"ชกมวย" ป้องกันการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง

หากพูดถึงกีฬาลูกผู้ชายอย่าง"ชกมวย"และ"ชักว่าว"พร้อมกันแล้ว คงยากที่จะคิดถึงว่ากีฬาทั้งสองอย่างนี้จะมาเชื่อมโยงกันได้อย่างไร โดยเฉพาะผู้ชายในยุคปัจจุบันที่อาจจะรู้จักกีฬาอย่างแรกน้อยลงไปเรื่อยๆในขณะที่เชี่ยวชาญอย่างหลังถึงขีดสุด

หากแต่เมื่อย้อนไปในอดีตช่วงศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 ซึ่งสังคมส่วนใหญ่โดยเฉพาะทางตะวันตกยังต่อต้านและมองว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองของผู้ชายนั้นเป็นเรื่องผิดบาป ทั้งจากมุมมองด้านศาสนาและมุมมองทางการแพทย์แบบหัวโบราณ ดังจะเห็นได้จากอุปกรณ์ต่อต้านการสำเร็จความใคร่ชนิดพิสดารชวนขนลุกต่างๆ

 

ต่อมาเมื่อวิทยาศาสตร์เจริญขึ้นบรรดาหมอและนักวิทยาศาสตร์ที่หมกมุ่นและลำเอียงอยู่กับความเชื่อเดิมต่างก็ยังคงใส่ความให้ร้ายว่าการช่วยตัวเองนั้นเป็นต้นเหตุของโรคภัยสารพัดทั้ง สิว ความอ่อนเปลี้ยเพลียแรง นอนไม่หลับ โรคกระเพาะ หูหนาวก ตาบอด โรคประสาท ฯลฯ ทั้งนี้บรรดาหนังสือบทความสนับสนุนก็มาจากความคิดเห็นส่วนตัวของท่านเหล่านั้นล้วนๆโดยปราศจากหลักฐานที่แท้จริงทางวิทยาศาสตร์ และพยายามแนะนำให้พ่อแม่ ครูอาจารย์ในโรงเรียนคอยควบคุมห้ามปรามอย่างเข้มงวดเพื่อมิให้เด็กชายวัยแตกหนุ่มที่คึกคะนองกับอารมณ์ทางเพศริอาจไปแตะต้ององคชาตน้อยๆที่กำลังแข็งตัวชูชันเพื่อที่จะเล่นกีฬาอย่าง"ชักว่าว"

ปัจจุบันหากพูดถึงแนวคิดต่อต้านการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองในสังคมฝรั่งแล้ว ยังคงมีคำแนะนำสำหรับพ่อแม่ที่ต้องการห้ามไม่ให้ลูกชายวัยรุ่นของตนเองชักว่าวที่ออกไปเชิงเสียดสีและติดตลกอยู่ประการหนึ่งคือ "Put boxing gloves on your children's hands at bedtime" นั่นก็คือให้สวมนวมต่อยมวยให้ลูกเวลาเข้านอนนั่นเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กชายใช้มือกำช้างน้อยของตนเองได้อีกทั้งนวมชกมวยยังถอดออกเองยากหากไม่มีคนช่วยถอด นี่เป็นหนึ่งในคำแนะนำหลายๆประการที่มีตั้งแต่ถอดประตูห้องนอน เจาะฝาห้องน้ำ ทุบทีวีทิ้ง ฯลฯ ฟังดูอาจเหลือเชื่อและน่าสมเพชว่าการใส่นวมชกมวยเพื่อจุดประสงค์นั้นช่างดูโง่เง่า แต่หากย้อนกลับไปอย่างน้อย 50-60 ปีก่อนนี่ก็เป็นคำแนะนำที่ปฏิบัติกันกันจริงสำหรับเด็กชาย

 

