ถูกญาติรุมกระทืบปางตาย สุดท้ายหนีออกจากบ้าน เปลือยชีวิต “เจ้ฝน ยูเนี่ยนมอลล์”100ล้าน

จัดว่าเป็นคนดังคนหนึ่งในโลกโซเซียลเลยก็ว่าได้มีคนติดตามเกือบแสนเลยทีเดียวสำหรับเจ้ฝน เฟสบุค พัสธาธิศา นันท์คจุติจินดา หรือที่ใครรู้จักในชื่อว่า “ฝนฝน” จากเด็กบ้านนอกหนีตายจากครอบครัวที่มีแต่ความรุนแรงเพราะเหล้าเปลี่ยนนิสัยโดนลุงป้าน้าอารุมทำร้ายใช้กำลังตีกระทืบตั้งแต่เด็ก พอโตเป็นสาวตัดสินใจไปตายดาบหน้าหนีเข้ากรุงเทพฯ เปิดปมชีวิตความจนที่มันแลดูน่ากลัวอยู่แล้ว แต่การที่คนจิตใจอัปจนมันน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรซะอีก

“หนูเป็นเด็กสระบุรี เรียนหนังสือไม่จบเพราะที่บ้านจน ได้วุฒิแค่ ปวช. เป็นคนหัวไม่ค่อยดี พอไม่ได้เรียนหนังสือไปสมัครงานที่ไหนก็ยาก แต่ตอนเด็กๆหนูเป็นคนมีปมเหมือนคนไม่มีแม่ จริงๆแม่หนูมี แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน หนูอยู่กับยายอารมณ์เหมือนลูกที่ถูกทิ้งไว้กับยาย พี่ป้าน้าอาเขาก็มีลูกกันหมด หนูจะบอกกับทุกคนว่าหนูไม่กินเหล้า เพราะหนูฝังใจ คือคนที่บ้านหนูไม่รู้เป็นอะไรกันนะ พอกินเหล้าเสร็จเมาทีไรต้องมาตีหนู จะต้องมาลงกับหนูเพราะหนูไม่มีแม่ หนูไม่มีคนที่จะมาคุ้มครอง หนูอยู่กับยาย บางครั้งนอนๆอยู่ ตื่นขึ้นมาลุงกินเหล้าเมาเสร็จก็มากระทืบหนู หนูนอนๆอยู่ กระทืบๆ หนูยังเด็กอยู่เลย หนูก็แบบร้องไห้เรียกยาย ยายหนูจะมาคอยช่วย หนูไม่เข้าใจทำไมคนเรากินเหล้าถึงต้องเปลี่ยนนิสัย ทำไมจะต้องตีหนู หนูเลยฝังใจ เลยเกลียดคนกินเหล้า ชิปหาย!!”
 

ไม่เคยลืมอดีต เจ้ฝน เผยในชีวิตหนักสุดเคย ถูกญาติที่กินเหล้าเมาทำร้ายขนาดลากตัวเอาหัวกดลงอ่าง โดนแม่แท้ๆเอาขวดโซดีตีหัวแตก ” หนูอ่านหนังสือท่องสูตรคูณอยู่ ญาติเอาหัวหนูโขกกับกำแพงจนเบ้าตาหนูแดง เจ็บ บางครั้งเอาหัวหนูยัดเข้าไปในโอ่ง โอ่งหน้าบ้านตรงที่ล้างเท้า เอาหัวหนูกดลงไป ซึ่งแม่หนูเองบางครั้งก็ไม่ได้มาช่วยหรืออะไร บางครั้งแม่เองกลับมาจากกรุงเทพฯก็มาตีหนูซ้ำ ด่าว่าเกรดไม่ดี เรียนไม่ดีก็ตี ไม่ได้ตีด้วยไม้หรือมือนะ เอาขวดโซดาที่เขากินเหล้ามาตีหัวหนูจนแตก ขวดโซดาแตกหัวหนูก็แตก บางทีหนูกลับบ้านช้าแค่นิดเดียว เขาเมาเหล้าแล้วเขาก็ตัดผม จนหัวหนูไม่เหลืออะไร ไม่ให้หนูออกไปข้างนอก ให้หนูอาย ไม่มีผมไปโรงเรียน เป็นที่รองรับอารมณ์ของครอบครัว เชื่อมั้ยวันนี้ วันที่หนูมายืนได้ด้วยตัวเอง หนูไม่เคยกลับไปที่บ้าน จะว่าหนูบาปมันก็บาปแต่สิ่งที่เขาทำกับหนู เหมือนมันจำจนฝังใจ”



