ในปี 1982 เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพได้พบคราบอสุจิอยู่ในร่างกายของคาเรน เรนจ์เหยื่อที่ถูกฆาตกรรม แต่ฆาตกรกลับให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ลงมือข่มขืนเธอ และเจ้าของคราบอสุจินั้นก็ยังคงเป็นปริศนามาเกือบ 30 ปี แต่ในท้ายที่สุดก็ได้มีการพิสูจน์ได้ว่าน้ำเชื้อดังกล่าวนั้นเป็นของนายเคนเนธ ดักลาส ผู้ช่วยในห้องเก็บศพที่โอไฮโอนั่นเอง หลังจากนั้นความจริงอันน่าขนลุกก็ถูกตีแผ่ โดยมีการเปิดเผยว่าเรนจ์นั้นเป็นเพียงแค่ศพหนึ่งในกว่า 100 ศพ ที่โดนนายดักลาสข่มขืนกระทำชำเรา ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่เขาทำงานในห้องเก็บศพในเขตแฮมิลตันแห่งนี้
เมื่อเริ่มนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ก็ทำให้พนักงานสืบสวนสามารถระบุถึงที่มาของคราบอสุจิที่พบในเหยื่อฆาตกรรมตั้งแต่ปี 1982 รายดังกล่าวได้ และหลังจากที่รู้ว่าใครเป็นคนข่มขืนศพของเรนจ์ เด็กสาววัย 19 ปี ทางครอบครัวของเธอก็ได้ดำเนินการฟ้องร้องดักลาส นอกจากนี้ก็ยังมีศพที่ถูกกระทำชำเราอีกสองศพซึ่งต่อมาได้ถูกนำมาเชื่อมโยงกับดักลาสชายแก่อายุ 60 ปีผู้นี้ แต่เขาปฏิเสธ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้อดีตผู้ช่วยในห้องเก็บศพผู้นี้ก็ได้ออกมายอมรับว่าได้ทำการร่วมเพศกับ “ศพกว่า 100 ศพ” จริง เขาอ้างว่าตัวเขา “แค่ขึ้นไปคร่อมบนตัวศพแล้วก็ถอดกางเกงออกเท่านั้นเอง” ถ้าเขาได้ก๊งเหล้าหรือพี้ยาก่อนจะไปทำงาน “แต่ถ้าผมไม่ได้ดื่มอะไรตอนที่ผมทำงาน ผมก็ไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก” ดักลาสกล่าว
นายอัล เกอร์ฮาร์ดสไตน์ ทนายความของครอบครัวผู้เสียชีวิตรายหนึ่งอ้างว่า มีพนักงานในทางการเขตแฮมิงตันหลายคนที่ได้พบเห็นว่านายดักลาสได้กระทำการชั่วร้ายดังกล่าวจริง แต่กลับเลือกที่จะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่แทน ทั้งๆที่เห็นได้ชัดเลยว่านายดักลาสนั้นเล่นยาหรือไม่ก็ดื่มเหล้าก่อนหรือในระหว่างการทำงาน และภรรยาของดักลาสเองก็อ้างว่าเธอเคยถูกหัวหน้าผู้ดูแลห้องเก็บศพเรียกไปบ่นเรื่องที่สามีของเธอนั้นออกจากบ้านมาทำงานทั้งที่มีกลิ่นเหล้าหรือเหมือนเพิ่งจะไปหลับนอนกับใครมา ภรรยาของดักลาสย้อนรำลึกถึงคำพูดของหัวหน้าที่ตอบกลับมาหลังจากที่เธอเล่าเรื่องที่เธอกังวลใจ “เขาบอกฉันว่า “อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในช่วงเวลางานและเกิดขึ้นกับทรัพย์สินของทางเขตจะถือว่าเป็นธุระของทางเขตทั้งสิ้น”
ปัจจุบันดักลาสได้ถูกดำเนินคดีในข้อหากระทำชำเราศพเพียงแค่สามรายเท่านั้น เนื่องจากตรวจพบดีเอ็นเอของเขาที่ศพเหล่านั้น ทางเว็บไซต์กอว์เคอร์ได้รายงานว่า สามศพดังกล่าวได้แก่ศพของ ชาร์ลีน แอพพลิง วัย 23 ปี ซึ่งเสียชีวิตในปี 1991 จากการถูกรัดคอตายในระหว่างที่ตั้งครรภ์ได้หกเดือน และอีกหนึ่งรายคือ เอพริล ฮิคส์ วัย 24 ปีซึ่งพลัดตกจากหน้าต่างชั้น 3และเสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว ซึ่งศพของเธอเกือบจะหัวขาดด้วยฝีมือของพนักงานขายที่ไปเคาะประตูตามบ้านในปี 1982 ดักลาสยอมรับว่าเขามีเพศสัมพันธ์กับศพเหล่านี้และศพอื่นๆด้วยในช่วงระหว่างที่ศพเหล่านี้ถูกเก็บไว้ในห้องเพื่อรอการชันสูตร
ตามรายงานในเว็บไซต์ข่าวและเรื่องราวเกี่ยวกับอาชญากรรม (Crime library) กามวิตถารที่ชอบร่วมเพศกับศพนั้นเป็นอาการที่รู้สึกว่าศพเหล่านั้นมีแรงดึงดูดทางเพศ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีแรงกระตุ้นจากการที่ผู้ป่วยต้องการเป็นคนควบคุมกิจกรรมทางเพศนั้นเอง จึงได้พิสมัยคู่นอนที่ไม่สามารถขัดขืนหรือปฏิเสธเขาได้ โดยปกติแล้วกามวิตถารประเภทนี้มักได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นความผิดปกติทางบุคลิกภาพ แต่ก็มีผู้ป่วยประมาณ 10% ที่ถูกระบุว่าเป็นพวกวิกลจริต สตีเฟ่น เจ ฮัคเกอร์ จิตแพทย์ที่ค่อยให้คำปรึกษาผู้ป่วยกล่าวว่ามีคนสังเกตหาอาการผิดปกติแบบนี้ย้อนไปในอดีต ซึ่งก็ได้พบว่ามีบันทึกเกี่ยวกับชายชาวอียิปต์หลายคนซึ่งรอจนกระทั่งศพของภรรยาพวกเขาเริ่มเน่าเปื่อยก่อนถึงจะส่งศพให้กับผู้ดูแล เพื่อช่วยยับยั้งภารกิจที่ไม่เป็นที่ยอมรับนี้ เนื่องจากการปฏิบัติกามกิจอันต้องห้ามนี้มักกระทำในที่ลับตาคน ดังนั้นจึงเชื่อว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคกามวิตถารนี้น่าจะมากกว่าที่บันทึกทางสถิติเอาไว้อย่างแน่นอน