เป็น 10 หนังสงครามตั้งแต่การรบแบบทหารไปจนถึงสงครามกับมนุษย์ต่างดาวเลยครับ มาดูกันว่าจะมีเรื่องอะไรกันบ้าง
อันดับที่ 10 Gladiator 2000
สมรภูมิในเยอรมันเนีย
ผลงานของ ริดลีย์ สก็อต
นับว่าคลาสสิกมากๆ ที่เลือกเปิดฉากหนังด้วยฉากการสู้รบระหว่างกองทัพโรมันกับชาวบาร์บาเรียนผู้น่าหวาดหวั่นภายในป่าที่เปียกชื้นลื่นโคลน ผลงานของรัสเซล โครว์เรื่องนี้เป็นการปลุกกระแสหนังสงครามยุคโบราณให้กลับมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์อีกครั้ง พร้อมกับการมาถึงของยุคดิจิตอลในการสร้างฉากสงครามอันโดดเด่น
อันดับที่ 9 Braveheart 1995
สมรภูมิแห่งสเติร์ลลิง
ผลงานของ เมล กิ๊บสัน
เมล กิ๊บสันในเรื่องนี้รับบทเป็นวิลเลียม วอลเลซ ผู้นำกองทัพของชาวสก็อตที่ต่อสู้เยี่ยงกวีนักรบเพื่อกอบกู้เอกราช จากประเทศอังกฤษที่กดขี่พวกเขามาอย่างยาวนาน แม้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่เหนือทุ่งสเติร์ลลิงแทบจะไม่ใช่สิ่งที่เชื่อถือได้ตามหลักวิชาการทางประวัติศาสตร์ แต่ต้องยอมรับโดยดุษฎีว่าเป็นฉากที่น่าดูชมมากๆ และถ้าหากออสการ์มีรางวัลสำหรับการพูดปลุกใจยอดเยี่ยมแล้วละก็ กิ๊บสันคงต้องคว้ารางวัลนี้ไปอย่างไร้คู่แข่ง "พวกเขาอาจจะพรากชีวิตจากเราไป แต่มันไม่มีวันพรากอิสรภาพจากเราไปได้!" เท่ห์จิงๆ
อันดับที่ 8 Starship Troopers 1997
สมรภูมิแห่งเคลนดาธู กับ สมรภูมิบนดาวเคราะห์ P
ผลงานของ พอล เวอร์โฮเวน
ในฉากที่เคลนดาธูเราจะได้เห็นกองทัพของมนุษย์นับแสนถูกสับ ฉีก และบดขยี้โดยเหล่าแมลงยักษ์นับชั่วโมง หลังจากนั้นเราจะตามริโกไปสู่ดาวเคราะห์ P ที่ซึ่งกองทัพไม่สมประกอบของเขาถูกส่งกลับมาให้เป็นเหยื่อล่อให้กับแมลงยักษ์ Arachnids นับพัน ก่อนที่หนังจะหักมุมถึงเบื้องหลังความชั่วร้ายของกองทัพแมลงยักษ์ดังกล่าว เป็นหนังแอ็คชั้นเกรดบีที่ชาญฉลาดในการเล่าเรื่องเรื่องหนึ่ง
อันดับที่ 7 Zulu 1964
สมรภูมิแห่งรูคส ดริฟท์
ผลงานของ ไซ เอนด์ฟีลด์
การถ่ายทอดเรื่องราวในสมรภูมิรูคส ดริฟท์ระหว่างทหารอังกฤษเพียงหยิบมือและชาวพื้นเมืองซูลูนับพันเมื่อปี 1879 ซึ่งนับเป็นฉากที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับหนังหลายเรื่องตั้งแต่เฮล์มส ดีพของปีเตอร์ แจ็คสัน จนถึง Starship Troopers ของ พอล เวอร์โฮเวน ฉากการรับมือของทหารอังกฤษ 150 คนต่อกองทัพชาวซูลูที่ถลาลงมาจากเขาอย่างไม่หยุดหย่อนทำให้ผู้ชมหายใจไม่ทั่วท้องมาแล้ว
อันดับที่ 6 Tora! Tora! Tora! 1970
การจู่โจมเพิร์ล ฮาร์เบอร์
ผลงานของ ริชาร์ด ไฟลส์เชอร์, คินจิ ฟูกาซากู, โตชิโอะ มาซูดะ