“หนูจะต้องกินของเหลือเดนจากพวกเขาโดยตลอด ถ้าแบบสั่งพิซซ่ามา เรื่องนี้ฝังใจหนูมาก หนูไปอยู่บ้านแม่แล้วเขาสั่งพิซซ่ามากินกัน เขาจะให้น้องหรือตัวเขากินก่อน คือเด็กเวลากินพิซซ่ามันก็ไม่กินขอบไง มันกินหน้าจนหมด เหลือขอบลงมาให้เราซึ่งตอนเด็กๆพิซซ่าที่หนูได้กินคือขอบพิซซ่า หนูจะได้กินขอบพิซซ่าตลอดตั้งแต่เด็กเลยนะ ไม่มีเลยที่จะได้กินพิซซ่าดีๆ ทุกวันนี้เวลากินพิซซ่าแล้วน้ำตาไหล มันฝังใจ หนูเกลียดเรื่องนี้ที่สุด ผลไม้ดีๆก็เหมือนกัน หนูเคยบอกว่าถ้าหนูตายไป เอาแอปเปิ้ลใส่โรงศพให้หนูเยอะๆนะ เพราะตอนเด็กหนูชอบกินแอปเปิ้ลมากแต่ตอนนั้นหนูไม่มีปัญญาที่จะกินของดีๆ เขาจะกินกันหมดไม่เคยเหลือให้หนูกิน จะกินแต่ของเหลือจากเขา จากหลานๆน้องๆ เคยได้ยินแต่คนบอกว่าอยากกลับไปเป็นเด็กอีกจัง แบบโครตสบาย เป็นเด็กไม่ต้องคิดอะไร แต่หนูพูดเลยว่าหนูจะไม่กลับไปเป็นเด็กอีก ชีวิตหนูตอนนี้ดีที่สุดแล้ว ตอนเด็กนั้นลำบากมาก หนูไม่มีใครเลย หนูไม่เอาครอบครัว แม่ก็ไม่ไดเลี้ยงหนูมา ตอนนี้ยายเสียแล้ว ถ้าตอนนั้นเราประสบความสำเร็จยายคงไม่ลำบาก ยายต้องสบายกว่านี้ ช่วงที่หนูขายของเก็บเงินได้หมื่นหนึ่ง หนูให้ยายหนูหมดเลย ไม่เคยเก็บเลยนะ ยายก็จะโดนพวกพี่ป้าน้าอาเอาไป แบบซื้อทองให้ก็มาเอาไป ก่อนยายเสีย ยายเครียดมากเพราะแม่หนูเอาบ้านไปจำนอง 8 แสนจนยายหนูเครียดเส้นเลือดในสมองของยายแตกตาย เขาเครียดเพราะเขาจะไมมีที่อยู ถ้าตอนนี้ 8 แสนหนูซื้อคืนให้เขาได้แน่ๆ กี่ล้านหนูก็ซื้อคืนให้ได้”


