จับเท็จ "รหัสลับดาวินชี"

“รหัสลับดาวินชี” หรือ THE DAVINCI CODE เป็นนวนิยายซ่อน เงื่อนที่แดน บราวน์ (DAN BROWN) ประพันธ์ขึ้น และวางจำหน่ายในเดือนมีนาคม 2546 ซึ่งก็ติดอันดับหนึ่งหนังสือขายดีทันที จนถึงเดี๋ยวนี้ขายได้ถึง 15 ล้านเล่ม และแปลออกเป็น 30 ภาษา ทั้งนี้เพราะหนังสือเล่มนี้ ได้วางพล็อตเรื่องที่ทำให้ ผู้อ่านต้องตื่นตะลึง และสร้างความสั่นสะเทือน ให้แก่คริสต์ศาสนจักรพอสมควร โดยประเด็นสำคัญของนิยายมีดังนี้

ผู้ประพันธ์อ้างว่า ในประวัติที่แท้จริงของ จีซัส ไครสท์ หรือองค์เยซูนั้น พระองค์ ทรงแต่งงานและมีทายาทสืบสายพระโลหิต โดยผู้ที่ทรงสมรสด้วย คือสาวกใกล้ชิดนามว่า แมรี แม็กดาลีน ซึ่งเป็นโสเภณี จากนั้นเชื้อพระวงศ์แห่งองค์เยซูก็ได้สืบทอดต่อๆกันมา ยาวนานกว่า 2,000 ปี จนถึงปัจจุบันนี้ (ซึ่งนี่ก็คือความลับที่คนส่วนใหญ่รู้จักในชื่อของ จอกศักดิ์สิทธิ์ หรือโฮลีย์เกรล แต่ทุกคนเข้าใจผิดว่าจอกนี้คือถ้วยที่องค์เยซูใช้เสวยในมื้อสุดท้าย หรืออาจเป็นจอกที่ใช้รองรับพระโลหิตของพระองค์ไว้) แน่นอนว่าหากความลับในเรื่องเชื้อพระวงศ์แพร่สะพัดออกไป คริสตจักรจะต้องวุ่นวาย เพราะนั่นย่อมหมายถึงว่าองค์เยซูก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไข มิใช่เทพหรือพระบุตรของพระเจ้าแต่อย่างใด


ดังนั้น เมื่อเหล่านักรบผู้พิทักษ์ศาสนาหรืออัศวินเทมปลาร์ ได้ค้นพบเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ในศตวรรษที่ 11 ประมุขแห่งคริสต์นิกายคาทอลิก จึงได้มีบัญชาให้กำจัดสายพระโลหิตแห่งองค์เยซูในทันที เป็นเหตุให้เชื้อพระวงศ์จำต้องหลบซ่อนกายมิให้ผู้ใดพบเห็น (นั่นคือการสูญหายของจอกศักดิ์สิทธิ์ที่มีตำนานการสืบหากันให้จ้าละหวั่น) และได้มีเสียงร่ำลือว่าพวกเขาพำนักอยู่ในฝรั่งเศส โดยมีองค์กรลับชื่อ “ปริเออเร่เดอซิยอง” หรือ PRIORY OF SION คอยเฝ้าพิทักษ์ ซึ่งผู้นำของสมาคมนี้ก็ล้วนเป็นผู้โด่งดังในอดีต อาทิ เซอร์ ไอแสค นิวตัน, วีกเตอร์ อูโก (นักประพันธ์เอก), ลีโอนาร์โด ดาวินชี ฯลฯ


และนิยาย “รหัสลับดาวินชี” ก็บรรยายถึงการฆาตกรรมตามล้างอย่างเหี้ยมโหด ที่ คริสตจักรมีต่อองค์กรลับนี้

ผู้เขียนคือ แดน บราวน์ ได้สร้างเหตุการณ์ ขึ้นมาอย่างสมจริงสมจัง จนทำให้ผู้อ่านนับล้านเกิดความพิศวง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่รู้ว่ามีความจริงอยู่มากน้อยเพียงใด

ดังนั้น จึงได้มีการสืบหาเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ โดยการสัมภาษณ์ท่านผู้มีความชำนาญในสาขาวิชาต่างๆ ทั้งนี้ ปัญหาที่จะต้องทำให้กระจ่างนั้นมีอยู่ 4 ข้อ ด้วยกันคือ



1.องค์เยซูทรงมีทายาทกับแมรี แม็กดาลีน จริงหรือ?

2.ดาวินชี ซ่อนรหัสในเรื่องนี้ไว้ในจิตรกรรมของเขาใช่หรือไม่?

3.สายพระโลหิตขององค์เยซูยังสืบทอดมาถึงเดี๋ยวนี้จริงหรือ?

