี่เราสินะ
ถูกครึ่งเดียวครับ ความจริงมันเเข้ามาทับวงโคจรทั้งแถบเลย
(ลักษณะทางกายภาพที่เป็นไปได้ของดาวนิบิรุครับ)
อันนี้ใช้เทคโนโลยี้ขั้นสูงในการถ่ายซูมครับ ทำให้รู้ได้ว่า ดาวนี้เป็น ดาวฤกษ์
ครับ และทับเข้ามาแค่ไหน
เส้น ทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ เข้ามาทับเส้นเดียวกับโลก
แปลว่า... มันมีสิทธิชนโลกเราอย่างแน่นอน!!!
รูปนี้คือเส้นวงโคจรของดาวนิบิรุ มันเข้าใกล้มาจริงเร้อ?
เส้น ทางวงโคจร ทำให้เรารู้ได้ว่าทางเราส่องดาวบริเวณทิศใต้สุดของ
ดาวโลกเรา จะเห็น
แต่ปัจจุบันนี้ ปีนี้สามารถเห็นได้ด้วยเปล่าแล้ว
(เส้น ขาวๆ คือลูกศรชี้ตำแหน่งดาวนิบิรุครับ)
....ปัจจัยที่ดาวนิบิรุชน ดาวโลกในปัจจัยข้อนี้มีโอกาศชนถึง 95 เปอร์เซ็น
โดยประมาณที่จะทำไห้โลก แตกและหายไปทั้งดวงและอีก 3 เปอร์เซ็น
โดยประมาณโลกจะหายไปส่วนหนึงดาว โลกจะเกิดการขาดสมดุลทาง
ด้านแรง โน้มถ่วงและทำไห้โลกเราอาจจะเกิดการเปลี่ยนวงโครจรและ
ทำไห้มนุษย์ตาย และลอย เควงควางอยู่กลางอากาศอีก 1 เปอร์เซ็นโดย
ประมาณดาวนิบิรุชนดวง จันทร์ทำไห้ดาวนิบิรุเปลี่ยนวงโคจรทำไห้ ไม่ชน
โลกแต่สะเก็ดดวงจันทร์จะ ตกลงมายังโลกและเกิดการเสียหายอยู่ดีและทำ
ไห้ น้ำถ้วมโลกเพราะไม่มีดวงจันทร์ทำไห้ไม่เกิดปรากฎการน้ำขึ้นน้ำลงจึง
ทำ ไห้นำ ถ้วมโลกอยู่ดีและอีก 0.02 โดยประมาณดาวนิบิรุเพียงแค่เฉียด
โลก เฉยๆ
และสำหรับคนที่อยากเห็นแต่ไม่มีตังไปออสเตรเลียหรือประเทศ อะไรที่อยู่
ทางใต้ของโลกนะครับ แนะนำให้ลองใช้โปรแกรม googleSky
( http://www.google.com/intl/th/sky/ )
ดูท่านจะเห็นเป็นวงแดงๆ อยู่วงเดียวทั้งท้องฟ้า นั่นหละครับ นิบิรุ...
แล้วทำไม? มันเกี่ยวอะไรกับโบราณสถานและวัตถุในอดีตหละ
นักโบราณฯ สันนิษฐานว่า นิบิรุเคยโคจรเข้ามาใกล้ทีนึงแล้วในเมื่อหลายแสนปีก่อน
แต่มารอบนี้ มาเทียบและทาบวงโคจรของดาวนิบิรุ คาดว่ามีโอกาสที่จะชน
กันสูง หรือแม้เฉียดกันก็เกิดอันตราย
เพราะแกนของดาวมีสนามแม่เหล็กอยู่ อาจจะทำให้เกิดสภาพอากาศแปร
ปรวน เกิดภัยพิบัติธรรมชาติเกิดภาวะน้ำขึ้นกระทันหัน เกิดพายุต่างๆ นา
และเค้าคาดการณ์ไว้แล้วว่า ปี 2012 เราสามารจะเห็นดาวนิบิรุ ใหญ่ขนาด
ดวงอาทิตย์ได้เลย เพราะมันเข้าใกล้เรามากแล้ว
ข้อมูลอาจจะยังไม่แน่นพอ เพราะ NASA แม่งปิดข่าว แต่นักดาราศาสตร์ออก
มาอธิบายเรื่องทฤษฎีความเป็นไปได้กัน อย่างจ้าละหวั่น
ข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันอยู่คือ บางแหล่งบอก ดาวฤกษ์ และ อุกกาบาต
เพราะขนาดของมันใหญ่กว่าดาวพฤหัส 2 เท่า!!!
(ดาว พฤหัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบนี้)
.....
