เรื่องราวแปลกๆน่าสนใจรอบโลก

เรื่อง แรก



The Mary Celeste

จน ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้แน่นอนว่ามีอะไรเกิดขึ้นบนเรือแมรี่เซเลสเต้ ปริศนาทุกอย่างยังคงอยู่ในเงามืดพร้อมกับคน 10 คนที่หายสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอย

เรือแมรี่เซเลสเต้เป็นเรือสัญชาติ อเมริกาขนาด 103 ฟุต 282 ตัน เดิมเป็นเรืออเมซอนซึ่งถูกสร้างในปี 1861 และในปี 1869 ก็ถูกปรับปรุงและเปลี่ยนชื่อเป็นแมรี่เซเลสเต้

วันที่ 7 พฤศจิกายน 1872 เรือแมรี่เซเลสเต้ออกเดินทางจากนิวยอร์คมุ่งไปยังเจนัว ประเทศอิตาลี ภายในเรือบรรทุกเอทิลแอลกอฮอล 1,701 บาร์เรล บังคับการเดินเรือโดยกัปตันเบนจามิน บริกก์ส และลูกเรือ 7 คน มีผู้โดยสาร 2 คนคือภรรยาและบุตรสาววัย 2 ปีของกัปตันบริกก์ส

วันที่ 4 ธันวาคม ปีเดียวกัน เรือ Dei Gratia พบแมรี่เซเลสเต้ลอยลำอยู่ในอ่าวโปรตุเกส หลังจากทำการสังเกตุการณ์เป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้วก็ลงความเห็นว่าอาจจมีเหตุฉุกเฉินบนเรือแมรี่เซเลสเต้ แม้ว่าจะไม่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือ กัปตันเรือ Dei Gratia ได้ส่งเรือเล็กพร้อมลูกเรือจำนวนหนึ่งไปยังแมรี่เซเลสเต้ แต่เมื่อไปถึง กลับไม่มีใครอยู่บนเรือเลย คนทั้ง 10 คนหายสาปสูญไปราวกับละลายไปในอากาศ

ตาม รายงานกล่าวว่า เรือเปียกทั้งลำ แต่ยังอยู่ในสภาพที่เดินเรือได้ นาฬิกาไม่ทำงานและเข็มทิศถูกทำลาย หากสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือ ทุกอย่างบนเรืออยู่ในสภาพที่ราวกับว่าเพิ่งมีคนอยู่ที่นั่นจนเมื่อครู่ และพวกเขาพากันจากไปอย่างเร่งร้อน ขนมปังและจานซุปยังวางอยู่บนโต๊ะ (บางข่าวบอกว่าซุปยังร้อนอยู่ด้วยซ้ำ) ไปป์ถูกวางไว้รอจุดไฟ รองเท้าบู้ธถูกวางทิ้งทั้งๆที่ยังขัดค้างไว้อยู่

มีรอยเลือดเหลือ อยู่บนราวรั้วของเรือ และมีการพบดาบเปื้อนเลือดใต้เตียงนอนของกัปตัน บันทึกเดินเรือถูกฉีกขาดไปหลายหน้า แต่ก็ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นว่าคนทั้ง 10 หายไปไหนและก็ไม่มีใครได้เห็นพวกเขาอีกเลยจริงๆ

มีการสันนิษฐานไป ต่างๆนานาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นบนแมรี่เซเลสเต้ บ้างก็ว่าเพราะเจอสัตว์ประหลาดปลาหมึกยักษ์ บ้างก็ว่าเพราะไอระเหยของเอธิลแอลกอฮอลทำให้พวกเขาเห็นภาพลวงตา บ้างก็ว่าเพราะอาหารที่เก็บไว้นานจนเกิดสารพิษ
นอกจากนี้เซอร์อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ ได้นำเรื่องของแมรี่เซเลสเต้ไปดัดแปลงเขียนเป็นเรื่องสั้น โดยเปลี่ยนชื่อเรือเป็น Marie Celeste

หลังจากเหตุการณ์ในปี 1872 แล้ว แมรี่เซเลสเต้ยังออกทะเลอีก 12 ปีก่อนจะถูกจมทิ้งเพื่อหวังเงินประกัน ในปี 2001 ซากของเธอถูกกู้ขึ้นมาโดยการสนับสนุนจากนักเขียน ไครบ์ คัสเลอร์ และจอนห์ เดบิส ผู้กำกับชาวแคนาดา

 

James Bulger Murder เมื่อเด็กฆ่าเด็ก

 

 

ปัจจุบันนี้ อังกฤษได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญเรื่องกล้องรักษาความปลอดภัยมาก ที่สุดในโลกก็ว่าได้ ในปี 2002 ลอนดอนมีกล้องรักษาความปลอดภัยติดตั้งอยู่ถึงสี่หมื่นตัวเลยทีเดียว
กล่าว กันว่าการติดตั้งกล้อง 49 ตัวที่ถนนบอนมาสเมื่อปี 1985 เป็นการเริ่มต้นของจำนวนกล้องอันมหาศาลนี้ แต่สิ่งที่กลายมาเป็นแรงผลักดันเพิ่มจำนวนกล้องในประเทศอังกฤษโดยความจริง แล้วคือการตายของเด็กคนหนึ่ง เจมส์ บัลเกอร์ เขามีอายุเพียง 2 ปี 11 เดือนในตอนที่เขาถูกกระทำให้หายจากโลกนี้ไป สั้นจนน่าใจหาย และน่าใจหายยิ่งขึ้นเมื่อรู้ถึงรูปคดีทั้งหมด



James Patrick Bulger (March 16, 1990 ~ Febuary 12, 1993)