4.จอกศักดิ์สิทธิ์มีจริงหรือไม่?


ก่อนที่จะพิจารณาปัญหาดังกล่าว เราควรพึงรู้ที่มาของหลักฐานที่ผู้เขียน (แดน บราวน์) ยกมากล่าวอ้าง นั่นก็คือ ภาพวาดอันลือลั่น “อาหารมื้อสุดท้าย (THE LAST SUPPER)” ของลีโอนาร์โด ดาวินชี ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงโต๊ะอาหารยาว ซึ่งมีผู้ร่วมรับประทานอาหาร รวม 13 คน มีองค์เยซูประทับอยู่กลางภาพ

ถึงตรงนี้ก็ขอยก บางตอนจากหนังสือ “รหัสลับดาวินชี” ที่แปลโดย “อรดี สุวรรณโกมล” มาลงไว้


“...โซฟีพินิจดูร่างที่นั่งทางขวา ถัดจากพระเยซู...บุคคลผู้นั้น มีผมสีแดงปล่อยสบาย มือที่ประสานกันอยู่ดูบอบบาง และมีร่องรอยบ่งชี้ว่ามีทรวงอก โดยไม่ต้องสงสัย นั่นคือ...ผู้หญิงแน่นอน”

“...เดอะลาสต์ซัปเปอร์ต้องประกอบด้วยผู้ชาย 13 คนนี่นะ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน...”


ตรงจุดนี้แหละครับ ที่ทำให้ผู้ประพันธ์ อ้างว่า ดาวินชี เขียนรูปแมรี แม็กดาลีน ไว้ทางด้านขวามือขององค์เยซู ชี้ให้เห็นถึงสถานภาพว่าจีซัส กับแมรีเป็นสามีภรรยากัน แล้วยังยกข้อสังเกตอื่นๆมาประกอบด้วย เช่นว่า การวางลักษณะตำแหน่งของผู้นั่ง ทำให้ เกิดตัวอักษร M คือชื่อ แม็กดาลีน และตัวอักษร V ซึ่งสมัยโบราณ ใช้เป็นสัญลักษณ์ของสตรีเพศ


แต่ข้ออ้างเหล่านี้ ซิสเตอร์เวนดี้ เบ็กเก็ตต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ ชี้แจงว่า

ถ้าหากในหมู่สาวก 12 คนนั้น เป็นแมรี แม็กดาลีน เสียคนหนึ่ง แล้ว เซนต์จอห์น สาวกคนสำคัญหายไปไหน เซนต์จอห์นนั้นยังอยู่ในวัยหนุ่มสดใส เขามีรูปร่างระหงอ้อนแอ้น ดังนั้น ผู้ที่อยู่ทางขวามือขององค์เยซูจึงน่าจะเป็นเซนต์จอห์น หาใช่สตรีที่ไหนไม่

ส่วนตัวอักษร V นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติแต่อย่างใด ภาพของคนที่กำลังก้มๆเงยๆก็ย่อมทำให้เกิดเป็นตัวอักษร V ได้ทั้งนั้น ดังเช่นภาพตัว V ระหว่าง ฟิลิป กับ แม็ทธิว (ซีกขวามือของภาพ) หรือแม้กระทั่งระหว่าง แม็ทธิว กับ ธาดดีอุส ก็ยังมีตัว V เล็กๆปรากฏอยู่


ภาพปูนเปียก “อาหารมื้อสุดท้าย” มีอายุตั้งเกือบ 500 ปี มาแล้ว และชำรุดเสียหายมาก เป็นการยากที่จะบอกได้ว่าบุคคลในภาพเป็นชายหรือหญิง แต่สิ่งที่น่าตระหนักอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าหากดาวินชี แอบเขียนภาพสตรีใส่ลงไป เขาก็น่าจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างแน่นอน

อีกประเด็นหนึ่งที่แดน บราวน์ หยิบยกเอามาเขียนก็คือ คนยิวซึ่งนับถือศาสนาจูดาย มีความเชื่อว่าการไม่มีทายาทสืบทอดสายเลือดนั้นเป็นบาป และองค์เยซูก็เป็นชาวยิว ดังนั้น การที่พระองค์จะทรงมีภรรยาจึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นไปได้


ในเรื่องนี้ ท่านแรบไบ (นักบวชยิว) โจนาธาน โรเมน แห่งโบสถ์ เมเดนเฮด ได้ให้ความเห็นว่า

