The Witch Hunts การล่าแม่มด

 

susarn

ปลาย เดือนตุลาคมของทุกปี ประเทศยุโรปจะมีเทศกาล ฮัลโลวีน (Halloween : เป็นเทศกาลชุมนุมนักบุญตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม) เทศกาลนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแม่มด เพราะเชื่อกันว่า ผู้ที่มาเคาะประตูขอขนม เล่นเกม จะโดนหลอกหรือให้ขนม (Trick or Treat) นั้นเป็นแม่มด ถ้าไล่ไปไม่ให้ขนม แม่มดจะดลบันดาลให้มีสิ่งร้ายเกิดขึ้น

ใน สายตาของเด็กๆทั่วไป แม่มดมีเพียงในนิทาน แต่ความจริงก็คือเรื่องราวประวัติศาสตร์ตะวันตก แม่มดจะถูกกวาดล้างและฆ่า การกวาดล้างไม่ได้ทำให้แม่มดหมดไป แต่กลับมีการฝึกฝนพลังแม่มดมากกว่าสมัยพุทธศตวรรษที่ 16-17 (คริสตศตวรรษที่ 13-14)ที่มีการคลั่งไคล้ และศรัทธาแม่มดเสียอีก

 


สัญลักษณ์ ของคุณไสย (witchcraft)

คริสตศตวรรษที่ 16-17 จำนวนแม่มดในสหรัฐอเมริกามีมากถึง 50,000 คน สหรัฐอเมริกาเป็นดินแดนที่ วิชาว่าด้วยคุณไสย (witchcraft ) เป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการ จำนวนแม่มดในออสเตรเลียและยุโรป อาจจะมีจำนวนมากพอๆ กัน ก็ได้ แต่ไม่เป็นที่เปิดเผย มีการเปิดสอนวิชาการแม่มดทางจดหมายซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมมากกว่า 40,000 คน ในสมัยก่อนผู้คนต่างเชื่อว่า การเจ็บป่วยและโชคร้ายนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเอง เชื่อกันว่าเกิดจากความตั้งใจของแม่มด แม่มดเป็นผลพวงของลัทธิป่าเถื่อน ใช้คุณไสยช่วยเหลือผู้คน รักษาโรค นำโชค แต่คุณไสยสามารถนำมาใช้ในทางไม่ดีได้ด้วย ในสังคมอัฟริกานั้นเชื่อว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นจากแม่มดทั้งสิ้น

ใน ซูดานและซาอีร์ เชื่อว่า การเป็นแม่มดนั้นเป็นคุณสมบัติที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ผู้ที่เป็นอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นแม่มด สังคมนี้เชื่อว่าความเจ็บป่วยเกิดจากเชื้อโรค ซึ่งตรงกับนิยามทางวิทยาศาสตร์ ผิดแต่เพียงว่า แม่มดเป็นผู้ควบคุม เชื้อโรคเพื่อสร้างความเจ็บปวดให้กับคนบางคนเท่านั้น

ภาพ ลักษณ์ของแม่มดในสังคมยุโรปนั้นไม่ค่อยชัดเจน แม่มดอาจจะเป็นผู้วิเศษที่ช่วยรักษาโรคและนำโชคดีมาให้ก็ได้ พวกเขาจะรักษาโรคโดยใช้ความรู้ทางยาและสมุนไพรประกอบกับเวทมนตร์คาถา ภาษา ละติน และฮิบรู ที่โดยมากสืบทอดมาจากพวกเคลต์ (Celtic : ชาติวงศ์เมื่อพันกว่าปีของยุโรปกลางและยุโรปตะวันตก) นอกจากคุณไสยจะถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคแล้ว ยังอาจนำไปใช้ในการสาปแช่ง และทำเสน่ห์ได้ด้วย บุคคลใดเชื่อว่าตนถูกสาป จะต้องไปหาแม่มดเพื่อแก้คำสาปนั้น

 


ภาพ วาดของพี่น้องลิมเบอร์ก ต่อภาพลักาณ์ของปีศาจ

เรื่อง ของคุณไสยและเรื่องเหนือธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนในยุคกลาง แม้ในศาสนาคริสต์พลังเหนือธรรมชาติถูกแสดงได้โดยพระเจ้าเท่านั้น

เรื่อง ราวของการต่อต้านแม่มดและการใช้คุณไสยเริ่มมีขึ้นก่อนยุคกลาง มีผู้วิเศษออกมากล่าวหาว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้ต่างอะไรกับผู้วิเศษคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจสูงสุดอย่างองค์กรทางศาสนาอ้าง ตั้งแต่นั้นมาองค์การศาสนาก็ทำการต่อต้านผู้วิเศษรวมทั้งแม่มด ฐานแสดงความขัดแย้งต่อพลังอำนาจของพระเจ้า พ.ศ. 2027 (ค.ศ.1484) องค์กรทางศาสนาโรมันคาทอลิก ประกาศว่า ผู้ใดก็ตามที่ไม่ไช่สมาชิกของศาสนาแต่ปฏิบัติพิธีกรรม การใช้เวทมนตร์ คาถา และมีพลังเหนือธรรมชาติ ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับซาตานและปีศาจ พลังที่ได้มาไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่ได้มาจากซาตานและปีศาจ องค์กรศาสนาพยามเผยแพร่ศัตรูของพระเจ้าและสร้างภาพลักษณ์ให้ชัดเจน