เจมส์ เป็นลูกคนที่สองของเดนิส บัลเกอร์ เธอเสียลูกคนแรกไประหว่างการตั้งครรภ์จึงรักลูกชายคนนี้สุดหัวใจ เจมส์กำลังจะอายุครบ 3 ขวบในเดือนหน้าเมื่อคุณแม่พาเขาไปซื้อของที่ห้างแห่งหนึ่งในลิเวอร์พูล
เด นิสเข้าไปในร้านขายเนื้อ ปล่อยให้เจมส์เล่นอยู่หน้าบู้ทขายบุหรี่เพียงไม่กี่นาที ก่อนจะออกมาและพบว่าเขาหายตัวไป
เดนิสแจ้งทางห้างให้ประกาศหาก่อนจะแจ้ง ตำรวจ คดีของเจมส์ถูกแจ้งความเป็นคดีเด็กหายในเย็นวันนั้นและลงข่าวในหนังสือพิมพ์ ฉบับเย็น ทางห้างได้มีการตรวจวีดีโอบันทึกภาพจากกล้องรักษาความปลอดภัยและในที่สุดก็ พบเจมส์อยู่ในวีดีโอพร้อมกับเด็กชายแปลกหน้า 2 คน ภาพนี้เองที่เป็นหลักฐานมัดตัวคนร้ายในเวลาถัดมา



ในภาพ คุณจะเห็นเด็กเล็ก (เจมส์) ถูกจูงมือโดยเด็กชายวัย 10 ปีคนหนึ่ง และยังมีเด็กชายรุ่นเดียวกันอีกคนหนึ่งเดินนำอยู่ข้างหน้า ทั้งสามดูเหมือนกับพี่น้องที่สนิทสนมกัน ไม่มีใครรู้เลยว่านี่จะเป็นภาพสุดท้ายที่บันทึกเจมส์ไว้ขณะที่เขายังมีชีวิต อยู่

วันอาทิตย์อีก 2 วันให้หลังจากที่เจมส์หายไป เด็ก 4 คนพบศพของเจมส์บนรางรถไฟ
ศพของเจมส์นั้นท่อนล่างเปลือยเปล่า การชันสูตรตรวจพบว่าคนร้ายฉีดสีสเปรย์ใส่ตาของเจมส์มีรอยพกช้ำจากการถูกทุบ ตีด้วยมือเท้า ท่อนเหล็กและก้อนหินกว่า 42 แผลทั้งบนศีรษะและร่างกาย กระโหลกศีรษะแตก ริมฝีปากฉีกขาดเป็นแนวยาวแต่นั่นก็ยังไม่ใช่สาเหตุการตายของเขาร่างของเขา ขาดเป็นสองท่อนจากกลางลำตัวเนื่องจากถูกวางไว้บนรางรถไฟให้รถไฟทับในขณะที่ เขายังมีชีวิตอยู่

จากรูปในวีดีโอและคำให้การของผู้เห็นเหตุการณ์ใน วันเกิดเหตุ จอน เวนาเบิ้ล และโรเบิร์ต ทอมป์สันถูกจับในฐานะผู้ต้องสงสัย ในขณะเกิดคดีนี้ ทั้งสองมีอายุ 11 ปี


จอน (ซ้าย) และโรเบิร์ต (ขวา)

เด็กทั้งสองคนมีคดีขโมยของในร้านติดตัวอยู่แล้ว ต่างก็มาจากครอบครัวที่มีปัญหาและมีการรายงานว่ามีการใช้กำลังกับเด็กในทั้ง สองครอบครัว
จอนและโรเบิร์ตซึ่งถูกจับกุมต่างก็แกล้งทำเป็นร้องไห้โวยวาย ทำเป็นไม่รู้เรื่อง หรือบางทีก็ปิดปากเงียบโดยไม่มีการยอมรับความผิดของตัวเองทั้งสองกลับคำให้ การซ้ำแล้วซ้ำอีก กระทั่งป้ายความผิดให้กับอีกฝ่าย จนกระทั่งเวลานี้ คดีก็ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าคนต้นคิดและคนลงมือฆ่าเจมส์เป็นคนไหนในสองคนนี้ กันแน่

โดยทั่วไปแล้วคดีที่มีคนร้ายเป็นผู้เยาว์จะถูกตัดสินโดยศาล ครอบครัว และคนร้ายจะถูกปิดบังชื่อจริงและหน้าตาไว้ แต่ด้วยความโหดร้ายอย่างไร้สามัญสำนึกของคดีนี้ นอกจากทั้งสองจะถูกตัดสินด้วยศาลอาญาแล้ว ชื่อจริงและรูปของจอนกับโรเบิร์ตจึงถูกประกาศออกสู่สาธารณะ (การที่ใช่ชื่อของเด็กผู้ตายเป็นชื่อคดีก็เป็นเครื่องชี้ลักษณะอีกอย่างของ คดีนี้เช่นกัน) ในเวลานั้นจึงมีการจับตาว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกฏหมายอาญาของอังกฤษและเด็กคน ร้ายทั้งสองจะได้รับโทษหนักกว่าคดีเยาวชนที่ผ่านมา (มีเสียงเรียกร้องให้ลงโทษประหารด้วย)

ท้ายที่สุด เนื่องจากกฏหมายอังกฤษจำกัดความรับผิดชอบของผู้เยาว์ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 10 ปีไว้เพียงระดับหนึ่ง เด็กทั้งสองจึงถูกสั่งจำคุก 8 ปี (มีการเปลี่ยนเป็น 15 ปีแต่ก็ลดกลับมาเท่าเดิมอีก) หลังจากปล่อยตัวแล้วทั้งสองจะได้รับชื่อใหม่ (เพราะชื่อจริงโดนออกข่าวไปแล้ว) ต้องไปรายงานตัวทุกอาทิตย์และห้ามเข้าใกล้ลิเวอร์พูลในรัศมี 50 กิโลเมตรจนตลอดชีวิต
ทั้งสองถูกปล่อยตัวออกมาแล้วเมื่อปี 2001

