ความจริงที่ปกปิด ของ “ผีนางพวย แซ่จู”
แม่นาคสุพรรณ “ตำนานรักสุดสยอง” ของ แม่น้ำท่าจีน
“ผีนางพวย แซ่จู” โด่งดังที่สุดเมื่อ 60 ปีก่อน
เรื่องราวความรัก ของเธอกระฉ่อนเมือง เป็น “อมตะผีไทย”
ที่ใครๆ อ่านแล้ว ทั้งน่ากลัว และก็น่าสงสารและประทับใจ
ผีนางพวย แซ่จู ..ไม่เคยออกไปหลอกใคร นอกจากอยู่อาศัย
ในบ้านของเธอ เท่านั้น ..เธอไม่เคยแสดง ร่างเป็นผีตาโบ๋
น้ำเหลืองไหล ใบหน้าเน่าเฟะ ตาถลน
เธอแสดงตนเป็นเพียงบุคคลธรรมดาอาศัยอยู่ภายในบ้านของเธอ
หากมองในแง่.คนที่เชื่อเรื่องวิญญาณมีจริง นางพวย แช่จู.
คง”ไม่รู้ว่าตัวว่าตายไปแล้วหรืออาจจะหลอกตัวเองว่ายังไม่ตาย”
เธอจึงใช้ชีวิต (ผีๆ) ของเธอแบบปกติธรรมดา
“รอคอยการกลับมาของสามี”…คอยซื้อข้าวปลาอาหาร
จากแม่ค้าที่ผ่านไป ผ่านมา หน้าบ้านของเธอ
หรือคอยโบกเรือโดยสาร เพื่อเดินทางติดตามหาสามี
เธอไม่เคยคิดที่จะหลอกหลอน หรือรบกวนใคร
ด้วยเหตุนี้ เมื่อชาวบ้าน มานิมนต์ “หลวงปู่ไข่ วัดเชิงเลน”
ไปปราบผีนางพวย หลวงปู่ไข่ ไม่รับนิมนต์ กลับพูดขึ้นว่า
“ผีเขาอยู่ส่วนผี เราจะไปรบกวน เขาทำไมกัน”
ยังมีความจริง เกี่ยวกับ “ผีนางพวย แซ่จู”
1. เรื่องสามี ของเธอที่เข้าใจผิดกันตลอดมา
2. ทำไมจู่ๆ ผีนางพวยก็หายไปเฉยๆ หยุดอาละวาด
………ทั้งที่ หลวงปู่ไข่ ไม่ได้ปราบเธอ
นี่คือ…ความลับแห่งแม่น้ำสุพรรณ.ที่ถูกปกปิดมานานกว่า 60 ปี
นาทีนี้..จะได้ถูกเปิดเผย…บันทึกความจริงไว้ให้ลูกหลานต่อไป
—————————————————————————
แต่ก่อนจะคุยรายละเอียดกันต่อไปเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่อง
จึงขอนำเรื่องราว ของผีนางพวย แซ่จู…มาเล่าสู่กันฟังก่อน..ดังนี้
……………………………………………………………………………….
เรื่องราวของนางพวย เกิดขึ้นหลังสงครามมหาเอเชียบูรพา
ครอบครัวเป็นชาวจีนอพยพมา ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน
ห่างจากที่ว่าการอำเภอบางปลาม้าไปทางเหนือราว ๑ กิโลเมตร
ตำนานสยองขวัญเกี่ยวกับเรื่อง “ผี”ของเมืองสุพรรณ มีหลายเรื่องราว
แห่งความเร้นลับที่ชาวบ้านยังคงเล่าสืบต่อกันมาไม่เคยลืมเลือน
ยังมีเรื่องราวเร้นลับที่เคยโด่งดังขนาดเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์
อยู่เรื่องหนึ่งกล่าวถึงผีสาวตายท้องกลมแล้วกลายเป็น “สัมภเวสี”
ที่วิญญาณไม่ไปผุดไปเกิดเพราะยังห่วงหาอาวรณ์ในคนรักและลูก
ด้วยจิตที่ยังยึดมั่นจึงคอยวนเวียนหลอกหลอนแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ
ให้คนเห็นจนเก็บเอาไปร่ำลือคล้ายตำนาน”นางนาคพระโขนง”
ความเฮี้ยนของ “วิญญาณนางนาคเมืองสุพรรณ” เริ่มต้นขึ้นเมื่อ
50 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้เขียนขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงจากคำบอก
เล่าของผู้ที่เคยพบเห็นและจากสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์จริง
คนเฒ่าคนแก่ที่เคยอยู่รู้เห็นยังจำเรื่องราวเหล่านั้นได้แม่นยำ..
