thairath
ประวัติศาสตร์ ของนักสู้ซามูไร เริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 11 เมื่อรัฐบาลฟูจิวาราขุนนางศักดินาอ่อนแอลง จึงไปขอความค้ำจุนจากมินาโมโตกับทาอิรา ซึ่งเป็นเผ่านักรบที่เข้มแข็ง หากทว่าทั้งสองเผ่านี้ก็ไม่ถูกกันและเกิดการปะทะกันเนืองๆ มิหนำซํ้ายังเป็นนักรบเถื่อนที่ไร้วินัย สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้าน ดังมีบันทึกหนึ่งจารึกไว้ว่า
"นักสู้หลายคนถือโอกาสทำการตาม ใจชอบโดยไม่กลัวเกรงกฎหมาย ซ่องสุมกำลังข่มขู่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองตลอดจนราษฎร ยํ่ายีลูกเมียชาวบ้าน ตีชิงเอาสัตว์เลี้ยงไปจากชาวไร่ชาวนา จนไม่อาจทำการเกษตรได้ เที่ยวเดินถือธนูและลูกศรเพ่นพ่านไปทั่วราวกับโจรร้าย"
เมื่อชาวบ้านไม่อาจพึ่งพาให้รัฐคุ้มครองได้ จึงสามัคคีกันจัดตั้งกองกำลังขึ้นรับมือ โดยรวบรวมจากเหล่าเพื่อนบ้าน และลูกหลาน แต่แรกนั้นก็เป็นกองกำลังเล็กๆ มีอาวุธตามมีตามเกิด เพราะตระกูลฟูจิวารา ผู้ปกครองประเทศ คอยกดดันอยู่ พวกชาวบ้านจึงหาทางออกอีกครั้ง ด้วยการไปขอพึ่งบารมีจากขุนนางที่มีอำนาจ ซึ่งเหล่าขุนนางก็พอใจ ที่มีกองกำลังมาสนับสนุน จึงเลี้ยงดูนักสู้เหล่านี้อย่างดี จนมีนักสู้เกิดขึ้นมากมายในนาม "ซามูไร" ซึ่งแปลว่า "ผู้รับสนอง"
นัก สู้ซามูไร จะรับใช้เจ้านายโดยตรงของตนแต่ผู้เดียวด้วยความจงรักภักดี กระทำตามคำบัญชาทุกประการโดยไม่มีการลังเลอิดเอื้อน ไม่มีสิ่งใดที่จะมาเป็นอุปสรรคกีดกั้นแม้แต่ความรักเมียหรือลูก เหนืออื่นใดก็คือความ ไม่กลัวเกรงต่อความตายในหน้าที่ต่อผู้เป็นเจ้านาย
ความเป็นอยู่ของซามูไร ก็ขึ้นอยู่กับฐานะของเจ้านายครับ ถ้านายรวย ซามูไรก็มีม้าขี่ มีเสื้อเกราะอย่างดีที่ทำด้วยเหล็กแถบแคบๆ ผูกเชื่อมติดกันด้วยเชือกหรือลวด มีอาวุธอันทรงอานุภาพ นั่นคือดาบยาวอันคมกริบ ซึ่งซามูไรจะกุมไว้ด้วยสองมือ ราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาวุธนี้ชาวบ้านที่มียศศักดิ์ตํ่ากว่า ซามูไรจะเอาไปใช้ไม่ได้นะครับ เป็นกฎข้อห้ามที่รู้กันทั่วไป
เมื่อ มีขุนนางเลี้ยงดู ชีวิตก็มั่นคง ชาวไร่ชาวนาจำนวนมากจึงวางคันไถ และเข้ามาฝึกฝนอาวุธและการยุทธ์ต่างๆ เพื่อสวามิภักดิ์ขอเป็นซามูไรรับใช้ กาลเวลาผ่านไปก็มีสิ่งอื่น ที่เพิ่มเติมเข้ามาในชีวิตซามูไร นอก เหนือไปจากดาบและเกราะ นั่นคือวิถีปฏิบัติตนแบบมีวินัย มีกฎภายใต้ชื่อ "บูชิโด" หรือ "วิถีแห่งนักสู้ (The Way Of The Warrior)" ซึ่ง ซามูไรจะยึดถือเคร่งครัดราวศาสนา สิ่งหนึ่งซึ่งนักสู้ซามูไรถือเป็นคติประจำใจก็คือ
การตายเยี่ยงวีรบุรุษในสงครามนั้น เป็นจุดหมายอันทรงเกียรติสูงสุด!
