เซนต์หรือนักบุญ ก็คือผู้ศักดิ์สิทธิ์ ตามศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิก
ที่จะยกย่องผู้ที่ประกอบคุณงามความดี
โดยเป็นการกระทำจากความรักและความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า
เมื่อเขาผู้นั้นเสียชีวิต วาติกัน จะ พิรารณา และประกาศ
เพื่อยกย่องเชิดชูให้ผู้นั้นเป้นนักบุญหรือเซนต์ เพื่อให้บุคคลทั่วไป
ยึดถือเป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิต
คาธอลิกจะมีนักบุญอุปถัมป์ ในเรื่องต่างๆ เช่นจะสวดภาวนาต่อ นักบุญคริสโตเฟอร์ให้คุ้มครองให้ความปลอดภัยยามเมื่อต้องเดินทางไกลๆ หรือจะสวดภาวนาต่อนักบุญ อันโธนี่ ให้ช่วยให้พบ
สิ่งของที่หายไป นอกจากนั้นก็มีอีกนักบุญอีกหลายท่าน
ที่เป็นที่เคารพ เช่นนักบุญแพทริค ผู้ที่ไล่งูร้ายออกจากไอร์แลนด์ หรือ นักบุญเพเรกรินที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง เป็นต้น
แต่นักบุญท่านที่เราจะกล่าวถึงในวันนี้
เป็นนักบุญที่ชาวคาธอลิกในยุคกลางให้ความเคารพศรัทธาเป็นอย่างมาก ท่านคือ นักบุญโยเซฟัต.. ซึ่งถ้าถามว่า
ท่านแปลกตรงไหน ?? ก้ต้องบอกว่า .. แปลกมาก
เพราะ ประวัติชีวิตของท่านนั้น ละม้ายคล้ายกับ พระพุทธเจ้า
ราวกับว่าเป็นผู้เดียวกันอย่างน่าสนใจ ..
จากหนังสือ ตำนานทองคำ(Golden Legend)
ที่เป็นหนังสือรวบรวมประวัติและเรื่องอัศจรรย์ของนักบุญ
ที่เขียนขึ้นในยุคกลาง กล่าวถึงประวัติของท่านโยเซฟัตไว้ว่า
เมื่อราวศตวรรษที่ 4-5 ศาสนาคริสต์
ได้เผยแผ่ไปยังประเทศอินเดีย มีแคว้นๆหนึ่ง
ผู้ครองแคว้นชื่อว่า ราชา อะเบนเนอร์
ผู้ซึ่งจงเกลียดจงชังศาสนาคริสต์ จนถึงกับว่าห้ามผู้ใดในแคว้น
เข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ มิเช่นนั้น จะโดนลงโทษอย่างรุนแรง
เมื่อพระโอรสประสูติ เหล่าโหรหลวง ได้ทำการทำนายชะตาชีวิต ของพระโอรสไว้ว่า..พระโอรสองค์นี้ จะไม่สืบต่อราชสมบัติ
และจะเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์อีกด้วย ส่งผลให้พระราชา อะเบนเนอร์มีความกลัดกลุ้มอย่างมาก
จึงหาวิธี ให้โอรสมีแต่ความสบายในชีวิต
ทรงสร้างปราสาทให้ประทับอยู่หนึ่งหลัง(ปราสาท3ฤดู??)
แล้วสั่งบริพารทั้งหลาย ว่า ห้ามให้พระโอรส ได้ออกจากรั้ววัง
โดยเด็ดขาด แต่เมื่อพระโอรส โยเซฟัต โตเป็นหนุ่ม
กลับเบื่อหน่ายสื่งที่เห็น และชีวิตในวัง
และได้ ลักลอบออกจากวังพร้อมมหาดเล็กคู่ใจ(นายฉันนะ ??) เเละ นอกวังนั้นพระองค์ก็ได้เห็นกับชีวิตแห่งโลกที่แท้จริง
เด็กเกิด คนป่วยโรคเรื้อน คนป่วย คนชรา(คล้ายกับตอนสิทธัตถะเห็นการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ??) ซึ่งสร้างความสะเทือนใจ
ต่อองค์โยเซฟัตเป็นอย่างมาก จนครุ่นคิดตลอดเวลา
ในเวลานั้น มี นักบวชผู้หนึ่งชื่อ บาร์ลาอาม รับรุ้ได้ด้วยสัญญาณของพระผู้เป็นเจ้า จึงลักลอบไปพบกับโยเซฟัตเป็นการส่วนตัว และอธิบายหลักความเชื่อของศาสนาคริสต์
จนโยเซฟัตเกิดความศรัทธา เข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ในทันที และแม้ว่า พระบิดา อะเบนเนอร์เมื่อทราบเรื่อง
ก็พยายามหาข้อจูงใจ ให้โยเซฟัตกลับสู่พระราชสมบัติ
แต่โยเซฟัต ก็หาได้สนใจ แถมทำให้ประชาชนนับถือศาสนาคริสต์กันมากขึ้น รวมถึงพระราชบิดาด้วย
และท่านโยเซฟัตได้สละราชสมบัติ ออกจาริกเพื่อตามหา
บาร์ลาอาม และได้ บำเพ็ญศีลอยู่ในอารามกลางทะเลทรายจนหมดอายุขัย และร่างของท่านโยเซฟัต หลังเสียชีวิตก็นำมาฝังไว้ในเมือง ให้ผู้ศรัทธาได้ไปสวดภาวนา
และผู้สวดภาวนาได้รับการช่วยเหลืออย่างอัศจรรย์
.. จากประวัติโดยย่อๆ ของนักบุญโยเซฟัต จะเห็นว่า
หลายๆส่วน มีความคล้ายคลึงกับชีวิตของพระพุทธเจ้า
และก็มีการค้นคว้าจากนักวิขาการส่วนหนึ่งช่วง
กลางศตวรรษที่ 19 เช่นกัน และก็มีการค้นพบว่า
เรื่องของนักบุญโยเซฟัต ส่งผลต่อชีวิตกับบุคคลที่ยิ่งใหญ่ๆหลายๆท่าน เริ่มที่ ลีโอ ตอลสตอย นักเขียนชื่อดังของรัสเซีย
เขียนถึงโยเซฟัต ในหนังสือเรื่อง Confessions
กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในจิตใจ อย่างพลิกผัน หลังจากเขาได้รู้เรื่องของโยเซฟัต และต่อมา
ผู้ที่อ่านงานเขียนของ ลีโอ ตอลสตอย จนได้ค้นพบและนำ
หลักแห่งอหิงสา มาใช้ในการต่อสู้ นั่นก็คือ มหาตม คานธี
แล้ว งานเขียนของคานธีเกี่ยวกับหลักอหิงสา
ก็ถูกปรับนำมาใช้ต่อสุ้เพื่อสิทธิแห่งความเสมอภาค
โดยมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ....
ไม่ว่าเรื่องของนักบุญโยเซฟัต จากเกิดจากการลอกเลียน
ความบังเอิญ หรือเหตุใดก็ตาม หาใช่ความสำคัญไม่
เรื่องราวของนักบุญโยเซฟัตที่ส่งผลต่อบุคคล
จนสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของยุคถัดมาคือสิ่งสำคัญกว่า
ศาสนาแต่ละศาสนา ย่อมมีการเกี่ยวข้อง เชื่อมต่อกัน
และทุกศาสนาก็ล้วนแต่สอนให้ผู้คนกระทำแต่ความดี ..