.
“วิญญาณเฮี้ยนนางนาคเมืองสุพรรณ”เกิดขึ้นที่บ้านเก้าห้อง
(แบ่งเขตสมัยนั้น)อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ณ บ้านไม้หลังใหญ่
ริมฝั่งแม่น้ำท่าจีน มีครอบครัวชาวจีนครอบครัวหนึ่งเป็นช่างทอง
มีฝีมือในการทำทองจนสร้างฐานะอยู่ในขั้นมีอันจะกิน
หัวหน้าครอบครัวชื่อ นายสี แซ่จู มีอาชีพเป็นช่างทองฝีมือดี
ภรรยา ชื่อนางพร แซ่จู จึงมีความเป็นอยู่อย่างค่อนข้างสุขสบาย
ด้วยเหตุนี้ทำให้นางพวยผู้เป็นบุตรสาว กลายเป็นสาวเนื้อหอม
มีชายหนุ่มหมายปองกันมากมาย
ครอบครัวนี้มีลูกสาวหน้าตาสะสวยคมขำจนเป็นที่เลื่องลืออยู่คนหนึ่ง
ชื่อว่า”แม่พวย”ความสวยของ”แม่พวย”ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังจำได้
เล่าว่า สวยขาว รูปร่างอรชร จนทำให้หนุ่มๆแห่งบางปลาม้า
หมายปองกันทั้งตำบล แต่แม่พวยก็ยังไม่ตกลงปลงใจให้ใครเลย
จนกระทั่งมาเกิดบุพเพสันนิวาสได้พบกับคนรักซึ่งเป็นหนุ่ม
สมุทรสาครเกิดถูกตาต้องใจกัน โดยที่แม่ของแม่พวย ก็ไม่ขัดข้อง
เพราะเห็นว่าฝ่ายชายก็พอจะมีฐานะ จึงตกลงให้พ่อแม่ฝ่ายชาย
พาผู้ใหญ่มาสู่ขอจัดพิธีแต่งงานอย่างสมเกียรติ สมหน้าสมตา
ทั้งสองฝ่ายเป็นที่กล่าวถึงของชาวบางปลาม้าในยุคนั้น
แม่พวยอยู่กินกับสามีจนมีลูกด้วยกันคนแรกเป็นผู้ชาย ช่วงเวลานั้นสามี
ของแม่พวยต้องไปกลับระหว่างบ้านที่สมุทรสาครและสุพรรณฯเพราะเริ่มทำอาชีพประมงออกเรือหาปลาในทะเล เวลาออกทะเลแต่ละครั้งก็หลายวันกว่าจะกลับเข้าฝั่งจึงชักชวนให้แม่พวยไปอยู่สมุทรสาคนด้วยกัน
แต่แม่พวยก็ปฏิเสธอ้างว่าเป็นห่วงพ่อแม่ซึ่งแก่ชราจะไม่มีใครคอยดูแล
ชีวิตคู่ ของแม่พวย จึงค่อยๆเริ่มห่างกัน
เธอก็คอยดูแลพ่อแม่และลูกส่วนสามีนานๆจะกลับมาที
เคราะห์กรรมของแม่พวยเริ่มขึ้นอีก เมื่อพ่อของเธอหลงผิดในอบายมุข
ติดการพนันเข้าบ่อนไม่สนใจทำมาหากิน เงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอจนความลำบากเข้ามาเยือนเกิดอัตคัดขัดสนเงินทอง ทรัพย์สินที่มีอยู่เริ่มหมดไป ทำให้แม่ของแม่พวยเริ่มกลัดกลุ้มและหาทางระบายด้วยการกินเหล้าเมายานานเข้าก็ประคองสติไม่อยู่เสียผู้เสียคนไป