"ถ้าเจ้าคิดที่จะ รักษาชีวิตตนเอง เจ้าก็อย่าออกรบเสียเลยจะดีกว่า" นี่เป็นถ้อยคำที่ซามูไรทุกคนถูกอบรมมา
ถึงกระนั้นก็ตาม ใช่ว่าซามูไรจะละเลยในการรักษาชีวิตของตน ในการออกศึก ซามูไรจะแต่งองค์ ทรงเครื่องครบครัน เพื่อป้องกันอาวุธศัตรู ขั้นตอนการสวมใส่เสื้อเกราะนั้นพิถีพิถันมาก เริ่มแรกจะต้องใส่ชุดชั้นใน ซึ่งมีผ้าเตี่ยวแบบพิเศษ ชุดกิโมโนที่ทำด้วยผ้าลินินอย่างดี กางเกงทรงโปร่งขายาว จากนั้นจึงจะนำเสื้อเกราะเหล็กมาสวมทับ
แต่ สิ่งที่จะคุ้มครองชีวิตได้ดีนั้นก็คงอยู่ที่ฝีมือแหละครับ พวกเขาจึงต้องฝึกต่อสู้กันตลอดทั้งปี ฝึกออกกำลังอย่างหนัก เพื่อให้มีกล้ามเนื้อและพละกำลัง นอกจากจะต้องเก่งกาจในด้านธนูและดาบแล้ว เขาจะต้องทรหดอดทน สามารถ อดทนต่อความหิวโหย ใช้เท้าเปล่ายํ่าหิมะอันเย็นเยือกได้ไกลๆ โดยไม่ ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว
"ใน ยามที่ท้องของเขาว่างเปล่า มันจะน่าอับอายมาก หากเขาแสดงความหิวโหยให้เห็น"
การต่อสู้นั้นเป็นชีวิตของซามูไร เขาจึงต้องพร้อมอยู่เสมอที่จะจับอาวุธหรือสวมใส่เกราะด้วยความรวดเร็ว
มีตำนานซึ่งเล่าถึงเรื่องของนักสู้หนุ่มผู้หนึ่ง เขาได้ไปกราบกรานขอเป็นศิษย์ซามูไรอาวุโสระดับเกจิอาจารย์ แต่แม้จะฝึกฝนเท่าไรก็ไม่ค่อยคืบหน้า จนในวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังหุงข้าว อาจารย์ได้เข้ามาทางด้านหลังและเอาดาบไม้หวดเขาอย่างแรงจนร้องลั่น และหลังจากนั้น ทุกขณะที่เผลอตัว อาจารย์ก็จะเอาดาบหวดเขา ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน กระทั่งในที่สุด หนุ่มผู้ประสงค์จะเป็นซามูไร ก็เรียนรู้ในการที่จะระวังรักษาตัวในทุกวินาที และเขาก็ได้เป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง
"ซามูไรจะต้องอยู่และตายโดยมี ดาบอยู่ในมือ จงกล้าหาญและพร้อมรบในทุกสถานการณ์"
ใน การต่อสู้แบบตัวต่อตัวนั้น บางครั้งเมื่อสังหารคู่ต่อสู้แล้ว ซามูไรจะตัดหัวเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก (ในกรณีที่คู่ต่อสู้มี ศักดิ์ศรีเหนือกว่า) ด้วยเหตุนี้ นอกจากจะมีดาบยาวไว้สำหรับการต่อสู้แล้ว ซามูไรยังมีดาบสั้นไว้สำหรับการนี้ และซามูไรบางคนจะสวมใส่ปลอกคอพิเศษรอบคอ เพื่อกันไม่ให้ศัตรูตัดศีรษะของตน
