พระศพกษัตริย์อียิปต์ทั้งหลาย
แม้มันจะมีคำสาปแช่งอัน ร้ายกายเพื่อข่มขู่คนที่เปิดโลงพระศพ แต่พวกปล้นสุสานหาได้กลัวไม่ พวกนี้มักทำลายความสงบของผู้ตาย และมักฉกฉวยของมีค่าติดตัวเสมอ ส่วนนักปล้นสุสานเช่นกัน มักเอาศพมัมมี่ไปโชว์ตัวต่างประเทศบ่อยๆ แถมบางศพถูกทำลายด้วยเครื่องบดอาหารเหตุเพราะกลัวเชื้อโรค หรือบางองค์ถูกหั่นเป็นชิ้นแล้วนำไปขาย เป็นของขวัญ หรือไม่ก็เป็นเครื่องรางติดตัวเพื่อเอาไปบูชาเป็นการส่วนตัว
ซิ เซโร(Cicero) 106 BC –43 BC
นักการเมืองและนักปราชญ์ระเบือนามแห่งโรมัน สิ่งสำคัญที่ซิเซโรได้กระทำในการเมืองคือ นำเอาความคิดเรื่องกฎธรรมชาติมาผนวกเข้ากับลัทธิสโตอิค ซึ่งเป็นนักกฏหมายโรมันคริสต์จักร และยุโรปได้ใช้กันต่อๆ มาจนถึงศตวรรษที่ 19
ซิเซโรถูกลอบสังหารโดยศัตรูการเมืองในปี 43 ก่อนคริสต์ศักราชที่เมือง ฟอร์มิเอ แม้สิ้นลมหายใจ เป็นศพแล้ว ยังถูกทำลายย่อยยับ ครั้งเมื่อนำชิ้นส่วนศพเขากลับมายังกรุงโรม ก็ยังถูก มาร์ค แอนโทนี ซึ่งตอนนั้นเป็นกงสุลอยู่ก็ยังสั่งให้นำศพขึ้นไปเวทีปราศรัยกับเขาเพื่อเป็น เครื่องมือหาเสียงอีก
เฮกเตอร์ (Hector)
เจ้าชายแห่งเมืองทรอย เป็นวีรบุรุษในตำนานกรีกโบราณว่าด้วยเรื่องสงครามเมืองทรอย เขาเป็นโอรสของท้าวเพรียมและนางเฮคคิวบา ผู้ครองเมืองทรอย ณ เชิงขุนเขาไอดา เป็นพี่ชายของปารีส ผู้ชิงตัวนางเฮเลนมาจากเมนนิลิอัส เฮกเตอร์ได้รับยกย่องเป็นหนึ่งในเก้าผู้ยิ่งใหญ่ (The Nine Worthies) ซึ่งประกอบด้วยความกล้าหาญและเกียรติยศ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะเห็นด้วยกับการกระทำของน้องชายหรือไม่ แต่ก็นำทัพออกปกป้องบ้านเมืองและครอบครัวอย่างเต็มกำลัง
โฮเมอร์(Homer)กวีเอกชาวกรีกผู้แต่งมหากาพย์สงครามกรุงทรอย เขาเล่าว่า หลังจากเฮกเตอร์ถูกสังหารโดยอคิลลีส แต่ศพของเฮกเตอร์นักรบอันโด่งดังมิได้รับการฌาปนกิจอย่างสมเกียรติแต่อย่าง ใด หากแต่ถูกนำมาลากกับรถม้า และโยนศพให้ฝูงสุนัขแทะกินจนเหลือกระดูกไม่ยอมคืนศพให้ฝ่ายทรอยตามธรรมเนียม การรบ จนภายหลัง ท้าวเพรียมผู้ชราลอบเข้าค่ายกรีกเพื่อวิงวอนขอร่างของเฮกเตอร์คืน อคิลลีสจึงใจอ่อนยอมมอบให้
ทิเบริอุส กรรักชุช (Tiberius Gracchus) b.168-163 BC d.133 BC
นักสู้เพื่อสังคมและผู้ด้อยโอกาสสมัยโรมัน เขาผู้เห็นปัญหา และพยายามปฎิรูปการเมืองของโรม แต่เขาก็ถูกสังหารเสียก่อน น้องชายชื่อ กากิอุส แกรกซุส (Gagius Gracchus) ไกอุสขอร้องทางการให้นำศพพี่ชายเพื่อฝังตาม ประเพณี แต่ศพเขากลับถูกโยนในแม่น้ำไทเบอร์อย่างไร้เกียรติ และหลังจากนั้นไกอุสก็ฆ่าตัวตายตามพี่ชาย ศพของเขาก็ไม่ได้ถูกฝังเช่นกัน
ดันเต้ อลิเกียรี่ (Dante Alighieri) c.1265 – 1321
เป็นกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอิตาลี เขามีชื่อเสียงมากที่สุดในด้านกวีนิพนธ์ขนาดยาว เรื่อง เธอะ ดิไวน์ คอมเมดี้(The Divne Comedy) เนื้อหาของงานประพันธ์นี้เป็นจิตนาการ เกี่ยวกัยการเดินทางไปนรกและสวรรค์ ดัวเตยังได้เขียน หนังสือและโคลงกลอนสั้นๆ ไว้จำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นภาษาอิตาลี ซึ่งส่วนใหญ่นักเขียนส่วนใหญ่สมัยนั้นจะเขียนเป็นภาษาละติน
