ปรากฏการณ์โซโตะโคโมริ: เมื่อคนญี่ปุ่นไม่อยากอยู่ญี่ปุ่น

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า ฮิคิโคโมริ (引きこもり)ซึ่งหมายถึงอาการไม่อยากออกจากบ้านไปพบปะผู้คน ไม่อยากเข้าสังคม แต่มีอีกคำหนึ่งที่มีความหมายในเชิงตรงกันข้าม นั่นคือ โซโตะโคโมริ (外こもり)เป็นคำที่เริ่มเกิดขึ้นและแพร่หลายในวงการสื่อและวิชาการตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว โดยเป็นคำที่ใช้เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่คนญี่ปุ่นจำนวนหนึ่ง ไม่อยากอยู่ญี่ปุ่น และตัดสินใจอพยพย้ายออกไปอยู่ต่างประเทศเป็นระยะเวลานานๆ หรือไม่ก็ไม่กลับมาญี่ปุ่นอีกเลยตลอดชีวิต กล่าวกันว่าปรากฏการณ์โซโตะโคโมริมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

สาเหตุของ “โซโตะโคโมริ”

 

ในความเข้าใจทั่วไป การที่คนญี่ปุ่นส่วนหนึ่งไม่อยากอยู่ในญี่ปุ่นเพราะมีสาเหตุหลักคือ “ความแพง” ในการดำรงชีพ เป็นที่รับรู้กันว่าเมืองหลวงอย่างโตเกียวและเมืองใหญ่ๆของญี่ปุ่นนั้นค่าครองชีพแพงเป็นลำดับต้นๆของโลก คนจำนวนหนึ่งที่อาจมีรายได้น้อยก็มักเร่งสะสมเงินให้ได้ก้อนหนึ่ง แล้วอพยพไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ค่าครองชีพต่ำกว่าญี่ปุ่นหลายเท่าตัว แล้วใช้ชีวิตด้วยเงินก้อนนั้นเป็นระยะเวลานานๆโดยไม่ต้องทำงาน อยู่อย่างสบายๆ แต่เมื่อมองปรากฏการณ์นี้ให้ละเอียดขึ้น จะพบว่าปัจจัยต้นเหตุอีกประการหนึ่งก็คือ ความเครียดที่ต้องประสบในที่ทำงานและในชีวิตประจำวัน โดยคนที่ไม่อยากอยู่ญี่ปุ่นมักให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องทางใจ เนื่องจากสังคมญี่ปุ่นค่อนข้างปิดแคบ มีกฎระเบียบและธรรมเนียมมากมายจนทำให้เกิดความเครียดและความเบื่อหน่าย จึงต้องการออกไปใช้ชีวิตยังต่างประเทศเพื่อแสวงหาความหมายของชีวิต และได้เจอกับสิ่งใหม่ๆคนใหม่ๆบ้าง

ใครไม่อยากอยู่ญี่ปุ่น?

โซโตะโคโมริ มีแนวโน้มเกิดขึ้นในหมู่วัยรุ่นญี่ปุ่น ที่เบื่อและหวาดกลัวการใช้ชีวิตอยู่ใน “ระบบ” แบบญี่ปุ่น นั่นก็คือทำงานและใช้ชีวิตแบบเดียวกับคนอื่นๆ จนขาดสีสันในชีวิต ไม่ก็มีปัญหากับครอบครัวจนต้องการตัดตัวเองออกไป อีกกลุ่มหนึ่งก็คือชายวัยกลางคนหรือวัยหลังเกษียณ ที่ต้องผจญกับความเครียดทางการเงินและปัญหาชีวิตต่างๆ

เมืองไทย…สวรรค์ของโซโตะโคโมริ

 

ถนนข้าวสาร แหล่งรวมโซโตะโคโมริ

กล่าวกันว่าคนที่เกิดอาการโซโตะโคโมริ มักเลือกจุดหมายปลายทางที่กรุงเทพฯเป็นอันดับหนึ่ง นั่นเพราะค่าครองชีพที่ถูกแสนถูก โดยมีคนคำนวณไว้ว่า การอยู่ในกรุงเทพฯได้อย่างสบายๆใช้เงินเพียงครึ่งของที่ญี่ปุ่น โดยค่าใช้จ่ายต่อเดือนของคนญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ คือราว 90,000-175,000 เยน เท่านั้น ซึ่งก็จะได้รับความสะดวกสบายและใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องรีบร้อนได้ นอกเหนือจากการที่กรุงเทพฯมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันแล้ว กรุงเทพฯ ยังมีชุมชนคนญี่ปุ่น และมีข้าวของเครื่องใช้ของกินญี่ปุ่นขายอยู่ทั่วไป โซนฮิตของเหล่าโซโตะโคโมริวัยรุ่น ก็คือถนนข้าวสารที่มีเกสท์เฮ้าส์ราคาถูกและมีบรรยากาศสนุกสนาน ส่วนคนที่มีอายุเยอะหน่อยมักอยู่โซนสุขุมวิท เขตวัฒนา หรือพระโขนง ผู้ที่อยู่ในกรุงเทพฯเป็นเวลานานๆ ก็ใช้บริการจัดหางานของคนญี่ปุ่นเพื่อหางานบริษัทญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ที่เป็นลักษณะฟรีแลนซ์ได้ไม่ยากเย็น

คอนโดและเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ในสุขุมวิท เป็นอีกแหล่งยอดนิยม

 

ของกินของใช้สไตล์ญี่ปุ่นที่มีอยู่ครบครัน “ฟุคุจัง” ผู้เป็นตำนานของชาวโซโตะโคโมริ

ฟุคุจังคือชายคนหนึ่งที่ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นด้วยเหตุผลทางสังคมและเรื่องส่วนตัว จึงได้อพยพมาอยู่ไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อน และใช้ชีวิตในแบบไทยๆด้วยค่าครองชีพเดียวกับคนไทย ฟุคุจังกลายมาเป็นคนดังและเป็นตัวแทนของชาวโซโตะโคโมริที่อายุยังน้อยจากการที่สารคดีชีวิตชุดหนึ่งของญี่ปุ่นได้มาถ่ายทำเรื่องราวของฟุคุจัง เรียกความสงสารและเอ็นดูจากผู้ชมทั่วไป ปัจจุบันฟุคุจังเปิดร้านขายราเมงอยู่ที่ถนนข้าวสาร

คลิปสัมภาษณ์ฟุคุจังขณะปรุงราเมง

โซโตะโคโมริสะท้อนสังคมไทยและญี่ปุ่น

สิ่งที่เราได้รับรู้จากโซโตะโคโมริที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือประเทศญี่ปุ่นยังคงมีความ “อยู่ยาก” ในแบบฉบับของประเทศที่พัฒนาจนถึงขีดสุด ในแง่ของค่าใช้จ่ายที่มากมายและความเครียดและกดดันจากสภาพสังคม และก็สะท้อนภาพของสังคมไทยในฐานะของประเทศ “ผู้รับ” ที่สภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรต่อชาวต่างชาติ แน่นอนว่าในมุมมองของทรัพยากรมนุษย์ ญี่ปุ่นก็สูญเสียกำลังคนที่มีศักยภาพไปส่วนหนึ่ง อาจจะต้องเป็นการบ้านของผู้บริหารประเทศในยุคต่อๆไปว่า สมควรมีการเปลี่ยนแปลงบริบทของสังคมเพื่อสร้างกำลังใจให้คนในชาติมากน้อยเพียงใด

ที่มา freelifer  harborbusiness bangkokdarknight matome

Credit: http://anngle.org/th/j-culture/culture/sotokomori.html
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...