ktt
คน เราเกิดเหมือนกัน ตายเหมือนกัน แต่ก็เกิดต่างกัน ตายต่างกัน
ในความ อัจฉริยะก็มีความพิลั่น โมสาร์ทเป็นเช่นนั้น
ใน ความเจ็บปวดก็มีความเข้มแข็ง พระนางมารี อังตัวเนตต์ ก็เป็นเช่นนั้น
โม สาร์ทเป็นชาวออสเตรีย เกิดที่เมืองซาลเบร์กในปี ค.ศ.1756 มีชีวิตอยู่จนถึงปี ค.ศ.1791 มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีโดยกำเนิด และโชคดีตรงที่เกิดในครอบครัวที่มีพ่อเป็นนักดนตรี จึงเข้าใจและสนับสนุนได้ถูกจุด ครั้งหนึ่งมีการแสดงดนตรีที่บ้าน โมสาร์ทร่วมเล่นไวโอลินไปด้วยเบาๆ แต่เมื่อเพลงเริ่มดำเนินไปได้สักครู่เท่านั้น ความประหลาดใจก็ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน โมสาร์ทเล่นไวโอลินได้อย่าง น่ามหัศจรรย์
จน ทุกคนต้องพากันหยุดเล่น ได้แต่มองหน้ากันอย่างทึ่งๆ และปล่อยให้โมสาร์ทเล่นไปเพียงคนเดียวจนจบเพลง ความสามารถที่โดดเด่นในครั้งนั้น ทำให้พ่อของโมสาร์ทตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะปั้นลูกชายให้เป็นนัก ไวโอลินเอกของโลกให้ได้ พ่อของโมสาร์ทคิดไม่ผิด
เพราะเวลาต่อมาชื่อเสียง ของโมสาร์ท เป็นที่รู้จักไปทั่วยุโรป เขาได้รับการต้อนรับจากผู้คนมากมาย และได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระนางมารี เทเรซ่า แห่งออสเตรีย ซึ่งการเข้าเฝ้าครั้งนั้นทำให้ได้พบกับพระราชธิดาของพระนาง พระราชธิดาพระองค์นั้นต่อมาได้กลายเป็นสตรีผู้ยิ่งใหญ่ของโลก นั่นคือพระนางมารี อังตัวเนตต์ แต่ใครจะรู้ว่าโมสาร์ทในตอนนั้นได้ให้สัญญาไว้กับพระราชธิดาว่า จะกลับมาแต่งงานด้วยเมื่อเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก
บัด นี้โมสาร์ท เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกแล้ว แต่ก็มิได้แต่งงานกับพระนางมารี อังตัวเนตต์ ดังที่เคยพูดไว้
ใครหลายคนเคยบอกไว้ว่าการพบกันครั้งนั้นของโมสาร์ทกับพระนางมารี อังตัวเนตต์ มีบางสิ่งที่บ่งบอกว่าทั้งคู่จะมีทางเดินและจุดจบที่เจ็บปวดเช่นเดียวกัน สภาวะมึนตึงต่อเนื่องจากสงครามระหว่างฝรั่งเศสกับออสเตรีย เจ้าหญิงมารี อังตัวเนตต์ ซึ่งมีอายุเพียง 13 พรรษา จึงต้องเข้าอภิเษกสมรสกับ เจ้าชายหลุยส์ที่ 16 เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ
ส่วน โมสาร์ทก็ออกเดินทางแสดงดนตรีเก็บเกี่ยวชื่อเสียงไปเรื่อยๆ ร่ำรวยความสำเร็จ และประพันธ์เพลงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ใช้ชีวิตสนุกสนานเสเพล ต่างจากมารี อังตัวเนตต์ ทรงใช้เวลารอคอยความเป็นสามีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถึงเจ็ดปีเต็มด้วยความกระวนกระวายแทบจะเป็นประสาท รวมทั้งผู้คนที่คอยจับจ้องแต่จะโจมตีอยู่ตลอดเวลา ทำให้มารี อังตัวเนตต์ เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
มา รี อังตัวเนตต์ ด้วยวัยเพียง 19 พรรษา ได้กลายเป็นพระราชินีของฝรั่งเศส พฤติกรรมก็ทรงเปลี่ยนไปมากยิ่งขึ้น แม้ว่าพระนางมารี เทเรซ่า จะทรงตักเตือนสักเพียงใด ทรงมีความเกียจคร้าน และใช้จ่ายเงินอย่างมือเติบ โดยเฉพาะทรงผมที่แปลกประหลาดสูงจากศีรษะถึง 36 นิ้ว เป็นที่ร่ำลือไปทั่ว และบัดนี้ พระราชินีมารี อังตัวเนตต์ ไม่ได้บรรทมห้องเดียวกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แล้ว และยังทรงเรียกพระสวามีว่า "ชายผู้น่าสงสาร”