จริงอยู่ ที่คนยิวทั่วไปมีแนวโน้มที่จะแต่งงาน หนึ่ง เพราะเป็นศรัทธาหลักของจูดาย และ สอง เป็นเพราะธรรมชาติของมนุษย์ที่จะสืบพันธุ์ แต่ข้อเท็จจริงคือ ก็ยังมียิวส่วนหนึ่งที่ไม่คิดจะสมรส มีศาสดาพยากรณ์หลายคนที่ถูกบันทึกไว้ว่า ไม่เคยผ่านการสมรสเลย ดังนั้น การเป็นโสดจึงมิใช่ บาปแต่อย่างใด

และจากอีกตอนหนึ่งของหนังสือที่คุณอรดีแปลไว้



“...ตามที่เดอะไพรเออรีกล่าวไว้ แมรี แม็กดาลีน ตั้งครรภ์ในช่วงเวลาที่พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขน เพื่อความปลอดภัยของบุตรในครรภ์อันเป็นสายเลือดของพระคริสต์ เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนีออกไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความช่วยเหลือของลุงที่วางใจได้ของพระเยซู คือ โยเซฟแห่งอริมาเธีย แมรี แม็กดาลีน ก็ลอบเดินทางมาฝรั่งเศส ซึ่งตอนนั้นรู้จักกันในชื่อว่าโกล เธอพักพิงอย่างปลอดภัยในชุมชนชาวยิวที่นั่น และก็ที่ฝรั่งเศสนี่เอง ที่เธอให้ กำเนิดธิดา ชื่อของเธอคือซาราห์...”


“...ธิดาของแม็กดาลีนสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ยิว คือพระเจ้าเดวิดและพระเจ้าโซโลมอน ด้วยเหตุนี้ชาวยิวในฝรั่งเศสจึงถือว่าแม็กดาลีนเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ และนับถือเธอในฐานะบรรพสตรีแห่งกษัตริย์ที่สืบเชื้อสายกันมา...”


“...เชื้อสายแห่งพระคริสต์ก็เติบโตขึ้นอย่างเงียบเชียบภายใต้ที่หลบซ่อนในฝรั่งเศส จนกระทั่งมีการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญมากในศตวรรษที่ 5 เมื่อเชื้อสายแห่งพระคริสต์เสกสมรสกับเชื้อ พระวงศ์ฝรั่งเศส และสร้างวงศ์วานเชื้อสายที่รู้จักกันในนามสายเลือด เมอโรแว็งยิอัง...”


จากนั้นหนังสือ “รหัสลับดาวินชี” ก็ได้ เอ่ยพระนามพระเจ้า ดาโกแบรต์ กษัตริย์แห่งราชวงศ์เมอโรแว็งยิอัง ผู้ซึ่งถูกลอบสังหาร (โดยวาติกัน?) แต่พระโอรสคือ ซิยิสต์แบรต์ ลอบหนี และสืบเชื้อสายต่อมาได้ กระทั่งสุดท้าย ก็เหลืออยู่ไม่กี่คนที่สืบเชื้อสายจากราชวงศ์นี้ที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน!

เกี่ยวกับข้ออ้างนี้ ศาสตราจารย์ พอล โฟราเคร แห่งสาขาวิชาประวัติศาสตร์ยุคกลาง มหา'ลัยแมนเชสเตอร์ กล่าวว่า


“จากหลักฐานที่มีอยู่ กษัตริย์ดาโกแบรต์ มีพระองค์จริง และเป็นที่รู้จักกันดี พระราชโอรสซิยิสต์แบรต์ ก็มีพระองค์จริงเช่นกัน ถัดมาคือพระเจ้า ดาโกแบรต์ที่ 2 ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าทรงสมรสหรือไม่ มีรัชทายาทหรือไม่ แม้ว่าผมจะคลุกคลีกับประวัติศาสตร์ยุคกลางมานานเกือบ 30 ปี แต่ผมก็ไม่เคยค้นพบผู้เป็นทายาท สืบทอดจากพระองค์ลงมา อีกทั้งราชวงศ์เมอโรแว็งยิอังก็สาบสูญไปตั้งแต่ ค.ศ.751 นานตั้งพันกว่าปีมาแล้ว จึงไม่อาจรู้ได้จริงๆว่า ยังมีเชื้อสายพระราชวงศ์เหลืออยู่หรือไม่”

สรุปแล้ว คณะผู้ค้นคว้าหาข้อเท็จจริงก็ลงความเห็นว่า “รหัสลับดาวินชี” นั้นเป็นเรื่องที่เหลวไหลทั้งเพ (It's all a sham)

Credit: นสพ.ไทยรัฐ และhttp://www.artsmen.net
#davinci #code
yuyupanther
Associate Producer
สมาชิก VIPสมาชิก VIPสมาชิก VIP
11 มิ.ย. 53 เวลา 10:54 3,221 10 64
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...