ในโลกนี้มีหนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวในเหตุการณ์ถล่มเพิร์ล ฮาร์เบอร์ของกองทัพญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่างดีเยี่ยมอยู่ 2 เรื่อง และไม่มีเรื่องไหนถูกตั้งชื่อว่าเพิร์ล ฮาร์เบอร์ เหตุการณ์ครั้งนั้นได้เปี่ยมชั้นเชิงแล้วละก็ Tora! Tora! Tora! ก็ทำหน้าที่ในการบอกเล่าความกล้าหาญ ในความเสียสละอย่างไม่มีสิ้นสุดของเหล่าทหารชาวญี่ปุ่นได้อย่างถึงแก่น ด้วยทุนสร้าง 25 ล้านเหรียญซึ่งถือว่ามโหฬารมากๆ ในยุคนั้น ผ่านมุมมองของผู้กำกับ 3 คน(1 อเมริกัน 2 ญี่ปุ่น) ถือเป็นต้นแบบแห่งมหากาพย์ภาพยนตร์อย่างแท้จริง
อันดับที่ 5 A Bridge Too Far 1977
ฉากการกระโดดร่ม
ผลงานของ ริชาร์ด แอตเทนเบอโรว์
เล่าถึงปฏิบัติการณ์ Operation Market Garden หรือภารกิจปลดปล่อยฮอลแลนด์ของฝ่ายพันธมิตรในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกองทัพฝ่ายพันธมิตรนับพันต้องถูกส่งไปปฏิบัติการข้างหลังแนวรบของฝ่ายอักษะในฉากการกระโดดร่มที่ตระการตายิ่ง ต่อด้วยฉากไคลแม็กซ์การรบอันดุเดือดของเหล่าทหารและรถถังเหนือสะพานในสมรภูมิอาร์นเฮม โดยผลงานของแอตเทนเบอโรว์เรื่องนี้ ยังเป็นการรวมนักแสดงชายที่ยอดเยี่ยมครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ด้วย (แอนโธนี ฮ็อปกินส์, ลอเรนซ์ โอลิเวียร์, ฌอน คอนเนอรี, เดิร์ค โบการ์ด, ไรอัน โอนีล และโรเบิร์ต เรดฟอร์ด) กับผลงานยอดเยี่ยมที่ไม่ต้องง้อเทคนิค CGI ใดๆ ทั้งสิ้น
อันดับที่ 4 The Lord of the Rings: Return of the King 2003
ทุ่งเพเลนนอร์
ผลงานของ ปีเตอร์ แจ็คสัน
เหล่าออร์คน่ากลัวขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ, ช้างยักษ์โอลิฟอนท์ก็ดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง, ความสยองของอสูรกายเวหานาซกูลแทบจะทำให้คุณเอากล่องป็อปคอร์นปิดหน้าทีเดียว ก่อนจะพบกับฉากอันน่าประทับใจในการกู้ศักดิ์ศรีคืนของกษัตริย์เธโอเดนและไพร่พลแห่งโรฮัน วีรกรรมของเอโอวีนก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้ยอดอัศวินคนใด การผสมผสานทั้ง CGI ที่แสนพิสดาร, เสียงประกอบและงานสร้างที่ยิ่งใหญ่ทำเอาแฟนหนังอึ้งมานักต่อนัก จนได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานที่เป็นต้นแบบ การสร้างภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งปวง ก่อนที่จะตกม้าตายกันในฉากถัดมา
อันดับที่ 3 The Lord of the Rings: The Two Towers 2002
เฮล์มส ดีพ
ผลงานของ ปีเตอร์ แจ็คสัน