โทษนี้สมตัวแล้วรึเปล่า นานาจิตตังค่ะ แต่ลองมาฟังคำให้การเกี่ยวกับเหตุผลที่พวกเขาฆ่าเจมส์กันเถอะ

"I just want to do it"

 




The Pied Piper of Hamelin

ในปี 1284เมืองฮาเมลินในเกิดมีฝูงหนูแพร่พันธุ์เป็นจำนวนมาก ชาวเมืองต่างก็เดือดร้อนเนื่องจากหนู่เหล่านี้นอกจากจะกัดแทะเสบียงอาหาร แล้ว พวกมันยังเป็นพาหะนำโรคร้ายมาอีกด้วย แม้แต่แมวก็ยังต้องหนีเพราะหนูซึ่งมีจำนวนมากมายนั้นถึงกับเข้ามารุมทำร้าย แมวเสียด้วยซ้ำ
บรรดาชาวเมืองจึงพากันออกเงินรวมกันก้อนหนึ่งเพื่อให้ เป็นรางวัลแก่ผู้ที่จะมาปราบหนูเหล่านี้ได้ ในยามนี้เองที่ปรากฏชายลึกลับผู้หนึ่งเสนอตัวจะปราบหนูขึ้นมา ชาวเมืองก็ให้คำสัญญาว่าจะให้สิ่งตอบแทนใดๆก็ได้ตามที่เขาต้องการ



เมื่อ ตกลงกับชาวเมืองเรียบร้อย ชายลึกลับก็หยิบปี่ถุงออกมาและเป่าพร้อมกับออกเดินไป ท่ามกลางสายตาสงสัยของชาวเมืองนั้นเอง หนูก็พากันวิ่งออกมา
หนูทั้งหลาย จากทั่วมุมเมืองพากันเดินตามหลังชายเป่าปี่ไปราวกับหลงไหลในเสียงเพลงของเขา และเมื่อไปถึงแม่น้ำเวเซอร์ซึ่งอยู่ใกล้เมือง ชายนักเป่าปี่ก็หยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ ในขณะที่ฝูงหนูพากันกระโจนลงน้ำไปเรื่อยๆ จนในไม่ช้าก็ไม่มีหนูเหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว

ชายนักเป่าปี่กลับมาใน เมืองและเรียกร้องของค่าจ้างของตัวเอง หากชาวเมืองที่นึกเสียดายเงินขึ้นมาจึงปฏิเสธโดยกล่าวว่า"นักเป่าปี่ไม่ได้ ทำอะไรเสียหน่อย พวกหนูกระโดดลงน้ำไปเองต่างหาก"และยังขู่จะจับขังนักเป่าปี่อีกด้วยถ้าเขา ยังมามัวตื๊ออยู่

นักเป่าปี่โกรธแค้นและกล่าวทิ้งท้ายว่า"พวกคุณต้อง รักษาสัญญา ฉันจะเอาสิ่งสำคัญที่สุดของพวกคุณไป" หากไม่มีใครสนใจ ยังกลับหัวเราะเยาะเขาเสียอีก

และในวันที่ 26 มิถุนายน 1284 นักเป่าปี่กลับมายังเมืองฮาเมลินอีกครั้ง เขาเริ่มเป่าปี่บนถนน และทันใดนั้นเอง เด็กๆที่มีอายุมากกว่า 4 ปีต่างก็มารวมกันและเดินตามเขาไปจนในไม่ช่าเด็กชายหญิงจำนวนกว่า 130 คนต่างก็เต้นรำร้องเพลงตามทำนองของเสียงปี่ออกไปนอกเมือง และไม่มีใครได้เห็นพวกเขาอีกเลย

ไม่ว่าชาวเมืองจะโศกเศร้าเสียใจและ พยายามค้นหาเด็กๆเหล่านั้นเช่นไร เด็กที่หายไปและชายนักเป่าปี่ก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ฮาเมลินอีกเป็นครั้ง ที่สอง



อย่างที่เห็นข้างต้นค่ะ นิทานเรื่องนี้ คาดว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักล่ะ แต่บล๊อกนี้ไม่มีทางจะมานั่งเล่านิทานโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยค่ะ คราวนี้เราจะมาพูดถึงเมืองฮาเมลิน (Hamelin หรือHameln ในภาษาเยอรมัน) และความจริงในประวัติศาสตร์ของเมืองนี้กัน

ฮาเมลินเป็นเมืองในแคว้น เนียเดอร์แซสเซน ประเทศเยอรมันนี ปัจจุบันมีประชาการประมาณ 60,000 คน เมืองนี้อยู่เลียบแม่น้ำเวเซอร์ ใกล้กับถนนเมลเพนอันมีชื่อเสียง แต่ที่เมืองนี้มีชื่ออยู่ในความทรงจำของคนส่วนใหญ่นี้เป็นเพราะนิทานเรื่อง ข้างต้นนี้เอง ซึ่งนิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของเหตุการณที่เกิดขึ้นจริงเมื่อกว่า 700 ปีก่อน ต้นแบบของมันคือเรื่องราวประหลาดในกระจกสีของโบถส์ซึ่งถูกสร้างขึ้นประมาณปี 1300 เป็นที่น่าเสียดายที่กระจกสีนี้ปัจจุบันถูกทำลายไปแล้ว กระจกสีอันปัจจุบันเป็นบานใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นตามบันทึกที่เหลือไว้