ในสมัยนั้นการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองถือเป็นความผิดปกติที่ต้องรักษา ซึ่งวิธีการรักษาก็มีแพทย์หลายท่านเขียนไว้เป็นเรื่องเป็นราวทีเดียว เช่น นพ.จอห์น ฮาร์วีย์ เคลล็อก (John Harvey Kellogg, M.D.) ซึ่งเขียนหนังสือเพศศึกษาเรื่อง Plain facts for old and young ในปี 1910 ได้บรรยายถึงมาตรการต่างๆ เช่น การเลือกหมอนที่นอนและเครื่องแต่งกายที่ระงับอารมณ์ทางเพศ การมัดมือเท้าและห่อหุ้มร่างกายด้วยผ้าและอุปกรณ์อย่างนวมชกมวยเพื่อไม่ให้เด็กชายสัมผัสกับอวัยวะเพศตนเอง การออกกำลังเล่นกีฬา การแช่ตัวด้วยน้ำร้อนน้ำเย็น การสวนล้างทวารหนัก การขลิบปลายอวัยวะเพศ การบังคับแต่งงานโดยเร็ว ฯลฯ รวมถึงวิธีการโหดๆอย่างการใช้ไฟฟ้าช็อตเวลาจับได้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นช่วยตัวเอง (นี่เรื่องจริงจ้า เขียนอยู่ในตำราเลย) และเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึงผลิตผลอย่างอาหารเช้าคอนเฟลกซ์ (ที่ยังมียี่ห้อเคลล็อกของอีตานี่อยู่ยืนยงมาถึงปัจจุบัน) ก็มามาจากความเชื่อว่า อาหารจืดๆชืดๆเย็นๆไร้เนื้อสัตว์เช่นคอนเฟลกจะช่วยให้เด็กๆลดพลังทางเพศที่มากเกินไปลงได้

 

ภาพจากหนังสือ Plain facts for old and young (1910) แสดงการแช่และห่อหุ้มร่างกายเพื่อรักษาอาการช่วยตัวเอง

ประกอบกับในช่วงหลังยุควิคตอเรียนซึ่งกีฬาชกมวยเฟื่องฟูมากโดยเริ่มจากอังกฤษ แพร่ไปในยุโรปและข้ามไปยังอเมริกา สมัยนั้นกีฬาที่ต่อสู้ด้วยหมัดมวยนั้นยังนิยมเรียกด้วยชื่ออื่นนอกจาก Boxing เช่นคำว่า Prizefighting หรือ Pugilism ซึ่งเป็นคำเรียกที่ต้องการบ่งชี้ว่าการชกมวยนั้นเป็นคุณสมบัติสำคัญและเป็นสัญลักษณ์ที่ลูกผู้ชายพึงมี ดังนั้นกีฬามวยจึงเป็นที่นิยมอย่างมากของเด็กผู้ชายในยุคนั้นและถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการปลูกฝังเยาวชนในยุคนั้นหลายๆเรื่องรวมทั้งการผูกรวมเข้ากับแนวคิดต่อต้านการช่วยตัวเอง ในหลักสูตรกีฬาและสุขศึกษาของโรงเรียนมัธยมในยุคนั้นจึงเน้นผลักดันให้นักเรียนได้ออกแรงอย่างหนักกับการชกมวยเพื่อให้ให้เหลือพลังทางเพศไปทำอย่างอื่น ในขณะเดียวกันก็สอนความเชื่อด้วยว่าการช่วยตัวเองจะทำลายสมรรถภาพทางการกีฬาและความแข็งแรงของร่างกาย นักกีฬาผู้ที่จะทำการแข่งจะต้องไม่ช่วยตัวเองเด็ดขาดซึ่งความเชื่อดังกล่าวยังคงหลงเหลือมาจนปัจจุบัน

 