กองทัพอันมหาศาลของพ่อมดขาวซารูมาน นำโดยอสูรกายอูรุกไฮที่โจมตีอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อทำลายป้อมปราการของมนุษย์ที่เชื่อว่าไม่มีวันพังทลายให้แหลกลาญ ผลงานของปีเตอร์ แจ็คสันเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของกองทัพชาวบ้าน 300 คนที่เผชิญหน้าต่อกองทัพออร์คนับหมื่นตน ขณะที่ผู้หญิงและเด็กต่างต้องต่อสู้กับความหวาดกลัวในคืนที่พายุฝนกระหน่ำไม่หยุดทั้งคืน ที่นับเป็นผลงานการสร้างฉากสงครามที่โดดเด่นที่สุดในไตรภาคหนังแหวน ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก แถมฉากจบที่แสนจะสะใจเมื่อพ่อมดแกนดัล์ฟมาช่วยกู้สถานการณ์ได้ทันเวลา (ยังไม่นับฉากที่เลโกลัสยิงธนูบนสเก็ตบอร์ดอย่างสุดเท่ด้วย)
อันดับที่ 2 Saving Private Ryan 1998
การยึดหาดโอมาฮา
ผลงานของ สตีเฟน สปิลเบิร์ก
แค่ฉากเปิดตัวของผลงานเรื่องเยี่ยมของสปิลเบิร์กเรื่องนี้ก็ทำให้ผู้ชมส่วนใหญ่อยู่ในอาการช็อคไปตามๆ กัน โดยเฉพาะผู้ชมที่เป็นชาวอเมริกัน คงจะไม่มีสิ่งใดเหนี่ยวนำย้ำเตือนพวกเขาให้นึกถึงวีรชนที่พลีชีพเพื่อชาติในสมรภูมินอร์มังดีเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ชัดเจนเท่านี้ ทั้งเทคนิคในการถ่ายทำด้วยกล้องแฮนดีแคมที่สั่นไหวให้อารมณ์ดิบเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง, การเล่นกับโทนสีแบบ desaturated color รวมถึงการบอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มทหารที่ถูกส่งไปต่อสู้ในสภาพที่ไม่ต่างจากเป้านิ่งของข้าศึกที่อยู่ในชัยภูมิที่เหนือกว่า ทั้งหมดรวมกันเป็นผลงานที่สะท้อนความรู้สึกสะอิดสะเอียนต่อความโหดร้ายป่าเถื่อนของมนุษย์ ที่หนังสงครามเรื่องไหนก็เทียบชั้นไม่ได้
อันดับที่ 1 Apocalypse Now 1979
ฉากเฮลิคอปเตอร์จู่โจมหมู่บ้าน
ผลงานของ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา
"ฉันชอบกลิ่นนาปาล์มตอนเช้าๆ มันกลิ่นเหมือนชัยชนะ" เป็นคำกล่าวของพันโทวิลเลียม คิลกอร์ ที่รับบทโดยโรเบิร์ต ดูวัล ผู้ที่นำฝูงบินเฮลิคอปเตอร์นับสิบๆ ลำ ถล่มหมู่บ้านชาวเวียดนามในระหว่างสงครามของสหรัฐฯกับกองทัพเวียดกง ซึ่งคำสั่งสังหารชาวบ้านตาดำๆ ทั้งหมดเนื่องจากกองทัพภายใต้การนำของเขา (ที่ปลุกใจด้วยการเปิดเพลง Ride of the Valkyries ของวากเนอร์) ต้องการแค่ที่เหมาะๆ ในการเล่นวินเซิร์ฟเพื่อผ่อนคลายหลังจากการรบอันตึงเครียดนั่นเอง ซึ่งไม่มีฉากใดในภาพยนตร์เรื่องไหนที่จะจับอารมณ์โง่เขลา, บ้าคลั่ง และความไร้ค่าของชีวิตมนุษย์จากสงครามเวียดนามได้ดีไปกว่านี้
ครับ และนี่ก็คือฉากหนังที่ดีที่สุด แค่ฉากนะครับไม่ใช่ทั้งเรื่อง แต่ก็ทำให้ได้อรรถรสทุกเรื่องเลยหล่ะครับ..
ที่มา: http://www.neutron.rmutphysics.com/teaching-glossary/index.php?option=com_content&task=view&id=5997&Itemid=17