"วันที่ 26 มิถุนายน 1284 เมืองฮาเมลิน ประเทศเยอรมันเกิดคดีเด็กจำนวนกว่า 130 คนหายสาบสูญไปอย่างกะทันหัน"
นั่นเป็นความจริงอย่างเดียวที่ถูกเหลือไว้ ในบันทึกปี 1440 ซึ่งเป็นบันทึกเก่าที่สุดเท่าที่เหลืออยู่ (เรื่องของหนูถูกเพิ่มเข้ามาราวศตวรรษที่ 16) ไม่มีใครทราบแน่นอนว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร และเด็กๆหายไปได้อย่างไร หากด้วยเหตุนี้เมืองฮาเมลินจึงมีการตั้งกฏว่าห้ามร้องเพลงเต้นรำบนถนนที่ถูก กำหนดไว้อยู่เป็นเวลานานทีเดียว

จะอย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องนี้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 1606 โดยริชาร์ด โลรัน เวลส์เทกัน เวลาของคดีก็กลายเป็น 22 กรกฎาคม 1376 และเมื่อพี่น้องตระกูลกริมม์ทำการเรียบเรียงเรื่องนี้ในปี 1816 ก็ได้มีการเพิ่มเรื่องของเด็กขาแพลงกับเด็กตาบอดซึ่งไม่ได้หายตัวไปลงไปด้วย

มี การสันนิษฐานเกี่ยวกับสาเหตุมากมาย และที่มีมูลมากที่สุดได้แก่ 4 ทฤษฎีข้างล่างนี้

- เด็กๆเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ (จนน้ำในแม่น้ำเวเซอร์หรือตายในภูเขาฮอบเปนเบิร์ก)
วันที่ 26 มิถุนายน 1284 เป็น"วันเซนต์โยฮันส์และเปาโล" ฮาเมลินมีธรรมเนียมจะจุดไฟบนภูเขาฮอบเปนเบิร์กซึ่งมีภูมิประเทศเป็นหน้าผา ตัด ข้างล่างเป็นบึงลึก
เป็นไปได้ว่าเด็กๆได้พากันขึ้นเขานี้ไปตอนกลาง คืนและเดินตกผาไป

- เกิดโรคระบาดขึ้นและเด็กถูกพาไปอยู่ที่อื่น
ยุโรป เคยมีกาฬโรคระบาดซึ่งก็ตรงกับปี 1376 ในฉบับของผู้เขียนอีกคน นักเป่าปี่อาจจะเป็นเครื่องหมายแทนยมฑูตก็เป็นได้

- เด็กๆพากันรวมตัวออกไปจาริกแสวงบุญและไม่ได้กลับมาอีก
ในกรณีนี้ นักเป่าปี่ก็คือหัวหน้ากลุ่มนักเดินทาง

- เด็กๆพากันออกจากหมู่บ้านไปเพื่อสร้างหมู่บ้านใหม่
ในช่วงปีนี้เป็นยุค ที่มีหมู่บ้านใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย เด็กชาวเมืองฮาเมลินอาจจะเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้

จะอย่างไรก็ดี ในบันทึกซึ่งถูกค้นพบเมื่อปี 1602 ได้มีจารึกไว้ดังนี้

"ปี 1284 วันเซนต์โยฮันส์และเปาโล
26 มิถุนายน
นักเป่าปี่ใส่เสื้อหลากสี
หลอก ล่อเด็กๆ 130 คนออกมาจากเมืองฮาเมลิน
หายไปยังลานนักโทษใกล้เนินเขา"

เนิน เขาดังกล่าวนี้น่าจะหมายถึงหนึ่งในจำนวนเนินเขามากมายที่ล้อมเมืองอยู่ แต่ก็ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่าเนินเขาที่ว่านี่คืออันไหนกันแน่




Mary Bell ฆาตกรรมหรือเกม

Mary Flora Bell (1957 ~ )

Phycopath หรืออาการป่วยทางจิต ปัจจุบันถูกแทนด้วยคำว่า APD (หรือ APSD ย่อมาจาก Antisocial Personality Disorder - อาการป่วยทางจิตต่อต้านสังคม) ผู้ป่วยจะมีเป็นเอโกซึ่ม (egoism) อย่างรุนแรง โกหกจนเป็นนิสัย ไม่มีความรู้สึกเสียใจหรือสำนึกผิด เย็นชาและไม่มีความเห็นใจผู้อื่น รวมทั้งไม่สามารถรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองได้
สาเหตุสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากความผิดปกติของสมองส่วนหน้า ความผิดปกติของฮอร์โมน การทารุณทำร้ายร่างกายและจิตใจที่ประสบในวัยเด็ก 80 ~90%ของไซโคพาทมักจะมีปัญหาในด้านการพูด เนื่องจากการพูดซึ่งถูกควบคุมโดยสมองส่วนซ้ายนั้นจะถูกควบคุมโดยสมองส่วนขวา แทน
แมรี่ เบลที่จะกล่าวถึงในเอนทรี่นี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของไซโคพาทก็ว่า ได้