การ ทรมานแม่มดในช่วงศตวรรษที่ 16 ในเยอรมัน

ใน ช่วงปลายยุคกลาง ปีศาจเริ่มมีรูปร่างชัดเจนมากขึ้น โดยเห็นได้จาก ภาพ วาดของพี่น้องลิมเบอร์ก(Limbourg) แสดงให้เห็นว่า ปีศาจนั้น มีเขา มีหาง มีเท้าเป็นกีบ ปีศาจอาจจะออกมาในรูปลักษณ์อื่นเพื่อหลอกลวง แม่มด ถือว่าเป็นผู้หนึ่งที่ยอมรับและลุ่มหลงในพลังอำนาจของปีศาจ และถือว่าเป็นสาวกของมัน นั่นเป็นเหตุให้มีการล่าและกำจัดแม่มดในเวลาต่อมา

ในปี พ.ศ. 2133 (ค.ศ.1590) พระเจ้าเจมส์ ที่ 6 แห่งสก็อต ได้รับทราบแผนลอบปลงพระชนม์ที่ เอิร์ล แห่งโบธเวลล์ (Bothwell) เป็นผู้วางแผนโดยใช้คุณไสยของแม่มดเป็นเครื่องมือ พระเจ้าเจมส์มีความเชื่อในอำนาจของปีศาจอยู่แล้ว จึงสืบสวนแม่มดฐานเป็นกบฏ แอกเนส ซิมพ์สัน (Agnes Simpson) หัวหน้าแม่มดถูกนำมาพิจารณาคดีที่ นอร์ธ เบอร์วิก(North Berwick)

 


การ ถูกเผาทั้งเป็นของ แอกเนส ซิมพ์สัน หัวหน้าแม่มดที่ นอร์ธ เบอร์วิก(North Berwick) เป็นจุดเริ่มของการล่าแม่มด

หลัง จากถูกทรมาน แอกเนสสารภาพถึงกรรมวิธีต่างๆที่ใช้เพื่อพยายามปลงประชนม์แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากพระเจ้าเจมส์ ทรงเป็นสาวกของพระผู้เป็นเจ้า เป็นผลให้พลังอำนาจของปีศาจไม่สามารถทำอันตรายต่อพระองค์ได้ จากคำสารภาพ ทำให้เหล่าแม่มดมีความผิดจริง จึงถูกประหารโดยการ เผาที่ เอดิน เบิร์ก (Edinberg) ส่วน เอิร์ล แห่ง โบธเวลล์ ผู้เป็นราชนัดดาที่ก่อการทั้งหมดได้ลี้ภัยไปอยู่ประเทศชิลี

เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นที่ นอร์ธ เบอร์วิก เป็นจุดเริ่มต้นของการล่าแม่มด แม่มดกลายเป็นคนชั่วร้าย สมควรแก่การล่า สังหารโดยการแขวนคอหรือเผาทั้งเป็น นักประพันธ์ผ็ยิ่งใหญ่อย่างวิลเลียม เชกส์เปียร์ (William Shakespeare) ก็ได้นำเหตุการณ์ที่ นอร์ธ เบอร์วิก มาเขียนเป็นละครและจัดแสดงต่อหน้าพระพักตร์ที่พระราชวัง แฮมพ์ตัน (Hamton) เนื้อหาของละครเป็นไปตามเหตุการณ์จริงที่แอกเนสสารภาพ



พระ เจ้าเจมส์ ที่ 6 แห่งสก็อต ทรงบัญชาการล่าแม่มดตัวการลอบปลงพระชนม์

ใน ปี พ.ศ. 2029 (ค.ศ.1486) มีการพิมพ์คู่มือพฤติกรรมแม่มด เพื่อช่วยในการจับและล่า ในคู่มือจะบอกว่า ส่วนใหญ่แม่มดจะเป็นผู้หญิง เพราะผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย จึงถูกปีศาจหลอกได้ง่ายกว่า วิธีที่จะทำให้แม่มดยอมรับสารภาพคือ การทรมานโดยวิธีต่างๆ เช่น การตอกเล็บหรือการทรมานอื่นๆ บางคนต้องยอมรับสารภาพเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว

บาง สมัยมีการสังหารหมู่เหล่าแม่มดในคราวเดียวถึง 600-900 คน วันหนึ่งๆมีผู้หญิงที่ต้องตายเนื่องจากการล่าแม่มดนับพันคน มีตัวอย่างในสมัยพระเจ้าโยฮันจอร์จที่ 2 (Gohannes Georg II ) แห่งเยอรมัน โย ฮันเนส จูนิอุส ไม่เห็นด้วยสำหรับการสร้างโรงสำหรับทรมานแม่มดโดยเฉพาะ เขาจึงถูกจองจำและกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ในที่สุดก็ต้องยอมรับสารภาพและเสียชีวิตเพราะทนรับการทรมานไม่ไหว

 


การ พิจารณาคดีเกี่ยวกับแม่มด

ไม่มีหลักฐาน แน่ชัดว่า เพราะสาเหตุใดความเชื่อเกี่ยวกับการล่าแม่มดและแม่มดเสื่อมสลายไป อาจจะเป็นไปได้ว่า ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ในพุทธศตวรรษที่ 23 (คริสตศตวรรษที่19) ได้เบี่ยงเบนความสนใจเรื่องลึกลับไป หลังจากนั้นแม่มดไม่ค่อยเป็นที่พบเห็น มีเพียงคนทรงและผู้วิเศษ ที่ยังพบเห็นกันอยู่ ในพุทธศตวรรษที่ 21-22 (คริสตศตวรรษที่ 17-18)

ที่มา : อาณาจักรเรื่องลี้ลับ ,บัวแก้ว ไชยหลวงผา : บก.เรียบเรียง

Credit: http://www.artsmen.net/
#การล่าแม่มด
Messenger56
ผู้กำกับภาพ
สมาชิก VIPสมาชิก VIP
13 มิ.ย. 53 เวลา 14:41 3,146 3 20
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...