เป็นปมชีวิตที่เล่ามาทีไร น้ำตาไหลทุกครั้งสำหรับเรื่องราวอันเจ็บปวดในอดีต “คือหนูไม่ถูกกับแม่หนูจะฝังใจหลายๆอย่าง เป็นปมชีวิตกินข้าวก็กินบนบ้านไม่ได้ ต้องไปกินข้างหลังบ้าน ทุกวันนี้หนูไม่เรียกแม่ เรียกว่าป้า คือเราก็ยิ่งกลายเป็นเด็กที่เก็บกด เขาหอมน้อง แต่หนูนอนอยู่เขาไม่เคยลงมาหอมหนูเลย เขาไม่สนใจหนูเลย แทบจะข้ามหัวหนู ไม่รู้ว่าเขาจะให้หนูเกิดมาทำไม แต่ทุกวันนี้คนที่เลี้ยงเขาคือหนู หนูส่งเงินให้เขาโดยที่ไม่คุยกับเขาเลยนะ คนที่ส่งเสียตลอดคือหนูแต่ไม่เคยคุยเพราะมันฝังใจ หนูรู้ว่าหนูผิด หนูมีปมยังแก้ปมตรงนี้ไม่ได้ ทุกคนก็บอกว่ายังไงก็ต้องให้อภัยแม่เพราะแม่คือผู้ให้กำเนิด เราจะทำมาหากินไม่ขึ้น หนูพยายามแต่ใจมันมีปม ยังจำคำพูดแบบได้ ว่าไม่ต้องส่งให้มันเรียนหรอก ให้มันไปเรียนเสริมสวยโน่น คงทำงานหนีไม่พ้นงานอย่างว่า เคเอฟซี เซเว่น คนที่ส่งหนูเรียนคือยาย พอยายตายทุกอย่างชีวิตหนูก็จบแล้ว ยายคือคนเดียวในครอบครัวที่หนูมี สิ่งเดียวที่ตอบแทนให้ยายได้คือซื้อรถมอเตอร์ไซค์ตอนที่เพิ่งตั้งตัวได้ใหม่ๆ”


หนีความจน อะไรที่เป็นเงินทองทำได้หมด ยืนได้ด้วยตัวเองจนมามีทุกวันนี้ “หนูเริ่มจากทำงานข้าวโพดคั่วขายถั่ว กลับบ้านหนูก็บ่นกับยาย เจ็บแขนทำข้าวโพดคั่วกระเด็นใส่แขน แขนพองเป็นแผล เลยขึ้นไปสมัครงานเคเอฟซีที่โลตัสทำควบสองกะ กลับบ้านตอนหกโมงเย็น เลยไปเช่าห้องอยู่เล็กๆ ข้างโลตัส ไม่มีเสื่อไม่มีที่นอน ห้องไม่มีหน้าต่าง เดือนละ 500 รวมค่าน้ำ ห้องน้ำรวม สักพักไม่ไหวเลยตัดสินใจมาอยู่กรุงเทพฯ ตอนแรกมาขออยู่กับแม่ก่อน แต่อยู่กับแม่ไม่ได้เพราะแม่มีแฟนใหม่เป็นเด็กรุ่นๆกับหนู เลยหนีออกมาจากบ้านแต่มีมือถือมาเครื่องหนึ่งที่แม่ซื้อให้ หนูเลยเอามือถือไปขายได้เงินก้อนหนึ่ง หนูเลยไปขออาศัยอยู่กับเพื่อนก่อน”






“ครั้งแรกหนูไปขายเข็มกลัด ไปซื้อของที่สำเพ็งมาหาขายให้พวกต่างชาติที่ตรอกข้าวสาร ลงทุนไปประมาณสองพันหนูไม่รู้หรอกว่าจะขายยังไง เพราะหนูพูดภาษาอังกฤษไม่ได้มีแต่ต่างชาติ ขายแบบนี้สองสามวัน บางวันขายได้สิบตัว บางวันขายไม่ได้จะกลับก็กลับไม่ได้ เพราะหนูไม่มีเงิน นั่งรถเมล์กลับ เศร้าท้อแท้มาก ตัดสินใจไม่ขายแล้ว เลยเอาเงินที่เหลืออยูไปซื้อผ้าที่ประตูน้ำ ซื้อผ้า ราว ไม้แขวน จำได้ทั้งหมด 59 ตัว ที่แรกที่หนูไปขายคือหน้าโลตัสบางกะปิ ค่าเช่าวันละ 50 บาท หนูเอาผ้าไปแขวนขาย วันแรกหนูจำได้เลยว่าขายได้ 9 ตัว ขายตัวละ 59 บาท หนูเก็บเงินที่ได้ไปซื้อผ้าใหม่ทุกวัน ไอ้เงินก้อนที่ขายมือถือนั้นหมดกับการซื้อของไปแล้วนะ การที่หนูจะได้กินข้าว จะต้องขายผ้าให้ได้ก่อน ซื้อของวนไปมาด้วยความว่าหนูเป็นคนประหยัด ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่กินเหล้า ไม่ดูดบุหรี่ ขายได้เท่าไหร่ก็เก็บเงินหมด กินข้าวแค่วันละมื้้อสองมื้อ เก็บไปเรื่อยๆ จนย้ายที่มาขายโลตัสลาดพร้าว ซึ่งขายดีขึ้นมาหน่อย เริ่มขายได้มากขึ้นวันละ 30 ตัว ช่วงนั้นขายเสื้อก็อปพวกเสื้อยืด เปลี่ยนจากราคา 59 เป็น 199 จะได้กำไรเยอะขึ้น หนูเก็บเงินแบบนี้เป็นเวลา 4 ปี และอีกอย่างหนูอยู่คนเดียวเช่าห้องดีขึ้นหน่อยแล้วนะ เลยไปซื้อหมามาเลี้ยงตัวหนึ่ง ทุกวันนี้ยังเลี้ยงอยู่เลยนะ 12 ปีแล้วที่หนูเลี้ยงมันมา รักมาก ตอนนั้นเริ่มพอมีเงินแล้วเพราะเก็บเงินเก่งมาก หนูไม่ใช่เงินเลย หนูขายเสื้อผ้าขายได้วันละ 30 ตัว กำไรวันหนึ่งก็เกือบสามพันละ แบบได้กำไรตัวละ 100 เลยนะบางวันขายได้ 40 ตัว ถ้ากางเกงยีนหนูจะขายได้กำไร 200 บาทเลย”