วันที่ 25 พฤษภาคม 1968 ย่านนิวคาสเซิ่ลทางตอนเหนือของอิงแลนด์ เด็กชาย 3 คนได้พบศพของเด็กคนหนึ่งที่ชั้นสองของตึกเก่า ศพนั้นนอนหงายอยู่บนพื้น มีเลือดไหลออกจากปาก แก้มและคางมีน้ำลายเลอะเทอะอยู่เป็นจำนวนมากใกล้ๆกับศพมีขวดแอสไพรินเปล่าตก อยู่
จากการสืบสวนพบว่าเหยื่อเคราะห์ร้ายชื่อมาร์ติน บราวน์ อายุ 4 ปี ศพของมาร์ตินไม่มีร่องรอยบาดแผลหรือรอยถูกบีบรัดใดๆที่สะดุดตาเป็นพิเศษ และมีพยานให้การว่าเวลา 15.15 น.ของวันนั้น มาร์ตินไปซื้อขนมที่ร้านขนมและแวะบ้านของป้าเพื่อกินขนมปัง เขาออกจากบ้านของป้าเวลา 15.20 น. ก่อนจะถูกพบเป็นศพเมื่อเวลา 15.30 น. ในครั้งแรกตำรวจสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากการกินยาผิด แต่การชันสูตรศพก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดมากไปกว่าเลือดออกในสมอง ตำรวจได้แต่กุมหัวเนื่องจากไม่พบเบาะแสใดๆเพิ่มเติม

วันรุ่งขึ้นหลัง การตายของมาร์ติน มีเด็กผู้หญิงสองคนมายังบ้านของมาร์ติน ทั้งสองคือ แมรี่ เบล (10) และนอร์ม่า เบล (13) (* แมรี่และนอร์ม่า นามสกุลเดียวกันก็จริงแต่ไม่ได้เป็นญาติกัน) ริต้าซึ่งเป็นป้าของมาร์ตินให้การในภายหลังว่าแมรี่ถามเธอด้วยใบหน้ายิ้ม แย้มเกี่ยวกับการตายของมาร์ติน (ทำนองว่า"มาร์ตินตายแล้วเหงารึเปล่า" "มาร์ตินตายแล้วร้องไห้รึเปล่า") และแมรี่นี่เองที่เป็นคนมาแจ้งให้ริต้าทราบว่าหลานของเธอตายอยู่ที่ตึกร้าง ในวันเกิดเหตุ

เช้าวันที่ 27 พฤษภาคม สถานรับดูแลเด็กใกล้ที่เกิดเหตูถูกคนบุกรื้อค้น ตำรวจพบกระดาษ 4 แผ่นปะปนอยู่ในกองเครื่องเขียน

แผ่นที่ 1


แผ่นที่ 2


แผ่นที่ 3


แผ่นที่ 4


ในครั้งแรก ตำรวจยังคงเชื่อว่านี่เป็นการเล่นตลกเสียมากกว่า และในวันเดียวกันนั้นเอง แมรี่ก็เขียนในสมุดบันทึกโรงเรียนดังข้างล่างนี้



ในบันทึกมี รูปวาดซึ่งเขียนคำว่า"ยาเม็ด"ซึ่งน่าจะหมายถึงขวดแอสไพรินไว้ข้างรูปศพทั้งๆ ที่เธอไม่น่าจะได้เห็นสถานที่พบศพเลยแม้แต่น้อย

นอกจากนี้ยังมีคำให้ การว่ามีเด็กคนอื่นเห็นแมรี่กระโจนใส่นอร์ม่าพร้อมกับตะโกนว่า"ฉันเป็น ฆาตกร" และเธอยังชี้ไปยังตึกร้างที่พบศพของมาร์ตินพร้อมกับบอกว่า"ฉันฆ่าบราวน์ที่ บ้านหลังนั้นแหละ"อีกด้วย หากในตอนนั้นไม่มีใครถือจริงจัง แมรี่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเธอเป็นคนขี้โกหก

สองเดือนให้หลัง วันที่ 31 กรกฎาคม (ผ่านวันเกิดของแมรี่ไปแล้ว ตอนนี้เธอจึงมีอายุ 11 ปี) ไบรอัน ฮาว์ 3 ขวบ หายตัวไปจากบ้าน ศพของเขาถูกพบใต้บล๊อกอิฐในละแวกบ้านนั่นเอง
ศพ ของไบรอันถูกโปรยไว้ด้วยหญ้าและดอกไม้สีม่วง ปากมีน้ำลายปนเลือดติดอยู่ ศรีษะถูกทุบด้วยของแข็งมีรอยข่วนที่จมูก ใกล้กับศพ มีกรรไกรตกอยู่ คมข้างนึงหัก อีกข้างบิดงอ บริเวณท้องถูกกรีดเป็นตัวอักษร M ซึ่งรอยแผลนี้กระทำขึ้นหลังจากที่ไบรอันเสียชีวิตแล้ว
จากการชันสูตร แพทย์สรุปว่าสาเหตุการตายเพราะถูกบีบคอโดยเด็ก ตรงนี้เองที่ตำรวจเอะใจขึ้นมา เป็นไปได้หรือไม่ว่ามาร์ติน บราวน์ก็เสียชีวิตด้วยสาเหตุเดียวกัน? เพราะแรงบีบของเด็กน้อยกว่าผู้ใหญ่มากจนไม่เหลือรอยช้ำไว้ชัดนัก
ตำรวจ ได้รวบรวมเด็กๆอายุตั้งแต่ 3 ถึง 15 ปีกว่า 1200 คนซึ่งอาศัยอยู่ในแถบนั้นและแจกแบบสอบถามให้กับทุกคน ในบรรดาคำตอบซึ่งไม่ตรงประเด็นเท่าใดนักกว่า 1000 ใบ มีอยู่ 2 คนที่น่าสงสัยกว่าคนอื่น ในที่สุดชื่อของแมรี่และนอร์ม่าก็ผุดขึ้นมาในฐานะผู้ต้องสงสัย
แมรี่และ นอร์ม่าถูกสอบปากคำหลายครั้ง และพวกเธอก็กลับคำให้การของตัวเองไปเรื่อยๆ ต่อมาแมรี่ให้การว่าเธอเห็นเด็กชายคนหนึ่งมีดอกไม้สีม่วงติดตัวและถือกรรไกร หากเมื่อตำรวจสอบปากคำเด็กชายดังกล่าวก็พบว่าเขามีพยานยืนยันที่อยู่อันแน่ นอน ข้อสงสัยจึงตกมายังแมรี่ เนื่องจากกรรไกรซึ่งพบในที่เกิดเหตุนั้นไม่ได้ถูกประกาศออกสู่สาธารณชน