อาจารย์ สุมิตร" ทำงานในองค์การ NASA ในสายงานคือ ร่วมกับนักวิทยา
ศาสตร์ทั่ว โลก เพื่อสร้างยานอวกาศ เพื่ออพยพผู้คนจาก อุทกภัยน้ำท่วม
โลกใน ค.ศ. 2012 (แต่รู้ในวงจำกัด) "อาจารย์ สุมิตร" ยืนยันว่าอีก 3 ปี
ข้างหน้า นี้ โลกกำลังจะเกิดหายนะขึ้นจากอุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012
แน่นอน และ คนในองค์การ NASA ทุกคนทราบเรื่องนี้มานานแล้ว แล้ว
ได้สร้างยาน อวกาศเพื่ออพยพผู้คนจาก อุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012
ใกล้เสร็จแล้ว (แต่ "อาจารย์ สุมิตร" ไม่ได้บอกว่าสร้างไว้กี่ลำ)
การคาดการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นใน ปี 2012
1.ประกาศ จากองค์การ NASA วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) วันนั้นแกนโลกของเราจะพลิกกลับขั้ว คือ ขั้วโลกเหนือจะมาอยู่ที่ขั้วโลกใต้ ช่วงเวลานั้น โลกของเราจะไม่มีสนามพลังแม่เหล็ก เพื่อป้องกันตัวเองจากสนามพลังแม่เหล็ก และ รังษีต่างๆจากอวกาศ
แล้ววัน นั้นจะเป็นวันเดียวกับที่ ดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วเช่นกัน เพราะดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วทุกๆ 11 ปี ปีล่าสุดคือปี พ.ศ. 2544 ถ้ามาถึงวันนี้ก็ 11 ปีพอดี (2544 + 11 = 2555) ขณะ ที่ดวงอาทิตย์กำลังพลิกกลับขั้วนั้น ดวงอาทิตย์จะแผ่สนามแม่เหล็ก และรังษีความร้อนสูงมายังโลก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่โลก ไม่มีสนามแม่เหล็กป้องกันตัวเอง ผลคือ น้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลัน น้ำท่วมโลกฉับพลัน ไม่มีทางหนีได้ทัน ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
การคาดการณ์อื่นๆ
- ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)
- การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ
- ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ ่อนอย่างมาก
- ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม
- สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เเละในที่สุดเราก็จะตายกันหมด
- กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล ้โลกได้ง่ายขึ้น
-แรง ดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
2. ชาวมายา (ชนเผ่ามายาแห่งอเมริกากลาง) ทำปฏิทินใช้เองตั้งแต่ 1,000 ปีที่แล้ว ชนเผ่ามายานี้มีความสามารถในการคำนวนการโคจร การเกิดดับของดวงดาวอย่างไม่น่าเชื่อ คือเขาสามารถคำนวนว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์โดยใช้เวลา 365 วัน ตั้งแต่ 1,000 ปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับปฏิทินที่ชาวโลกปัจจุบันใช้กัน แล้วยังสามารถคำนวนเกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาลได้อย่างแม่นยำมาก
ชาว มายายังกำหนดวันสุดท้ายของปฏิทินของพวกเขาคือ วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) พวกเขาบอกด้วยว่า วันนั้นโลกจะถึงจุดสิ้นสุด (โดยบอกไว้เมื่อ 1,000 กว่าปีที่แล้ว) น่าแปลกมาก ทำไมมาตรงกับองค์การ NASA อ่ะ
3. นาย Gordon-Michael Scallion เป็นผู้หยั่งรู้อนาคต (futurist) มีญาณทัศนะ(Spiritual Visionary) คือมองเห็นอนาคตด้วยญาณ มีความแม่นยำมาก เขาได้ทำนายว่า น้ำกำลังจะท่วมโลก จนหลายประเทศหายไปจากแผนที่ ประเทศที่เป็นเกาะจะจมน้ำทั้งหมด ประชากรโลกที่รอดตายมีเพียง 10% เท่านั้น เขาเชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012 (พ.ศ.2541-พ.ศ.2555) และเขาได้สร้างแผนที่โลกใหม่หลังน้ำท่วมครั้งใหญ่ ภายใต้ชื่อ Future Map Of The World ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1978 (พ.ศ. 2521) ซึ่งประเทศไทยเหลือแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
เรื่องนี้ยังไม่มี เหตุผลสนับสนุนว่าจริงหรือไม่จริงอย่างไร เชื่อหรือไม่เชื่อก็ขึ้นอยู่ที่วิจารณยานของแต่ละคนนะคับ
.....
ที่ มา : http://www.trangzone.com/webboard_show.php?ID=22535
http://forum.mthai.com/view_topic.php?table_id=1&cate_id=34&post_id=32897