“แบบพอเราอยู่คนเดียวเหงาๆ อย่างที่บอกเลยไปซื้อหมาพันเฮาส์เซอร์มาเลี้ยง เอามาเลี้ยงมาขายของด้วยตรงหน้าโลตัส แล้วต่อมามีห้างยูเนียนมอลล์กำลังจะเปิด ช่วงแรกเขาให้เช่าขายรอบนอกวันละ 99 บาท ถูกกว่าที่ขายอยู่ตอนนี้ หนูเลยไปจองล็อคขายที่ยูเนียนมอลล์ ซึ่งตอนแรกเขายังไม่เปิดข้างใน จนมันย้ายให้เข้ามาขายข้างในเช่าวันละ 180 สักพักเปลี่ยนเป็นรายเดือน พูดเลยหนูรวยได้เพราะยูเนี่ยนมอลล์ หนูขายตั้งแต่ยูเนี่ยนมอลล์ อยู่รอบนอกคนยังเดินไม่เยอะจนตอนนี้ยูเนียนมอลล์เป็นห้างที่ขายของดีที่หนึ่งมีคนไปเดินเยอะมาก”




“หนูซื้อรถคันแรกในชีวิตคือรถฮอนด้าแจ๊ส จุดเริ่มต้นที่หนูซื้อได้คือหมาหนู หมาตัวน้อยเวลาไปไหน เอามันนอนแอบในกระเป๋า แล้ววันนึงฝนมันตก หมาก็ร้องเพราะมันเปียก มันแอบในถุงไม่ได้ มันเลยร้องโวยวาย กระเป๋ารถเมล์เลยจับได้ บอกห้ามเอาหมาขึ้นรถเมล์ แล้วก็ไล่หนูลงรถเมล์ ไล่หนูกับหมาลง เราก็ขอ บอกพี่ให้หนูขึ้นเถอะฝนมันตกหนูกลับบ้านลำบาก เขาก็ไม่ยอม เราก็เลยยืนร้องไห้ พี่ข้างร้านสงสารเลยบอกว่าจะเอาหมากลับให้ หนูกลับบ้านไปก็ไปร้องไห้ หนูเลยตัดสินใจจะออกรถเพื่อที่จะให้หมาหนู คือหนูรักมันมากเลย เพราะเหมือนอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่จนๆ หนูเลยตัดสินใจว่าหนูจะซื้อรถเพื่อมัน ทั้งๆที่่หนูอยากมีเงินเก็บมากกว่ามีรถ เลยไปดาวน์รถแจ๊ส หลังจากนั้นก็เอาหมาไปไหนมาไหนตลอด”