ในขณะเดียวกันโมสาร์ท เริ่มเสื่อมความนิยม ชีวิตตกต่ำลงเรื่อยๆ ลูกศิษย์ลูกหาที่เคยมาห้อมล้อมก็หนีหายไปทีละคนสองคน และจากการที่แม่ของเขาก็เสียชีวิตลง สร้างความเศร้าเสียใจให้ โมสาร์ทเป็นอย่างมาก ทั้งยังเจอมรสุมทางด้านการเงิน จนต้องกู้หนี้ยืมเงินมาประทังชีวิต พฤติกรรมของเขาก็เริ่มแปลกแยกขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะไม่หลงเหลือร่องรอยของความอัจฉริยะ
ในช่วงที่ เศรษฐกิจของฝรั่งเศสย่ำแย่ เงินในท้องพระคลังไม่เพียงพอจึงไปรีดไถเก็บภาษีจากราษฎร ครั้งหนึ่งมีชาวนาผู้อดอยากแห่กันมายังพระราชวังแวร์ซายส์เพื่อทูลขอเศษขนม ปัง พระราชินี มารี อังตัวเนตต์ ทรงเสด็จออกมาที่หน้ามุขและตรัสกับประชาชนของพระนางว่า
"จง กินหญ้าไปก่อนซิท่าน”
มารี อังตัวเนตต์ คือผู้ที่นำยุคมืดและการปฏิวัติมาสู่ฝรั่งเศส แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ก็ยังทรงมีกำลังพระทัยจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ทรงเป็นเพื่อนยาม ยากของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จนถูกประหารด้วยกิโยติน
บัด นี้เหลือพระนางเพียงพระองค์เดียว มารี อังตัวเนตต์ ผู้เลอโฉม เคยแต่ทรงแต่งพระองค์งดงามหรูหรา ประดับเพชรนิลจินดาแพรวพราวทั่วทั้งพระวรกาย บัดนี้สิ่งเหล่านั้นได้ส่งคืนไปยังประชาชนชาวฝรั่งเศสแล้ว เหลือเพียงฉลองพระองค์ด้วยผ้าลินินสีขาวแบบชาวนา มือทั้งสองข้างถูกมัดไขว้หลัง ผมที่เคยยาวสลวยถูกตัดเหลือเพียงไหล่ ท่ามกลางชาวฝรั่งเศสที่โห่ร้องและปาเศษข้าวโพดใส่ เชิดหน้านิ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน "เมื่อไหร่ลูกจะเป็นตัวของตัวเอง สักที! ” นานมาแล้วที่พระนางมารี เทเรซ่า เคยตรัสถามพระธิดาของพระองค์ เช่นนี้
"เดี๋ยว นี้!!!” มารี อังตัวเนตต์ ตะโกนตอบ ก่อนที่คมมีดของกิโยตินจะฟาดฉับลงมาที่คอ จนกระเด็นหล่นลงไปในตะกร้าที่วางรอรับอยู่พอดี
ก่อน หน้านั้น โมสาร์ท ผู้กำลังป่วยหนักด้วยโรคไข้ไทฟอยด์ มีหนี้สินรุงรัง ประสบกับความอดอยากและหนาวเย็นทางจิตใจ กำลังพยายามแต่งเพลง Requiem (เป็นเพลงเกี่ยวกับงานศพ) แต่ยังไม่ทันที่จะแต่งจบก็ต้องจบชีวิตลงก่อนด้วยความทุกข์ทรมานจากพิษไข้
ถึง จะเคยขึ้นสู่จุดสูงสุด แม้แต่กษัตริย์ก็ยังก้มหัวให้ บัดนี้เหลือเพียงร่างกายที่เปื่อยผุพังอย่างอนาถา เงินที่จะทำศพก็ยังไม่มี ไร้ญาติขาดมิตร ทุกคนต่างหนีจาก ขณะที่นำศพของเขาไปฝัง เกิดพายุฝนอย่างรุนแรง หิมะและลูกเห็บตกลงมาอย่างหนัก จนทำให้คนที่เดินติดตามมาต้องยอมแพ้ ปล่อยให้สัปเหร่อสองสามคน จัดการกันเอง ณ ป่าช้าสำหรับคนอนาถา
โดยไม่ได้ทำสัญลักษณ์ใดเอาไว้เลย ทำให้เมื่อกลับไปเพื่อขุดศพขึ้นมาทำพิธีและสร้างสุสานเป็นที่ระลึกจึงไม่ สามารถหาเจอ จนแม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถทราบได้ว่าจุดฝังศพที่แน่นอนของโมสาร์ ทนั้นอยู่ที่ใดกันแน่
คีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ในโลกที่แปลกแยก
สตรีผู้สูง ศักดิ์กับจุดจบที่ต้อยต่ำ
..............................................
เรียบเรียงจาก เล่าเรื่องเมืองยุโรป 2 โดยคุณชาลี