และ ในที่สุดนอร์ม่าก็รับสารภาพออกมา ครั้งแรกเธอบอกว่าแมรี่พาเธอไปดูศพของไบรอัน (มีการพบมีดโกนซึ่งใช้กรีดท้องไบรอันตามคำให้การของนอร์ม่า) ก่อนจะยอมรับภายหลังว่าแมรี่บีบคอไบรอันต่อหน้าของเธอ
โดยคำให้การนี้แม รี่จึงถูกปลุกจากเตียงกลางดึกเพื่อนำตัวไปสืบสวน แน่นอนว่าแมรี่ปฏิเสธคำให้การทุกประการของนอร์ม่า เธอลุกขึ้นและกล่าวว่า
"ฉัน จะโทรไปหาทนายให้เอาฉันไปจากที่นี่ นี่มันการล้างสมองกันชัดๆ"
การสอบปาก คำครั้งนี้ แมรี่ยืนยันว่าเธอไม่เกี่ยวข้องอันใดกับคดี ตำรวจจึงปล่อยตัวเธอไป และในอีก 2 วันให้หลัง แมรี่และนอร์ม่าก็ถูกจับกุมอย่างเป็นทางการ

แมรี่เกิดเมื่อปี 1957 เป็นบุตรของเบทตี้ เบลซึ่งเป็นโสเภณีและติดยา เบทตี้มีคนรักชื่อบิลลี่อยู่แล้ว แต่เนื่องจากเธอรับเงินช่วยเหลือจากประกันสังคมอยู่จึงสอนลูกให้เรียกบิลลี่ ว่าคุณลุงแทน กล่าวกันว่าเบทตี้พูดกับพยาบาลหลังจากที่คลอดแมรี่เสร็จเป็นคำแรกว่า"Take that thing away from me"(ประโยคนี้ค่อนข้างดังค่ะ น่าจะมีคนเคยอ่านเจอ) เท่านี้ก็คงพอที่จะบอกได้แล้วว่าครอบครัวที่แมรี่เติบโตมาเป็นยังไง
แม รี่มีพฤติกรรมแปลกมาตั้งแต่ยังเด็ก มักจะมีเรื่องทำร้ายร่างกายเด็กคนอื่นอยู่บ่อยๆอย่างไม่ค่อยมีเหคุผลเธอเคย บีบคอซูซานซึ่งเป็นญาติเพียงเพราะเหตุผลว่าซูซานไม่ได้ให้ของขวัญในวันเกิด ของเธอ

ระหว่างอยู่ในสถานกักกันรอการขึ้นศาล แมรี่บอกกับผู้คุมหญิงว่าเมื่อโตขึ้น เธออยากเป็นนางพยาบาล และเมื่อถามถึงเหตุผล แมรี่ก็ตอบว่า"เพราะเอาเข็มแทงคนได้" เธอยังพูดเกี่ยวกับการตายของไบรอันอีกด้วยว่า"ที่บ้านไบรอันไม่มีคุณแม่ เขาตายไปก็ไม่มีใครคิดถึงหรอก"
ดอกเตอร์ออลตันซึ่งเป็นผู้วินิจฉัยสภาพ จิตใจของแมรี่ถึงกับกล่าวว่า
"ผมเคยพบกับเด็กที่เป็นไซโคพาทมาก็หลายคน แล้ว แต่รายที่รุนแรงและอันตรายอย่างนี้เพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก"



วัน ที่5 ธันวาคม 1968 แมรี่และนอร์ม่าถูกนำตัวขึ้นศาล ในขณะที่นอร์ม่าร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง แมรี่กลับมีทีท่าเฉยชาไม่ยินดียินร้ายและตั้งใจฟังการตัดสินคดีอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุด วันที่ 17 ธันวาคม การตัดสินก็ออกมาตามความคาดหมายของคนส่วนใหญ่ นอร์ม่าถูกตัดสินให้ไม่มีความผิด หากถูกคาดฑัณต์ไว้ ส่วนแมรี่ถูกตัดสินว่ามีความผิด หากเนื่องจากเธออายุยังน้อย โทษจึงเป็นเพียงรับการรักษาทางจิตให้หายดีและปล่อยตัวในภายหลัง
ทว่าไม่ มีโรงพยาบาลโรคจิตที่จะรับรองแมรี่ไว้ได้ เธอจึงถูกส่งตัวไปยังสถานกักกันเยาวชนธรรมดา
ปี 1977 แมรี่อายุ20 ปีถูกย้ายไปยังเรือนจำซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยไม่ดีนัก เธอและเพื่อนอีก 2 คนแหกคุกไปก่อนจะถูกจับได้ในอีก 3 วันให้หลัง ระหว่างการแหกคุกครั้งนี้เธอได้ทิ้งพรหมจารีไปเรียบร้อยแล้ว เกี่ยวกับเรื่องนี้ แมรี่ให้การว่า"ฉันแค่อยากจะแสดงให้เห็นว่าตัวเองปกติดี และสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้เท่านั้นเอง"

พฤษภาคม 1980 แมรี่ถูกปล่อยตัวเมื่ออายุได้ 22 ปี ขอบอกเถอะท่านผู้อ่าน เธอถูกปล่อยตัวโดยไม่ได้รับการเยียวยาให้หายจากอาการทางจิตเลย