“พูดถึงตอนไปขายเสื้อผ้าที่ยูเนี่ยนมอลล์ขายดีมากตรงชั้น1 แต่หนูไม่ขายแค่นี้นะ คือห้างมันเปิดช่วงสาย หนูเลยไปขายตลาดเช้าก่อนคือที่บิ๊กซีบางนา ไปตั้งขายที่โน่นก่อนแล้วฝากร้านข้างๆขาย ตอนเย็นปิดร้านที่ยูเนี่ยนมอลล์จากที่นี่ หนูก็จะกลับไปนับสต๊อคที่โน่น คือหนูคนเดียวมันทำไม่ได้สองที่ หนูเลยจ้างฝากคนขาย เขาขายได้ให้ตัวละ 20 บาท แต่หนูจะไปจัดร้านให้เขาก่อนแล้วหนูจะไปนับผ้า ทำแบบนี้จนไม่ไหวมันเหนื่อย มันไกล สุดท้ายเลยตัดสินใจมาอยู่ที่ยูเนี่ยนมอลล์ร้านเดียว ชั้น F1 เพราะหนูเก็บเงินเก่ง หนูไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ใช่เงินสุรุ่ยสุร่าย เก็บเงินได้จนมาเปิดร้านที่แพลทตินั่มตอนนั้นใช้เงินประมาณเกือบสองล้าน เพราะแพลทตินั่มต้องมีเงินค่าแป๊ะเจี้ย ค่ามัดจำ ค่าเช่าล็อก เดือนละแสนแปด มัดจำไป 5 เดือนนะ หนูบินไปที่จีน ไปเอาเสื้อผ้าเอง คนเริ่มรู้จักเรามากขึ้น เพราะเอาตัวเองเป็นนางแบบเองขายเอง นี่คือจุดเริ่มต้นจนตัดสินใจมาขายของเกี่ยวกับความสวยความงามเมื่อเมษายนปีที่แล้ว ผ่านมาได้แค่ปีเดียวเองนะ คือมาขายคอลลาเจ้น ตอนแรกคือแบบเรากินเองแล้วมันดีมาก จริงๆไม่ได้คิดจะออกแบรนด์สินค้าเลย ก็ขายเสื้อผ้ากันอยู่นี่แหละ จนได้มากินคอลลาเจ้นเพราะอยากขาว พอทานเข้าไปแล้วมันดีมากเลยสั่งซื้อกินตลอด จนมีอยู่วันนึง หนูสั่งทางไลน์จากคนที่คนขายให้ประจำแล้วเขาไม่ตอบ เขาไม่ตอบเพราะไลน์เขาเสีย แต่ของหนูมันหมดเลยบอกแฟนว่าให้เสิร์จหาให้หน่อย เขาเลยไปจนเจอคนกลางที่ผลิตสินค้า เขาเลยบอกว่าถ้าสั่ง 50 กระปุกขึ้นไปจะได้ในราคาถูกลงมา หนูเลยบอกแฟนว่าซื้อมาเถอะมันกินดี ยังไงเราก็กินหมดอยู่แล้ว ถ้ากินไม่หมดเราก็ค่อยเอามาขาย เลยสั่งมาแล้วทางคนที่ผลิตเขาบอกหนูว่า ถ้าสั่งขนาดนี้ สามารถใส่ชื่อแบรนด์ตัวเองก็ได้นะ หนูนึกอะไรไม่บอกเลยใส่ชื่อแบรนด์เป็นชื่อตัวเองว่า ByFonFon (บายฝนฝน) เป็นชื่อตัวเอง แล้วติดฉลากบนกระป๋องเลยลองเอามาขาย ปรากฏว่าขายได้แบบอาทิตย์หนึ่งขายได้ 50 กระปุกเลย!!!”