ฝ่ายสามีของแม่พวยเมื่อกลับมาบ้านที่สุพรรณฯมาเห็นสภาพครอบครัวพ่อตาแม่ยายเป็นเช่นนี้ก็เริ่มเกิดความเบื่อหน่ายเพราะ
เงินทองที่ให้เมียไว้ใช้ก็ถูกพ่อตารีดไถเอาไปเล่นการพนันจนหมด
จึงชวนแม่พวยไปอยู่สมุทรสาครด้วยกันอีก แต่แม่พวยก็ไม่ไป
เพราะความเป็นห่วงพ่อแม่ จึงได้แต่อดทนยอมให้พ่อรีดไถเงิน
ถึงขนาดหนักเข้าจะโฉนดที่ดินและบ้านไปขายเพื่อหาเงินไปเล่นการพนันแล้วเคราะห์กรรมก็ยังมาซ้ำเติมครอบครัวนี้เมื่อพ่อยื้อแย่งโฉนดไปขายไม่ได้ก็โมโหจนขาดสติ จึงจุดไฟเผาบ้านตัวเอง
แต่พลาดท่าไฟลามมาติดเสื้อผ้าไฟจึงลุกไหม้ร่างจนอาการสาหัส ชาวบ้านเล่าว่าแกนอนร้องอย่างเจ็บปวดทรมานอยู่ 3 วันก็สิ้นใจ
หลังจากพ่อตายแล้วแม่พวยก็ใช้ชีวิตอยู่ลำพังกับแม่ของเธอและลูกชาย ส่วนสามียังมาหาบ้างแต่ละครั้งก็นานหลายเดือน จนแม่พวยอดคิดไม่ได้ว่าสามีจะมีผู้อื่น ความกลุ้มใจเมื่อไม่มีทางออก
จึงหาทางระบายด้วยเหล้าซึ่งระหว่างนั้นแม่พวยก็เกิดตั้งท้องลูก
คนที่สองพอดี และเมื่อสามีไม่ใยดีแม่พวยก็ยิ่งดื่มเหล้ามากขึ้นๆ
จนเด็กในท้องทนพิษร้ายของแอลกอฮอร์ไม่ไหวตายก่อนกำหนด
ตัวแม่พวยกว่าจะรู้ว่าลูกตายอยู่ในท้องก็สายไปเสียแล้ว เธอจึง
ต้องทนทรมานกับความเจ็บปวดแสนสาหัสจนขาดใจตายตามลูก
ไปในที่สุด ส่วนแม่ของแม่พวยภายหลังก็ตรอมใจตายไปอีกคน
เลยทำให้บ้านฝากระดานหลังใหญ่ ริมแม่น้ำท่าจีนหลังนั้น
กลายเป็นบ้านร้าง จนเกิดตำนานความเฮี้ยนในกาลต่อมา
ความตายของ”แม่พวย”เกิดเป็นตำนานคล้ายนางนาคพระโขนง เพราะว่าตายขณะที่ยัง “ห่วง” โดยเฉพาะ “ตายทั้งกลม” นี่
คนโบราณเขาว่าเฮี้ยนนัก คือตายขณะที่ยังไม่สิ้นอายุขัยและต้องทนเจ็บปวดทุกข์ทรมานเหลือที่จะทนก่อนสิ้นใจ
“จิตสุดท้าย ก่อนตาย” สำคัญนัก อารมณ์นึกคิดถึงสิ่งใดก่อนตายเมื่อสิ้นลมไปแล้วจิตจะจดจ่อยึดติดแต่สิ่งนั้น
ตัวแม่พวยก่อนตายเกิดความห่วงใยในลูกและสามีจนจิตหาความสงบไม่ได้เมื่อตายไปจึงกลายเป็นสัมภเวสีเที่ยวหลอกหลอนผู้คนจนอยู่ไม่เป็นสุข
ชาวบ้านเล่าว่าเมื่อตายใหม่ๆ “ผีแม่พวย” ก็เริ่มแสดงฤทธิ์ต่างๆ
ให้ผู้คนและเด็กเล็กตื่นกลัวคือบ้านแม่พวยเมื่อร้างลงก็ทิ้งผลหมาก