ในวงการลูกเสือรวมถึงตัว ลอร์ด เบเดน โพเอลล์ (Lord baden powell) บิดาลูกเสือโลกเองก็ให้การสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว หนังสือสำหรับลูกเสือหลายเล่ม เช่น Boyscout manual (1945) หรือ Merit Badge Series (1930s) ซึ่งตีพิมพ์นับล้านเล่มต่างก็บรรยายถึงความชั่วร้ายของการสำเร็จความใคร่และสนับสนุนให้การออกกำลังการอย่างหนัก ("vigorous exercise") โดยเฉพาะการออกกำลังแขนและร่างกายช่วงบนจากกีฬาอย่างชกมวย ("exercising the upper part of the body by arm exercises, boxing, etc.") เป็นหนทางที่จะใช้ต่อสู้กับความต้องการสำเร็จความใคร่ได้

 

ผลที่ตามมาก็คือครอบครัวฝรั่งในยุคนั้นต่างก็มีอุปกรณ์กีฬาเป็นนวมชกมวยติดบ้านกันอย่างแพร่หลาย ประมาณว่าถ้าบ้านไหนมีลูกชายต้องต้องหาซื้อนวมมาให้เล่น และในเมื่อมีนวมเพื่อชกมวยแล้วก็ใช้นวมอันนั้นเพื่อป้องกันการชักว่าวด้วยเสียเลย โดยผูกเข้ากับมือลูกชายตนเองเวลาเข้านอนซึ่งจะถอดไม่ออกแน่ๆ เพราะนวมต่อยมวยสมัยนั้นเป็นชนิดผูกเชือก (Lace-up) ล้วนๆยังไม่มีชนิดแถบขน (Velcro) ที่ถอดง่ายๆแบบในปัจจุบัน ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะใช้ได้ผลสมดังวัตถุประสงค์หรือไม่เป็นเรื่องที่ตอบได้ยาก เนื่องจากมีความเห็นทางการแพทย์ที่บรรยายถึงการใช้นวมเพื่อป้องกันการช่วยตัวเองในกลุ่มเด็กปัญญาอ่อนนั้นบ่อยครั้งที่ล้มเหลวเพราะเด็กชายเหล่านั้นยังคงสามารถใช้กำปั้นหุ้มนวมในการกระแทกกระทั้นบริเวณเป้าของตนเองจนกางเกงชั้นในเปียกได้ ต่อมาวิธีการ(อันเหลวไหล)ที่เกี่ยวข้องกับนวมชกมวยนี้จึงเสื่อมความนิยมและลืมหายไปตามยุคสมัยที่เจริญขึ้น โดยนวมชกมวยยังคงถูกใช้ในกลุ่มผู้ป่วยปัญญาอ่อนมาจนกระทั่งปลายยุค 1980s ซึ่งสังคมเริ่มมองว่าเป็นกระทำที่ขัดต่อหลักจริยธรรมและสิทธิมนุษยชน โดยตำราจิตเวชบางเล่ม เช่น Sexual problems of adolescents in institutions ในปี 1981 ได้บรรยายถึงจุดจบวิธีการดังกล่าว

 

หนังสือพิมพ์ในปี 1979 พูดถึงประเด็นการใช้"นวมชกมวย"ในกลุ่มผู้ป่วยเด็กปัญญาอ่อน โดยสรุปเอาเป็นว่าดูไว้เป็นแบบอย่างความไม่รู้จนทำอะไรเหลวไหลของคนสมัยก่อนก็ได้ เพราะในความเป็นจริงกีฬาที่เด็กวัยรุ่นลงมือลงแรงเล่นกันอย่างเมามันเป็นกิจวัตรอย่าง"การชักว่าว"นั้นหาได้เป็นโทษต่อสุขภาพร่างการแต่อย่างใดไม่ ซ้ำยังเป็นประโยชน์ด้วยจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันในปัจจุบัน แม้ว่าแนวคิดเต้าล้านปียังคงปรากฏอยู่บ้างเป็นครั้งคราวอย่างข้อสอบโอเน็ตหลายปีก่อนที่พยายามหาทางออกให้อารมณ์ทางเพศด้วยกีฬาอย่าง"เตะบอล"แทนที่การชกมวยดังเช่นในอดีต

 

Credit: http://board.postjung.com/963904.html
9 พ.ค. 59 เวลา 09:48 3,022 10
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...