แมรี่ เปลี่ยนชื่อและกลับไปอยูกับแม่ของเธอ หลังจากเข้ามหาลัยและจบออกมาก็เปลี่ยนงานไปเรื่อยๆจนคลอดบุตรหญิงในปี 1984 ที่จริงแล้วแมรี่อยู่ภายใต้การควบคุมของเรือนจำจนถึงปี 1992 หากเธอก็ได้รับอนุญาตให้เลี้ยงลูกคนนี้ได้

ปี 1998 แมรี่รอจนลูกสาวโตแล้วกลับมาใช้ชื่อเดิมพร้อมกับออกหนังสือชีวประวัติของตัว เอง (Cries Unheard) ไม่รู้ว่าเนื้อหามีความจริงมากน้อยแค่ไหน เพราะคนส่วนใหญ่จนทุกวันนี้ก็ยังมองว่าแมรี่เป็นคนขี้โกหกอยู่ดี

 




The Cottingley Fairies เทพยดามีจริงหรือไม่
 
แฟรี่แห่งคอททิงเลย์

เดือน กรกฎาคมปี 1917 เอลซี่ ไรท์ (16 ปี) และลูกพี่ลูกน้องของเธอ ฟรานซิส กรีฟิส (11 ปี) ได้ถ่ายรูปแฟรี่ในหุบเขาคอททิงเลย์ด้วยกล้องที่ยืมมาจากพ่อ พวกเธอบอกว่ามีแฟรี่อยู่ที่นี่ และพวกเขาเป็นเพื่อนของพวกเธอ ซึ่งรูปนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของคดีแฟรี่แห่งคอททิงเลย์



ตอนที่ถ่าน รูปแรกสุดนี้พ่อของเอลซี่ยังคงคิดว่าเป็นการเล่นตลกของเด็กๆอยู่ และใน 2 เดือนถัดมา ทั้งสองก็ถ่ายรูปใหม่มาอีก คราวนี้ ในรูปมีโนม (ภูตชนิดหนึ่ง) อยู่ในรูปด้วย



มาถึงตรง นี้ก็ปรากฏคนที่ทำให้เรื่องราวกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา เขาคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เซอร์อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ผู้มี ชื่อเสียงนั่นเอง
รูปถูกส่งไปหาดอยล์ และเขาก็จ้างให้ผู้เชี่ยวชาญด้านรูปถ่ายทำการตรวจสอบว่ารูปทั้งสองนี้เป็น การซ้อนภาพหรือไม่ ผลการตรวจปรากฏว่าไม่มีการซ้อนภาพถ่ายและรูปทั้งสองเป็นของจริง

เดือน ธันวาคมปี 1920 ดอยล์ได้ทำการประกาศรูปเหล่านี้ลงนิตยสารพร้อมกับยืนยันว่าแฟรี่ในรูปเป็น ของจริง ซึ่งเรื่องนี้ได้รับเสียงตอบรับมากมาย ทำให้นักข่าวและผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลไปยังคอททิงเลย์ ดอยล์นั้นถึงกับออกหนังสือเกี่ยวกับแฟรี่แห่งคอททิงเลย์และกล่าวว่าเขาเชื่อ เด็กหญิงทั้งสองคนว่าพวกเธอพูดจริง



รูป ของแฟรี่นี้มีทั้งหมด 5 ใบ 3 รูปในนั้นเป็นรูปที่ถ่ายขึ้นตามคำขอของดอยล์ ในยามนั้นมีการโต้เถียงกันอย่างกว้างขวางว่ารูปเหล่านี้เป็นของจริงหรือไม่ ซึ่งดอยล์ก็ยืนยันโดยกล่าวว่า"เด็กๆของคนชั้นกรรมกรจะมีความรู้ เรื่องการตัดต่อภาพได้ยังไง" ดอยล์เชื่อว่าแฟรี่มีจริงจนวาระสุดท้ายของชีวิตเขาเลยทีเดียว

ดอยล์ เสียชีวิตไปเมื่อ 7 กรกฎาคม 1930 แฟรี่แห่งคอททิงเลย์ซึ่งเป็นที่กล่าวขานกันอย่างแพร่หลายก็ค่อยๆถูกลืมเลือน ไป
และในวันที่ 24 พฤษภาคม 1965 เอลซี่ก็ได้ให้สัมภาษณ์แก่นิตยสารเดลี่เอกซ์เพรสว่ารูปของแฟรี่เหล่านั้น เป็นภาพที่เธอกับฟรานซิสทำปลอมขึ้นมา



วันที่ 4 เมษายน 1983 ฟรานซิสและเอลซี่ได้ลงบทความสารภาพเกี่ยวกับความจริงของแฟรี่แห่งคอททิงเลย์ ว่าที่จริงแล้วรูปทั้งหมดไม่ได้ใช้เทคนิคการตัดต่อภาพใดๆเลย ทั้งสองวาดรูปของแฟรี่ลงบนกระดาษแข็ง ระบายสีและตัดออกมาติดไว้กับต้นไม้หรือพื้นเพื่อถ่ายรูป สรุปก็คือรูปเหล่านี้จะตรวจไม่พบการตัดต่อใดๆเลยก็ไม่แปลก เพราะมัน ไม่ได้ใช้เทคนิคขั้นสูงอะไรนั่นอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว

ทั้ง สองกล่าวว่าพวกเธอเพียงแต่ต้องการจะล้อเล่นเล็กน้อย หากภาพก็ถูกส่งไปยังดอยล์และดอยล์ก็ประกาศเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาจนทั้งสอง ไม่สามารถสารภาพออกมาได้
จะอย่างไรก็ดี เอลซี่ยืนยันว่ารูปสุดท้าย(ข้างล่าง)เป็นของจริง และทั้งสองก็บอกว่าพวกเธอเห็นแฟรี่จริงๆแต่ไม่สามารถถ่ายรูปของพวกเขาเอาไว้ ได้



คน อ่านล่ะว่าไง?