รากไม้ไว้นานาชนิดให้ออกดอกออกผลมากมายทั้งมะม่วง ขนุน ละมุด มะปราง ฯลฯ
เด็กแถวนั้นรู้ทั้งรู้ว่าผีบ้านร้างนี้ดุ แต่เพราะความแก่นแก้วซุกซน
จึงชักชวนพากันมาขโมยผลไม้ไปกิน โดยมีหัวโจกอยู่คนหนึ่งเป็นปีนขึ้นไปเก็บมะม่วงซึ่งสุกเหลืองน่ากินเต็มต้น ระหว่างกำลังป่าย
ปีนขึ้นไปสายตาก็เหลือบไปเห็นว่ามีผู้หญิงผมยาวกำลังนั่งห้อยขาอยู่บนต้น เมื่อแหงนมองดูเต็มตาก็แทบช็อค
เพราะบนนั้นคือ “แม่พวย” ซึ่งตายไปแล้วกำลังยิ้มให้อยู่
กองโจรเด็กเลยพากันวิ่งแน่บกระเจิงออกจากสวนร้างแทบไม่ทัน
ตั้งแต่นั้นข่าวผีแม่พวยก็แพร่ไปทั่วเพราะไม่ใช่แต่เด็กจะเจอเท่านั้นพวกเรือเมล์ที่แล่นผ่านหน้าบ้านแม่พวยก็เจอเหมือนกัน คนเจอคือนายท้ายเรือเมล์สมัยนั้นชาวบ้านบางปลาม้า ถ้าต้องการจะเข้าสุพรรณหรือไปกรุงเทพฯ เขาจะมาคอยขึ้นเรือที่หัวสะพานท่าน้ำ
พอเรือแล่นใกล้เข้ามา ก็จะส่งสัญญาณให้รู้ เช่นใช้ตะเกียงหรือไฟฉายส่องไปมาให้เห็น
คืนนั้นเล่าว่า เป็นคราวเคราะห์ของนายท้ายชื่อว่า”ตากลิ่น”
แกแล่นเรือมายามดึกเข้าเขตบางปลาม้าเกือบตี 3 เป็นเวลาที่เงียบสงัด ผู้โดยสารที่มาด้วยก็หลับกันหมด ตลอดทั้งลำจึงมีแต่ตากลิ่นและคนเรือแค่ 2 คนที่ตื่นเพื่อพาผู้โดยสารไปสู่จดหมายพอเรือ
แล่นมาใกล้บ้านหลังหนึ่งก็เห็นแสงไฟเหมือนมีคนแกว่งเป็นสัญญาณให้เข้าไปรับที่หัวสะพานท่าน้ำ
มองเห็นรางๆว่ามี ผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังโบกตะเกียงเรียกเรือ
จึงให้คนเรือหันหัวเรือเข้าไปที่ท่าน้ำนั้นและเพราะมัวแต่หันหัวเรือเข้าเทียบสะพานนายท้ายก็เลยไม่ได้สนใจว่าผู้โดยสารเป็นใคร
แต่พอเรือหยุดนิ่งก็แปลกใจว่าทำไม ไม่มีคนก้าวขึ้นเรือ
มองไปที่สะพานเห็นแต่ตะเกียงเก่าๆสนิมเขรอะไม่มีโป๊ะไฟครอบแก้วกลิ้งอยู่ จึงรีบส่องไฟฉายดูตลอดบริเวณก็ไม่มีใครอยู่บนสะพานซักคน เลยสะพานท่าน้ำขึ้นไปก็เป็นเรือนร้างหลังใหญ่ไม่มีใครอยู่ นายท้ายเลยเพิ่งรู้สึกตัวขนลุกซู่ จำได้แล้วว่านี่คือบ้านร้างผีดุของ “แม่พวย” คราวนี้เลยรีบสั่งคนเรือเร่งเครื่องแล่นหนีห่างจากสะพานชนิดไม่เหลียวหลังเลยทีเดียว
และคืนต่อไปพอแล่นเข้าเขตบางปลาม้า หากจวนจะถึงหน้าบ้าน