“หนูก็ขายได้ของหนูได้เรื่อยๆจนมีคนมาขอเปิดบิลตัวแทน ด้วยความที่ของมันดีจริงมันเลยขายได้ พอมันขายได้หนูเลยบอกแฟนว่าเราลองมาทำจริงจังกันมั้ย คือปีที่แล้วหนูอายุ 35 ตอนนี้หนูอายุ 36 อีกไม่กี่ปีก็ 40  หนูทานคอลลาเจนเยอะๆ หน้ามันก็จะเด็ก ทุกคนก็จะถามว่าพี่อายุ 36 แล้วเหรอไม่น่าเชื่อ เลยเป็นจุดขายหน้ายังไม่ค่อยแก่ แล้วพอคอลลาเจ้นมันขายได้ หนูกับแฟนเลยคิดจะมีลูกกัน เลยอยากหาอะไรที่มันไม่ต้องเหนื่อยทำกันเหมือนงานขายเสื้อผ้า เลยตัดสินใจปิดกิจการร้านเสื้อผ้าที่แพลตตินั่มและยูเนี่ยนมอลล์ มาลุยเต็มตัว ผลคือมันปังมาก ขายคอลลาเจ้นแบรนด์ที่ตัวเองสร้างมาได้ดีมาก เชื่อมั้ยค่ะภายในสามเดือนยอดขายพุ่งกระชูด เริ่มต้นจากปีที่แล้วตอนเดือนเมษา มาถึงตอนนี้ปีนิดเองๆ มูลค่าเกือบ 100 ล้านแล้ว คอลลาเจ้น กินแล้วผิวหน้าเด็ก ริ้วรอยหาย ผิวหน้าฟูขึ้น พอเนื้อผิวเราฟู ผิวเราก็สดใส ตื่นมาแล้วหน้าเด้งสดใส เหมือนหน้าเด็ก มันมีออร่า ขาวจากข้างใน”



“อยากจะบอกว่า ขาวจากข้างในมันไม่เหมือนกับขาวด้วยการทาครีม เพราะการกินคอลลาเจ้นกินแล้วตื่นมาจะรู้สึกว่าตัวเองหน้าใส หน้าสวย หล่อ ผิวจะดี กดลงไปผิวมันจะเด้งขึ้นมามันจะนุ่ม ขาวด้วย สดใส ออร่าออก ผิวไม่เหี่ยว แต่ก่อนหนูดำมาก ตอนทำเคเอฟซี โครตดำมาก ดำแดดด้วย ดำกรรมพันธุ์ด้วย ขาวได้ขนาดนี้ถือว่าขาวมาก จากที่สินค้าตัวแรกเราทำแล้วสำเร็จก็เริ่มผลิตกลูต้าออกมาซึ่งจะทำให้ตัวขาวโดยตรงเลย นอกจากนั้นก็มีสบู่และครีมบำรุงผิว สำหรับหนูคอนเซ็ปของการทำธุรกิจคือใช้ตัวเองเป็นหนูทดลอง ถ้าไม่ดีจริงไม่ทำออกมาขาย คุณภาพเราต้องมาก่อน เน้นขายออนไลน์อย่างเดียว ฟีดแบคดีมาก คนที่เป็นตัวแทนก็ขายดีมาก”


วันนี้ถึงมาไกลจากความจนเยอะมากแต่ก็ไม่เคยลืมอดีต เจอหรือพบเห็นคนลำบาก เจ้ฝนจะอยู่เฉยไม่ได้ อะไรที่ช่วยได้ ทำเต็มที่ “ทุกวันนี้พอเรามีเงินมีทองเราอยู่สบาย เวลาเห็นคนที่ลำบาก หนูก็ย้อนนึกถึงตัวเอง จึงชอบไปแจกข้าวคนจน อีกไม่กี่วันก็จะไปแจกแถวเสาชิงช้า ห่อใส่กล่องแล้วไปจอดรถยืนแจก คนที่เขาลำบากคนเร่ร่อนก็จะเดินมาหาเอาข้าวกล่องจากเรา ที่ทำแบบนี้ไม่ได้เอาหน้าหรืออยากดังอะไร เพราะหนูทำมาตลอดเงียบๆ ที่ทำเพราะ เรารู้ว่าความจนความลำบากมันเป็นยังไง เขาหิวแค่ไหน เขาทรมานแค่ไหนหนูเข้าใจเพราะหนูผ่านจุดนั้นมาแล้ว หนูจนขนาดตอนที่อยู่ห้องแคบๆ ไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อน้ำกิน ต้องกินน้ำก๊อกเอา ไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อผ้าอนามัย กระดาษทิชชู่ก็ไม่มี ต้องปล่อยให้ประจำเดือนมันไหลออกมาเปื้อนกางเกง เวลาไม่มีก็ไม่มีจริงๆนะ จนทุกวันนี้เราลืมตาอ้าปากได้ เห็นใครที่ลำบากกว่าเราก็อยากช่วยเหลือเท่าที่เราจะทำได้”

 

Credit: http://updatenews.sayhibeauty.com/2016/05/100_16.html
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...