ดังเต เกิดที่เมือง ฟลอเรนซ์ งานเริ่มแรกของเขานั้น ส่วนมากบอกเล่าถึงความรักที่เขามีต่อสุภาพสตรีผู้หนึ่ง นามว่า บีอะทริซ ผู้ซึ่งถึงแก่ความตายตั้งแต่ยังสาว เมื่อประมาณ ปี ค.ศ. 1285 ดังเตได้แต่ง งานกับเจมมา ดอนาติ ต่อมาเขาได้เข้าไปเกี่ยว ข้องกับการต่อสู้ระหว่างพรรคการเมือง ซึ่งเป็นศัตรูกันในเมืองฟลอเรนซ์ เขาได้รับการตัดสินอย่างอยุติธรรมว่า ก่ออาชญากรรม ยี่สิบปีสุดท้ายของการมีชีวิตของเขาต้องสูญเสียไปกับการถูกเนรเทศ ออกจากเมือง และ ถูกศาลพิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตสองครั้ง
แปดปีต่อมาเมื่อเขาถึงแก่กรรมลงเมือง ราเวนนา คณะผู้แทนสันตะปาปาซึ่งนำโดย แบร์ทรอง ดู ปูเซต์ ได้เรียกร้องนำให้ทางการราเวนนามอบศพเขาเพื่อที่จะนำไปเผาท่ามกลางสาธารณชน แต่ผู้สำเร็จราชการแห่งราเวนนาปฏิเสธเพราะไม่เห็นด้วยที่นำศพเขาไปกระทำ ย่ำยีแบบนี้ และอีกหลายทศวรรษต่อมาทางการฟลอเรนซ์ได้กลับใจและขอให้นำศพเขากลับไปฝังไว้ ใน มหาวิทยาลัยซานตามาเรีย เดลฟิโอเร เพื่อนำมาสร้างอนุสาวรีย์เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา แต่ทางการราเวนนาก็ปฏิเสธที่จะมอบศพที่จะมอบศพดันเต้ เช่นกัน
ชาว ยิว(Jew)ในเงื่อมมือทหารนาซี 1941-1945(ประมาณ)
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารนาซีได้กระทำกับชาวยิวอย่างโหดเหี้ยมทารุณ แม้ตายไปแล้ว ก็หาได้สงบไม่ เนื่องจากพวกนาซีระแวงว่าอาจมีคนนำชิ้นส่วนศพไปทำเครื่องรางของคลังหรือเป็น เครื่องมือการเมืองเพื่อต่อต้านพรรคนาซี จึงมีคำสั่งให้ทำลายศพไม่ให้เหลือซาก อีกทั้งยังสร้างเตาเผาขนาดมหึมาไว้ตามค่ายกักกันพวกยิวและเชลยศึกทั้งหลาย ว่ากันว่ามีคน 6 ล้านคนถูกเผาจนไม่เหลือซากในนั้น บางคนถูกนำตัวไปวิจัยหรือทำการทดลองทาง การแพทย์หรือการทดลองทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ตามแผนปฏิบัติการที่ 4 โดยจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากการล้างชาติโดยนาซีคาดว่าอยู่ระหว่าง 9-11 ล้านคน (นอกจากนี้ก็ยังมีคนกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่ ยิว ถูกล้างเผ่าพันธุ์เช่นเดียวกัน อันประกอบด้วย ชาวยิปซี ชาวโรมัน ชาวโซเวียต เชลยศึกชาวโซเวียต ชาวโปล ผู้พิการ พวกรักร่วมเพศและคู่แข่งทางการเมืองและศาสนา)
จอมจักรพรรดินโปเลียน(Napoléon Bonaparte) 1769-1821
นโปเลียน โบนาปาร์ท เกิดเมื่อปี ค.