หมวกเหล็ก (เฮลเม็ท) มีไว้ป้องกันอาวุธ ส่วนหน้า- กากเหล็ก จะออกแบบให้แลดูถมึงทึง ขู่ขวัญคู่ต่อสู้ ซามูไรบางคนจะเผาเครื่องหอม ในหมวกเฮลเม็ท เพื่อว่าเวลาถูกตัดหัว หัวของตนจะได้มีกลิ่นหอมติดไปด้วย
สำหรับกติกาทั่วไประหว่างซามูไรมีว่า ก่อน จะหํ้าหั่นกันนั้น ทั้งสองฝ่ายจะทำความเคารพกัน และแจ้งชื่อของตน ตลอดจนชื่อของบิดา มารดา รวมทั้งวีรกรรมที่ผ่านมาของตนว่า ได้ต่อสู้ชนะใครมาบ้าง พอสังเขป และหลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง ผู้ชนะจะกล่าวสรรเสริญความกล้าหาญของผู้แพ้... ก่อนจะตัดเอาหัวไป
ความ นิยมในนักรบซามูไรผู้เก่งกาจ และสุภาพเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งขุนนางยศสูงสุดทุกคน ต้องมีซามูไรไว้ประดับบารมี ในศตวรรษที่ 11-18 หรือประมาณ 700 ปีก่อนนั้น พระจักรพรรดิญี่ปุ่นมิได้มีอำนาจแต่อย่างใด ผู้ที่มีอิทธิพลในการปกครองประเทศ ก็คืออัครมหาเสนาบดีที่เรียกกัน ว่า "โชกุน" ด้วยเหตุนี้ เหล่านักรบซามูไรของโชกุนจึงพลอย มั่งมีศรีสุขในช่วงเวลาหลายร้อยปีนั้นด้วย
กระทั่งล่วงมาถึงราว ค.ศ.1840 อเมริกาและยุโรปเริ่ม แผ่ขยายการค้ามายังเอเชีย แต่ญี่ปุ่นไม่ยอมรับ อเมริกาจึงส่งเรือปืน 4 ลำ คุมโดยนายพลแม็ทธิว เปอร์รี่ มาบีบบังคับญี่ปุ่นที่อ่าวอูรากา ในการนี้ ซามูไรหลายพันคนได้มาเตรียมพร้อมต่อสู้ หากทว่าดาบ หรือจะสู้ปืนเรืออันทรงอานุภาพได้ ญี่ปุ่นจึงต้องยอมเปิดประเทศ
เมื่อ อารยธรรมตะวันตกขยายเข้ามา คนญี่ปุ่นก็เริ่มต้องการ ให้จักรพรรดิทรงมีอำนาจแท้จริง แทนที่จะเป็นหุ่นเชิดของโชกุน และมองเห็นซามูไรที่เดินถือดาบ กร่างไปมาบนถนนนั้นป่าเถื่อน แรงต่อต้านนี้เพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ จนในที่ สุดโชกุนก็ต้องลาออก และถวายอำนาจคืนสู่องค์จักรพรรดิในปี ค.ศ.1868
หลังจากนั้นในช่วงแรกๆ ก็ยังคงมีซามูไรเดินถนนให้เห็นอยู่ประปราย กระทั่งมีกฎหมายห้ามพกพาอาวุธในปี 1876 ซามูไรจึงต้องจบบทบาทไปโดยสิ้นเชิง หลายคนขอเข้าเป็นทหารในกองทัพ หลายคนต้องขายเสื้อเกราะและอาวุธให้นักท่องเที่ยวหรือนักค้าของเก่า
อย่าง ไรก็ตาม แม้ว่ากายภาพของนักสู้ซามูไรจะหายไป หากทว่าจิตวิญญาณ "บูชิโด" ยังคงมีอยู่ ในตัวของชายชาติญี่ปุ่นทุกคน และแสดงออกให้เห็นในวาระที่ประเทศชาติต้องการ ดังเช่นฝูงบินกามิ-กาเซ่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังกล่าวแล้ว
ความตายนั้นมิใช่สิ่งที่น่ากลัวแต่อย่างใด... สำหรับพวกเขา.