แถมอีกหน่อย
เซอร์อาเธอร์ โคแนน ดอยล์มีชื่อเสียงว่าเป็นผู้ให้กำเนิดเชอร์ลอค โฮมส์ นักสืบที่เก่งกาจที่สุดในโลกก็จริง แต่โดยเจ้าตัวเองนั้น เป็นที่รู้กันในวงในว่าเป็นนักวิจัยรูปถ่ายวิญญาณอย่างหัวปักหัวปำ ชีวิตในบั้นปลายของเขานั้นได้เข้าร่วมสมาคมวิจัยเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับและ ทุ่มสมบัติเกือบทั้งหมดของตัวเองเพื่อการวิจัยเกี่ยวกับไสยศาสตร์อีกด้วย
กล่าว กันว่าสาเหตุหนึ่งที่ดอยล์เชื่อเรื่องแฟรี่นี้เป็นเพราะพ่อของเขาซึ่งเป็น นักวาดภาพนั้นวาดแต่รูปแฟรี่มาตลอด จนขนาดเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคแอลกอฮอลิซึ่มแล้วก็ยังวาดแต่รูปแฟรี่ต่อไป
เป็น ไปได้ว่าความเชื่อของเขาอาจจะมาจากแผลใจในวัยเด็กก็เป็นได้

 
 



จดหมายในขวดแก้ว ความบังเอิญที่ช่วยชีวิตคน

วันนี้ไม่มีเวลามากค่ะ เอาเป็นเรื่องแบบจานด่วนก็แล้วกัน ลองพยายามหารายละเอียดเพิ่มเติมแล้ว แต่ค้นไม่เจอเลย ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ

วันที่ 4 พฤษภาคม 1882 เรือ"อาราเกลีย"สัญชาติบราซิล ใช้ถังตักน้ำทะเลขึ้นมาเพื่อวัดอุณหภูมิน้ำ และพบขวดแก้วเล็กๆที่มีจดหมายอยู่ข้างในติดมากับน้ำทะเลที่ตักขึ้นมา
จดหมาย นั้นเป็นเศษกระดาษที่ถูกฉีกมาจากไบเบิ้ลเก่า ข้อความเขียนด้วยภาษาอังกฤษ ลูกเรือส่วนใหญ่ซึ่งไม่สามารถอ่านภาษาอังกฤษออก ก็ได้พยายามแกะข้อความกระท่อนกระแท่นได้ดังนี้

"ผมคือต้นหนอันดับ 2 ของเรือ"ผู้กล้าแห่งท้องทะเล" บนเรือเกิดมีการจลาจลขึ้น กับตันและต้นหนอันดับหนึ่งถูกฆ่าตายแล้ว พวกมันปล่อยผมเอาไว้เพราะต้องการให้ผมเป็นผู้เดินเรือ ต้องการความช่วยเหลือด่วน"

ในจดหมายมีการแจ้งตำแหน่งของเรือไว้ซึ่ง อยู่ไม่ไกลนัก กับตันเรืออาราเกลียจึงรีบรุดไปช่วยเรือผู้กล้าแห่งท้องทะเลไว้ทันท่วงที

ทว่า
เมื่อ ลองสอบถามต้นหนอันดับ 2 เจ้าตัวก็บอกว่าตนไม่ได้เป็นผู้เขียนข้อความขอความช่วยเหลือใดๆเลย กลับออกจะแปลกใจด้วยซ้ำว่าเรืออาราเกลียทราบได้อย่างไรว่ามีการจลาจลเกิด ขึ้น

ปริศนานี้คลี่คลายออกในอีกหนึ่งปีให้หลัง

เมื่อ 16 ปีก่อนมีนักเขียนชื่อ จอนห์ บาร์มินตัน ซึ่งได้ออกหนังสือใหม่ชื่อว่า"ผู้กล้าแห่งท้องทะเล" เขาได้ทำการโฆษณาหนังสือด้วยการใส่กระดาษซึ่งเขียนเอาบางส่วนของนิยายเรื่อง ใหม่นี้ลงในขวดแก้วประมาณ 2000 ขวดแล้วลอยลงทะเลไป ด้วยการโฆษณาที่แปลกใหม่นี้ทำให้หนังสือที่ออกวางขายมียอดขายเป็นที่น่าพอใจ ไม่น้อย

นั่นก็หมายความว่า หนึ่งในขวดแก้วเมื่อ 16 ปีก่อนนี้ได้ไหลตามกระแสน้ำไปจนถึงสถานที่จริงในนิยายซึ่งเกิดคดีแบบเดียว กันขึ้นบนเรือที่มีชื่อเดียวกันพอดีนั่นเอง (เรือ"ผู้กล้าแห่งท้องทะเล"ตั้งชื่อตามนิยายเล่มที่ว่านี้ค่ะ)
ซึ่งหากจะ คำนวนดูแล้ว ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ต้องคำนวนกันด้วยหลักเลขแบบดาราศาสตร์เลยทีเดียว

ความบังเอิญ!

 




Credit: http://atcloud.com/stories/84347
#แปลก
Messenger56
ผู้กำกับภาพ
สมาชิก VIPสมาชิก VIP
13 มิ.ย. 53 เวลา 12:57 5,677 3 88
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...