ศ.1769 ในเกาะคอร์ซิกา ซึ่งเป็นเชื่อสายชาวอิตาลี แต่เขามีความเฉลียวฉลาดและทะเยอทะยาน เขาจบจากโรงเรียนทหารในฝรั่งเศสเมื่อปี 1785 หลัง จากเกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศสในปี 1789 เขาได้นำกอง ทัพเข้าสู่สงคราม และได้กลายเป็นวีรบุรุษของชาติ ในปี 1795 เขากลายเป็นหัวหน้าของรัฐบาลใหม่ ในปี 1804 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นจักรพรรดิ ปกครองยุโรปส่วนใหญ่ถึงเขตแดนของรัสเซีย ในปี 1821 เขา ได้ยกทัพบุกรัสเซียและไปถึงมอสโคว์ เขาถูกบังคับให้ยอมแพ้ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ และสูญเสียทหารเป็นส่วนใหญ่ ทหารพันธมิตรได้เคลื่อนทัพเข้าสู่ฝรั่งเศส ในปี 1814 เขาสละความเป็นจักรพรรดิแล้วหลบไปลี้ภัยอยู่ ที่เกาะเอลบา เขากลับมาในฐานะจักรพรรดิอีกครั้งในปี 1815 แต่พ่ายแพ้ศึกครั้งสุดท้ายที่วอเตอร์ลูใบเบลเยี่ยม เขาเสียชีวิตขณะที่ไปลี้ภัยที่เกาะเซ็นต์เฮเลนนา ในปี ค.ศ.1821
ก่อนสวรรคตจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้ทรงขอให้ฝังพระศพของพระองค์ไว้ริมฝั่งแม่น้ำแซน แต่เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1821 พระศพของพระองค์ได้ถูกปลงที่เกาะเซนต์เฮเลน่า สถานที่ที่พระองค์ใช้ชีวิตช่วง สุดท้ายในฐานะจักรพรรดิที่ถูกเนรเทศ และ หลังจากนั้นอีก 19 ปีต่อมา ค.ศ.1840 พระบรมอัฐิได้ถูกนำกลับมายังประเทศ ฝรั่งเศสด้วย การต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ และได้ถูกฝังไว้ที่สุสานแองวาลีดในกรุงปารีส โดยใส่ไว้ในโถที่ทำด้วยหินเนื้อดอก (อันเป็นของขวัญที่รัสเซียมอบให้แก่ฝรั่งเศส
เจ้าชายแห่งไรชตัดท์ (Herzog von Reichstadt)
พระโอรสคนเดียวของนโปเลียนเดิมถูกฝังที่กรุงเวียนนาร่วมพระราช บิดา แต่ภายหลังพระศพถูกขุด โดยคำสั่งฮิตเลอร์ เพื่อนำไปเป็นของขวัญแก่นายพลเปแตง ผู้แปรพักตร์ไปเข้าข้างนาซี
พระ เจ้าซาร์ นิโคลาสที่ 2 แห่งรัสเซีย(Tsar Nicholas II of Russia) 1868-1918
เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิ รัสเซีย กษัตริย์ของโปแลนด์ และแกรนด์ดยุกแห่งฟินแลนด์ เป็นพระโอรสของสมเด็จพระจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย แห่งราชวงศ์โรมานอฟ เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อ 1894 พระองค์ได้รับการกล่าวถึงว่าทรงเป็นจักรพรรดิที่อ่อนแอ ทรงไม่สามารถจัดการกับความไม่สงบภายในประเทศ โดยเฉพาะความพ่ายแพ้ในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นเมื่อ 1904-1905 และการที่ทรงบัญชาการรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ไม่ทรงสามารถควบคุมกองทัพได้ อันเป็นชนวนให้ประชาชนชาวรัสเซียไม่พอใจและก่อการประท้วง นอกจากนี้ยังทรงปล่อยให้รัสปูติน นักบวชนอกรีตมีอิทธิพลเหนือราชสำนัก ต่อมาคณะปฏิวัติบอลเชวิกได้บังคับให้ทรงสละราชสมบัติ ทรงถูกจำและถูกปลงพระชนม์อย่างทารุณพร้อมด้วยพระราชวงศ์หลายพระองค์
ในคืนของวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1918 พวกกองทัพแดงได้ใช้อาวุธปืนปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ นิโคลาสที่ 2 แห่งรัสเซีย รวมทั้งพระมเหสี พระโอรสและพระธิดาทุกพระองค์ดับดิ้นไปทั้งครอบครัวที่เมืองเทอรินเบอร์ก หลังจากนั้นศพที่เหล่าทหารแดงได้กระทำการข่มขื่นศพที่เป็นผู้หญิงอย่างบ้า คลั่ง และโยนพระศพทุกพระองค์ลงกองอยู่บนรถบรรทุกขนาดใหญ่ก่อนนำผ้าคลุมมาปิดกัน อุจาด
ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาแค่ 40 นาทีเท่า นั้น จากนั้นรถขนศพก็แล่นไปยังเหมืองร้างแห่งหนึ่ง ที่นั้นมีหลุมขนาดใหญ่ที่ขุดเตรียมไว้แล้ว ซึ่งพระศพของพระองค์ถูกโยนหลุมอย่างลวกๆ เพื่อรอการทำลายอีกครั้งหนึ่ง
วันรุ่งขึ้น กลุ่มทหารแดงอีกกลุ่มหนึ่งนำกรดกำมะถันมาราดบนพระศพเหล่านั้น จนกระทั้งปี ค.ศ. 1991 โครงกระดูกของพระศพทุกพระองค์ถูกค้นพบ แล้วจึงนำไปฝังอย่างสมเกียรติต่อไป
อัล เบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) 1879-1955
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎี ชาวเยอรมันเชื้อสายยิวที่มีสัญชาติสวิสและอเมริกัน (ตามลำดับ) ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขาเป็นผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ และมีส่วนร่วมในการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม สถิติกลศาสตร์ และจักรวาลวิทยา เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1921 จากการอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก และจาก "การทำประโยชน์แก่ฟิสิกส์ทฤษฎี"
ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่"อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์"ใช้ชีวิตโลดแล่นในหลายประเทศ สร้างสรรค์ผลงานทางวิทยาศาสตร์แสนอัศจรรย์และมีสีสันโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ เขายังคงถูกยกย่องให้เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อวิทยาศาสตร์ที่สุด ในยุคปัจจุบัน ทุกการสร้างสรรค์ของเขายังคงเป็นที่เคารพนับถือ ทั้งในความเชื่อในความสง่า ความงาม และความรู้แจ้งเห็นจริงในจักรวาล (คือแหล่งเสริมสร้างแรงบันดาลใจในวิทยาศาสตร์ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่) เป็นสูงสุด ความชาญฉลาดเชิงโครงสร้างของเขาแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบของจักรวาล ซึ่งงานเหล่านี้ถูกนำเสนอผ่านผลงานและหลักปรัชญาของเขา ในทุกวันนี้ ไอน์สไตน์ยังคงเป็นที่รู้จักดีในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังที่สุด ทั้งในวงการวิทยาศาสตร์และนอกวงการ
แม้ ไอน์สไตน์จะจากโลกนี้ไปนานนับครึ่งศตวรรษ แต่เรื่องราวชีวิต แนวคิดผลงานของเขาก็ยังดำเนินไปอย่างไม่จบสิ้นและแปลกประหลาดเกินกว่าที่ หลายคนจะคาดเดาได้
ไอน์สไตน์ เสียชีวิตในวันที่18 เมษายน1955ขณะมีอายุได้76ปี ด้วยโรคหัวใจ
ร่าง ของเขาถูกเผาตามพิธีการทางศาสนาโดยที่ไม่มีคนในครอบครัวตระหนักเลยว่ามัน สมองอัจฉริยะได้สูญหายไป!
มี ข่าวลือเป็นระยะว่าอวัยวะของเขากลายเป็นของสะสม เช่นพบลูกตาของไฮน์สไตน์ในขวดแก้วในห้องนรภัยแห่งหนึ่งในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ระบุว่าเป็นสมบัติของ ดร.เฮนรี่ เอบร้มส์
ถ้า ศพของจากของทฤษฏีสัมพัทธภาพถูกเผาเพียงแค่สองวัน แล้วไอ้ชิ้นส่วนต่างๆเหล่านี้ มันออกไปเดินเล่นข้างนอกอย่างไรกัน?