แม่พวยนายท้ายเรือทุกลำจะสั่งคนเรือเร่งเครื่องให้เร็วที่สุด หากว่าเห็นใครมาแกว่งตะเกียงเรียกให้จอดรับ เป็นตายร้ายดียังไงก็จะ
ไม่มีเรือลำไหนหยุดรับเด็ดขาด เพราะกลัวจะเกิดเหตุซ้ำสองอีก
เรื่องของ”ผีแม่พวย”จึงถูกเล่าปากต่อปากเป็นที่ตื่นเต้นขนหัวลุกเรื่อยมา ความเฮี้ยนของ”ผีแม่พวย”นางนาคเมืองสุพรรณถูกเล่า
กันปากต่อปากเป็นที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงของคนพัง แต่ก็อยาก
จะฟัง แม้มันจะตื่นเต้นชวนขนหัวลุกบ้างก็ตามเรื่องของความเฮี้ยน
ไม่เลิกรานี้ว่ากันว่า ในครั้งนั้นไม่มีใครกล้าเฉียดกรายไปใกล้บ้านร้างนั้นเลย
เพราะหลายคนที่เจอมาเล่าตรงกันว่า เวลาเดินผ่านบ้านแม่พวย
มักจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้โหยหวนอย่างน่าสงสารดังลอดมาจากภายในบ้านร้างนั้น คล้ายกำลังร้องเรียกหาลูกและสามีที่
ทอดทิ้งไปอยู่ไกล
กิตติศัพท์ของผีแม่พวยที่บ้านร้างยังปรากฏให้คนเห็นอยู่เนืองๆ
มีเรื่องเล่าถึง แม่ค้าพายเรือขายขนมหวาน อยู่คนหนึ่งซึ่งแก
เพิ่งมาอยู่ที่บางปลาม้าใหม่ๆก็ยังไม่รู้ถึงกิตติศัพท์ความเฮี้ยน
ของผีแม่พวยที่บ้านร้าง ทุกวันป้าแกก็พายเรือผ่านบ้านแม่พวย
เพื่อไปขายขนม พอตกค่ำก็พายเรือกลับบ้าน
วันหนึ่งขณะพายเรือมาใกล้สะพานท่าน้ำบ้านแม่พวยแกก็เห็นผู้หญิงผมยาวผิวขาวท้องแก่ มายืนกวักมือเรียกที่หัวสะพานเพื่อ
ซื้อขนม แกก็ดีใจรีบเอาเรือเข้าไปเทียบ
ถามว่า “จะรับขนมอะไรจ้ะ” ผู้หญิงคนนั้นก็ว่า”มีอะไรก็ห่อมาเถอะ ฉันไม่ได้กินขนมหวานมานานแล้ว” แม่ค้าขนมก็จัดแจงห่อขนมให้
แล้วยังได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นบอกอีกว่า “วางขนมไว้ที่ชันบันไดนั่นแหล่ะ เดี๋ยวจะลงไปเอา
“ป้าแม่ค้าขนมหันไปห่อขนมเรียบร้อยจัดวางเรียบไว้บนชั้นบันไดเสร็จจึงเงยหน้ามอง แต่กลับไม่เห็นมีใครอยู่บนหัวสะพาน แกก็ตะโกนเรียกให้มาเอาขนมแต่ก็เงียบ ผิดสังเกตเข้าแกจึงขึ้นบันไดไปดู พอเห็นสภาพบริเวณบ้านแกก็รู้สึกชาวูบไปทั้งตัว เพราะบ้านหลังใหญ่นั้นส่อว่าเป็นบ้านร้างที่ไม่มีคนอยู่มานาน มีหญ้าขึ้นรกแน่นขนัดปิดทางเดิน แล้วผู้หญิงท้องแก่ที่มายืนเรียกอยู่ที่ท่าน้ำ
