ลอนดอนเป็นเมืองที่น่าทึ่งเป็นอย่างมากเพราะมันเต็มไปด้วยประวัติความเป็นมามากมาย มีอาคารเก่าแก่หลายแห่งที่ยังคงตั้งอยู่ และสถานที่เหล่านี้ก็เคยเป็นที่อยู่ของคนมากมายในสมัยก่อน และนี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวและสถานที่น่าเหลือเชื่อที่ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีอยู่จริงบนโลก
โดยนี้คือ "Malplaquet" บ้านหลังหนึ่งในกรุงลอนดอน มีอายุยาวนานกว่าร้อยปี มันไม่มีคนอาศัยอยู่ตั้งแต่ปี 1895 หรือเมื่อประมาณ 121 ปีมาแล้ว แต่มันกลับเป็นสถานที่ที่เหมือนกับแคปซูลเวลาเพราะมันยังเก็บทุกอย่างไว้เหมือนเดิมหมด ไม่ว่าสิ่งต่างๆ ในโลกจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน แต่ภายในบ้านกลับยังคงสภาพเดิมอยู่ตลอด
มันตั้งอยู่บนถนนอันเงียบสงบในย่าน Mile ทางตะวันออกของกรุงลอนดอน
กำแพงบ้านสร้างขึ้นจากอิฐ ทั้งยังมีรั้วรอบบ้านอีกด้วย มันเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในศตวรรษที่ 18
หลังจากเวลาผ่านไป บ้านหลังนี้ก็ผ่านประวัติศาสตร์อันยาวนานจนกลายเป็นวัตถุอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์
มันสร้างขึ้นในปี 1741 โดย Thomas Andrews สถาปนิกในยุคนั้น
ตอนที่มันถูกสร้างขึ้นครั้งแรกมันเป็นบ้านของ Harry Charrington ผู้ผลิตเบียร์ชื่อดัง ต่อมาในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 มันก็ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นห้องพัก
โดยในปี 1985 บ้านหลังนี้ก็เริ่มเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง เพราะไม่มีคนอาศัยอยู่
แม้ว่าเมื่อเร็วๆ นี้จะมีการตกแต่งเพิ่มเติม แต่มันก็ยังคงสภาพเดิมอยู่ทั้งหมด
มันสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้า George II ดังนั้นบ้านหลังนี้จึงเป็นตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ที่สะท้อนให้เห็นถึงสังคมสมัยนั้น โดยเฉพาะภาพวาดที่ติดอยู่ตามผนัง
บันไดที่ยังคงสภาพเดิมตั้งแต่ปี 1795
ห้องรับประทานอาหารที่ยังคงแบบเดิมหมด ทั้งหน้าต่าง บานประตู
มันสวยงามและน่าเหลือเชื่อมากเลยทีเดียว
ภายในบ้านประกอบไปด้วยห้องนอน 5 ห้อง และแต่ละห้องถูกตกแต่งด้วยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในสมัยโบราณ
ทั้งยังมีห้องรับแขกอีกด้วย
ห้องใต้ดินของบ้านเป็นห้องเก็บไวน์ แต่ตอนที่บ้านถูกสร้างขึ้นครั้งแรกมันเคยถูกใช้เป็นที่ขายถ่านหินมาก่อน
บริเวณพื้นที่นอกบ้านเป็นสวนต้นไม้ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงอิฐสูง 13 ฟุตเพื่อความเป็นส่วนตัว
แต่ล่าสุดบ้านหลังนี้เพิ่งถูกวางขายในตลาดในราคา 4,340,000 เหรียญ (ประมาณ 153 ล้านบาท) เป็นบ้านที่ทรงคุณค่ามาก แต่ถ้าใครซื้อไปคงต้องบรูณะซ่อมแซมกันบ้าง ไม่งั้นตัวบ้านอาจจะพังเข้าสักวันหนึ่ง เพราะมันไม่ถูกใช้งานมาเป็นเวลานานมากแล้ว..!!
ข้อมูลและภาพประกอบจาก "boredomtherapy"