คำ ตอบก็คงอยู่ในห้องชันสูตรศพนั้นแหละ
โท มัส เอส ฮาร์วีแพทย์ผู้ทำการชันสูตรศพได้ลักลอบผ่าสมองของนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่เก็บ ไว้เพื่อการศึกษาแหล่งที่มาของอัจฉริยะ
หลัง จากแยกสมองออกจากศพแล้ว หมอฮาร์วีได้ทำการแบ่งสมองของไอน์สไตน์ออกเป็น240ชิ้น ดองด้วยตัวยาพิเศษและเก็บรักษาไว้ในขวดแก้ว2ขวดบาง ชิ้นส่วนของสมองถูกส่งไปให้นักวิจัยหรือผู้เชี่ยวชาญตามสาขาต่างๆแต่ส่วน ใหญ่นั้นหมอฮาร์วีเก็บเอาไว้เอง
ส่วน ลูกตาทั้งสองข้างเขาเอาเก็บไว้ดูเล่นโดยๆได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการของโรง พยาบาลด้วยสิ
ส่วน หัวใจ ตับไส้พุงนั้นกองอยู่ในถัง!
สิ่ง ที่หมอฮาร์วีปฏิบัติต่อศพของไอน์สไตน์นั้นก่อให้เกิดการวิจารณ์กันอย่างอื้อ ฉาวจนทำให้หมอฮาร์วีต้องอพยพโยกย้ายไปตามที่ต่างๆและหอบหิ้วมันสมองของ ไอน์สไตน์ติดตัวตามไปด้วย
จน กระทั้งปี1996หมอฮาร์ วีได้ย้ายกลับมาที่พรินสตันอีกครั้งหนึ่งและตัดสินใจมอบชิ้นส่วนสมองที่เขา รวบรวมไว้แก่ น.พ.เอเลียต คลอสหัวหน้าภาควิชาพยาธิวิทยา ที่โรงพยาบาลพรินสตัน
การ วิจัยค้นคว้าศึกษาความเป็นอัจฉริยะของไอน์สไตน์จึงเกิดขึ้นอีกครั้ง!
โดย นำชิ้นส่วนสมองทั้งหมดที่ถูกเก็บ ณ โรงพยาบาลพรินสตันมาถ่ายภาพและประกอบขึ้นเป็นรูปสามมิติจำลองรูปแบบเหมือน จริงดังกับว่ามันเพิ่งถูกผ่าแยกออกมาจากศพ
สิ่ง ที่ค้นพบก็คือสมองของไอน์สไตน์มีน้ำหนักเพียง1,230กรัมเท่านั้น
น้อย กว่าน้ำหนักสมองของมนุษย์โดยเฉลี่ยที่หนักถึง1,400กรัม
แต่ สิ่งที่ไอน์สไตน์ต่างจากมนุษย์ทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ ก็คือ"ความหนาแน่นของเซลส์ประสาทใน สมอง"ที่มีมากกว่าปกติหลายเท่า
ยิ่ง ไปกว่านั้น"สมอง ของไอน์สไตน์มีเพียงเส้นแบ่งตื้นๆระหว่างสมองข้างซ้ายและข้างขวา"ในขณะที่คน ธรรมดาจะมีรอยแยกชัดเจนระหว่างสมองทั้งสองข้างเผยให้เห็นถึงการรวมกัน อย่างกลมกลืนของสมองทั้งสองซีก
นัก วิจัยชี้ว่าลักษณะที่พิเศษของสมองแบบนี้อาจอธิบายได้ว่าทำไมไอน์สไตน์ถึงคิด อย่างที่เขาคิดบางทีวิธีคิดของไอน์สไตน์อาจไม่ผ่านกระบวนการที่ใช้คำบรรยาย แต่อาจผ่านจินตนาการต่างๆ ที่เขานึกถึงเสมือนว่ามองเห็นมันด้วยตาเปล่าก็ได้
ทำ ให้นึกถึงคำพูดของไอน์สไตน์ เมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ที่ว่า"จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" และ"ความรู้มีขอบเขตจำกัดแต่ จินตนาการไร้ขีดจำกัด" นั่นเอง
ปัจจุบัน นี้สมองของไอน์สไตน์ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีที่โรงพยาบาลพรินสตันที่เดียวกัน กับที่มันถูกขโมยไปเมื่อห้าสิบปีก่อน
บางส่วนจากหนังสือเรื่องประหลาดในราช สำนัก โดยผศ.ดร.บรรพต กำเนิดศิริ+ BODY{ background:url(http://image.dek-d.com/15/604393/14413924); background-attachment:fixed; } +
เครดิต :: http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=144