นั้นจะอยู่ได้อย่างไรแล้วไม่รู้ว่าจู่ๆหายไปไหนคิดได้แล้วก็ขนหัวลุกตั้งรีบลนลานลงบันได จ้ำผีพายอ้าว ทิ้งขนมหวานซึ่งห่ออย่างเรียบร้อยไว้ตรงนั้น
ผีแม่พวยยังเที่ยวหลอกหลอนผู้คนไปทั่วจนบางรายถึงกับจับไข้
หัวโกร๋น ชาวบ้านจึงชักจะทนไม่ไหว ปรึกษาหารือกันว่าต้องหา
ใครมาจัดการให้วิญญาณสงบ ไม่เช่นนั้นคงต้องมีใครตายกันบ้าง
ดังนั้นชาวบ้านบางปลาม้ากลุ่มหนึ่งจึงพากันไปหา”หลวงปู่ไข่”
วัดบางเลนซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ทางผู้เก่งกาจรูปหนึ่งมาปราบ
แต่หลวงปู่ไข่ไม่รับนิมนต์ ท่านบอกว่า “ผีก็อยู่ส่วนผี
คนก็อยู่ส่วนคน ในเมื่อคนไปรุกรานถึงบ้านเขาแล้วยังจะให้
อาตมาไปราบอึกมันถูกต้องแล้วรึ ถ้ามีคนมาไล่พวกโยม
ออกจากบ้านบ้าง โยมจะรู้สึกอย่างไรล่ะ”
ชาวบ้านจึงต้องลาหลวงปู่ไข่กลับเพราะจนปัญญาที่จะตอบจึง
ปล่อยให้ผีแม่พวยปรากฏตัวแสดงฤทธิ์ต่างๆนานาต่อไป จนข่าว
ดังขนาดหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์สมัยนั้นต้องส่งนักข่าวมาทำข่าว ทั้งยังชาวบ้านต่างจังหวัดไกลๆถึงกับดั้นด้นเดินทางมาดูบ้านร้างผีสิงกันอยู่เสมอๆความดังของผีแม่พวยล่วงรู้ไปถึงหูสามีของแม่พวยที่สมุทรสาคร จึงคิดที่จะขายบ้านร้างหลังนี้ในราคาถูกๆให้กับคหบดีคนหนึ่งเพื่อที่เรื่องวุ่นๆจะได้ยุติเสียที ซึ่งคหบดีรายนี้ก็สนใจแต่
ขอดูบ้านก่อน คหบดีจึงเดินทางมาที่บ้านร้างพร้อมลูกน้อง
ระหว่างที่กำลังเดินสำรวจอยู่บนบ้านกลางวันเสกๆคหบดีกับลูกน้อง
ก็ถึงกับตกตะลึงตัวแข็งทื่อเพราะรู้สึกว่าเรือนโยกทั้งหลังเหมือนเกิดแผ่นดินไหว พร้อมกับได้ยินเสียงผู้หญิงร้องครวญครางคล้ายว่ากำลังได้รับความเจ็บปวดสาหัส เสียงดังออกมาจากที่ปิดประตูใส่กุญแจและมีฝุ่นละอองหยากไย่จับเต็มไปหมด
เจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ทั้งคหบดีและลูกน้องจึงต้องวิ่งกลับมาอย่างไม่คิดชีวิต รีบลงเรือกลับอย่างรวดเร็วและไม่หวนกลับไปอีกเลย บ้านแม่พวยจึงถูกปล่อยให้ทิ้งร้างลงไปอีกกว่า 10 ปี จนกระทั่งลูกชายคนโตของแม่พวยโตขึ้นจึงได้กลับมาดูบ้านเก่าของแม่ซึ่ง
ถูกปล่อยทิ้งร้างให้ทรุดโทรมอย่างน่าสังเวช เมื่อเห็นแล้วจึงตัดสินใจรื้อไปถวายวัดบ้านด่าน เพื่อให้พระนำไปสร้างกุฏิแล้วอุทิศกุศล
นี้ให้แก่แม่พวยและตายายผู้ล่วงลับไปแล้ว
ปัจจุบันเรือนร้างของแม่พวยหลังนั้นถูกสร้างขึ้นเป็นกุฏิหลังหนึ่งสำหรับพระภิกษุจำพรรษา ที่วัดบ้านด่าน วัดเล็กๆในอำเภอบางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี และหลังจากถวายบ้านร้างให้วัดแล้ววิญญาณแม่พวยก็ไม่เคยปรากฏหลอกหลอนใครอีกเลย
จึงคิดว่าแม่พวยคงจะได้รับกุศลผลบุญที่ลูกชายอุทิศให้ไปอยู่ใน
ภาพภูมิที่ดีแล้วก็ได้ สำหรับกุฏิที่สร้างจากเรือนร้างของแม่พวยนั้นปัจจุบันถูกปิดตายเพราะไม่มีพระสงฆ์เข้าไปอยู่ บรรยากาศจึงดูเงียบเหงาวังเวง และอาจจะเป็นเพราะกลิ่นไอแห่งอาถรรพณ์ในอดีตที่ยังคงหลงเหลืออยู่เลยทำให้พระในวัดขยาดไม่กล้าที่จะเข้าไปอยู่ในเรือนหลังนั้นก็เป็นได้
การที่วิญญาณของ”แม่พวย”ยังคงวนเวียนยึดติดอยู่กับโลกมนุษย์โดยไม่ยอมไปสู่ที่ชอบหรือสถานที่ที่เหมาะสมกับเวรกรรมของตนนั้นอาจเป็นเพราะว่ามีวิบากกรรมที่ทำให้สลัดกิเลสไม่หลุดคือยังปลงไม่ตกกับคนข้างหลัง ยังห่วงใยทั้งลูกและสามี จึงต้องใช้หนี้กรรมให้เบาบางลง ความยึดติดถึงหมดไป
เรื่อง “ผี” ที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของผู้ที่เคยสัมผัสจนเป็นเรื่องที่ถูกเล่าต่อๆกันมา โดยสถานที่เกิดเหตุยังมีอยู่
จึงพอจะเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า “วิญญาณ.แม้จะเป็นเรื่องเร้นลับ
แต่ก็มีอยู่จริงแน่นอน
——————————————————————————
เรื่องราวทั้งหมด ที่ปรากฏ อยู่ในหนังสือ “หญิงไทย”และสำนวน1.ข้อมูลสามี คนสมุทรสาคร ของนางพวยไม่ตรงกับความจริง
มีข้อมูลบางอย่างที่ไม่ตรง จะด้วยเจตนา ของผู้ให้ข้อมูลหลัก
คือ “ครู ราตรี ศรีตาลอ่อน” ครูโรงเรียนวัดลานคา
เพราะไม่อยากให้กระทบกับตัวบุคคล
หรือ คนเขียนหนังสือพิมพ์มีหลักฐานอื่นก็ไม่ทราบได้
คำเฉลย. คือ สามีของนางพวย แช่จู นั้น”ไม่ใช่คนสมุทรสาคร”
ชื่อในหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์ว่า ชื่อ นายไสว เอ๊ะสมนึก
หนุ่มตังเกจากลุ่มน้ำแม่กลอง นั้น ไม่ตรงกับความจริง
“สามี”ของนางพวย แซ่จู เป็นหนุ่มไทยเชื้อสายพวน หนุ่มพวน
บ้านเก้าห้องลานคา หมู่ที่ 3 จากตระกูล “วงษ์สมบูรณ์“ มีชื่อว่า
“นายปั่น ระเวง”มีพี่น้องสองคน คนน้องชื่อ”นางเภา ล้อมวงษ์”
นายปั่น ระเวง (นามสกุล ตามพ่อ) เมื่อนางพวย เสียชีวิต ได้ไปมี
ภรรยาใหม่ที่ไผ่ขวาง..ตอนนั้นลือกันว่า“ผีนางพวย อุ้มลูก
มาตามนายปั่นกลางวันแสกๆ ที่บ้านเก้าห้องขนหัวลุกไปตามๆกัน
(ข้อมูล”น.ส.เพลินพิศ ล้อมวงษ์”ลูกสาวนางเภา น้องสาวนายปั่น)
2.ข้อมูลเกี่ยวกับ “การปราบผี” นางพวย แซ่จู
ในเมื่อหลวงปู่ไข่ ไม่รับนิมนต์ปราบ แต่ถ้าหาก นางพวยเฮี้ยนจริง
ทำไมยอมให้ รื้อบ้านนางไปทำกุฎีวัดบ้านด่าน ไม่อาละวาด
ผู้ที่มาทำพิธี รื้อบ้าน นางพวย แซ่จู ไปทำกุฏี นั้นได้แก่
” หลวงพ่อเรื่อง” วัดใหม่พิณสุวรรณ ผู้ที่เล่าและอยู่ในเหตุการณ์
คือ “คุณลุงรัตน์ สุวรรณฤทธิ์”ท่านผู้นี้เป็นหมอยาและหมออาคม
ชื่อดังของ อ.บางปลาม้า…เล่าให้ฟังว่า
หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่ พิณสุวรรณ มาพร้อมกับลูกศิษย์ 4-5 คน
โดยมีลุงรัตน์ เป็นผู้นำทางเพราะบ้านลุงรัตน์อยู่บ้านด่านใต้
ก่อนย้ายไปศาลาท่าทราย และ มาแต่งงานกับ
“นางเนียม วงษ์สมบูรณ์” ที่บ้านเก้าห้องลานคา
ลุงเล่าว่า”หลวงพ่อเรื่อง”มาตอนกลางคืน 4 ทุ่มกว่าจุดตะเกียงมา
ผมถามว่า “ทำไมไม่ทำตอนกลางวัน”
ท่านตอบว่า ..ตอนกลางวัน คนจะวุ่นวายมาดู ไม่เป็นทำอะไรกัน
ผมถามว่า”ทำไมหลวงปู่เรื่องรับนิมนต์”ตอบว่า”หลวงปู่เรื่องพูดว่า
“มันจะไปกันใหญ่ กลายเป็นที่หลอกคน หลอกซื้อหวย
หลอกคนมาทำพิธี มาทำให้มันไปผุดไปเกิดซะที
คนจะได้เลิกงมงาย เอาบ้านมันไปสร้างกุฏิซะ”
ขอปิดตำนาน แม่นาค สุพรรณผู้น่ารัก อ่านแล้วสงสารเธอ
เธอคงหลอกตัวเองว่าไม่ตาย ใช้ชีวิตปกติที่บ้านของเธอ
สมกับที่หลวงปู่ไข่ บอกว่า ผีอยู่ส่วนผี คนไปยุ่งกับเขาทำไม
เกิดชาติหน้าขอให้สมหวังความรักกับหนุ่มไทยพวนนะแม่พวย แซ่จู
(หมายเหตุ..เป็นการค้นคว้าข้อมูลส่วนตัว ท่านใดเห็นว่าไม่ถูกต้อง
ก็ขอให้ได้แนะนำความจริงออกมาช่วยกัน เพื่อให้ข้อมูลจริงที่สุด)
ข้อมูลภาพ..กราบขอบพระคุณ อ.เจริญ ตันมหาพราน.ที่เคารพรัก