อีอยู่-อำแดงอยู่ หญิงร่านอำมหิต

เรื่องราวของ "อำแดงอยู่" หรือ "อีอยู่" เป็นเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นจริงเรื่องหนึ่ง ที่แปดเปื้อนไปด้วยคาวโลกีย์ และความอำมหิตของสตรีที่ชื่อ "อำแดงอยู่"
อำแดงอยู่ หรือ อีอยู่ ที่เอ่ยนามมานี้ มิใช่หญิงชาวบ้านไม่มีหัวนอนปลายเท้าเดินตีนเปล่าอยู่ในพระนคร นางเป็นธิดาของ "จีนเอี่ยม" และ "อำแดงพุ่ม" ซึ่งยาย และอำแดงพุ่มผู้เป็นแม่ของนาง เป็นชาวห้องเครื่องเสวยในพระบรมมหาราชวัง เมื่อนางโตเป็นสาวก็เจริญรอยตามแม่กับยาย ไปเป็นชาวห้องเครื่องในสังกัด ท้าวพิพัฒโอชา หรือ คุณท้าวอิ่ม ผู้ดูแลห้องเครื่องเสวยของ สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี
พอนางอายุ ๑๗ ปี เส้นทางโลกีย์ของนางก็ได้เริ่มขึ้น นางไปพบรักกับหม่อมราชวงศ์สิริ (ไม่ทราบสกุล) จนตกร่องปล่องชิ้นได้หม่อมราชวงศ์สิริเป็นผัวคนแรก ชะรอยอำแดงอยู่จะเป็นสตรีหัวดื้อปากไวใจเด็ด ไม่อยู่ในโอวาทผัวกระมัง อยู่มาไม่นานก็มีปากเสียง ทะเลาะกับคุณชายสิริรุนแรงจนแยกทางกัน แล้วก็ออกจากบ้านผัวไปอยู่กับคุณท้าวอิ่ม พึ่งพระบารมีสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัส ฯ ในพระบรมมหาราชวังตามเดิม...... นี่คือผัวคนแรกของนาง
ครั้นอยู่ในวังหลวงได้สักระยะ ดวงภรรยาข้าราชการของนางก็โคจรมาหานางโดยมิทันตั้งตัว นางไปพบรักกับ "หลวงแผลงสท้าน" ซึ่งมีหน้าที่กำกับพนักงานห้องเครื่องเสวยในพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า ในที่สุดคุณหลวงก็กราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัส ฯ ขออำแดงอยู่ไปเป็นภรรยา สมเด็จฯ ท่านก็ทรงพระเมตตา ประทานนางให้กับคุณหลวง
คุณหลวงพาอำแดงอยู่มาเป็นเมียเอก เป็นใหญ่ในบ้านคุณหลวงที่ตั้งอยู่ริมคลองคูเมืองเดิม ใกล้กับโรงไหม (ปัจจุบัน คือ บริเวณตรอกโรงไหม ติดกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหอศิลป ถนนเจ้าฟ้า หรือโรงกษาปณ์เดิมนั่นแล) ชีวิตคู่ของอำแดงอยู่กับคุณหลวง ราบรื่นด้วยดีในระยะแรกๆ ตามประสาข้าวใหม่ปลามัน อยู่กินกันนานนม มีบุตรด้วยกันสามคน เป็นชายสอง เป็นหญิงหนึ่ง แต่ดวงคุณหลวงไม่ดี ลูกตายหมดทั้งสามคนตั้งแต่ยังเล็ก พอเวลาผ่านไป อำแดงกับคุณหลวงผู้มีชีวิตที่เหี่ยวแห้ง ไม่มีบุตร-ธิดาเอาไว้ให้เชยชม อยู่กินกันมา ๒๐ ปี จนข้าวที่ว่ามันพอเคี้ยวแล้วก็อยากจะคาย ปลาที่เคยใหม่พอกินแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับปลาตากแห้งค้างปี
อยู่ไปอยู่มา ในที่สุดดวงคุณนายก็โคจรมาบรรจบกับนาง คุณหลวงแผลงสท้าน ได้เลื่อนยศเป็น "พระบรรฤๅสิงหนาท" แต่ยังคงสนองพระเดช พระคุณ อยู่ในพระบวรราชวังอยู่เหมือนเดิม อำแดงอยู่ จึงจับพลัดจับผลู ได้เป็น "คุณนายอยู่" เป็นคุณนาย “บ่าวตั้ง” ผู้เลิศเลอเพอร์เฟกต์
คุณนายอยู่มีชีวิตที่สบายมากขึ้น มีบ่าวทาส มีบริวารไว้ใช้สอยมากมาย ทำให้ชีวิตกระชุ่มกระชวยขึ้นอักโข เมื่อนางมีชีวิตที่สบายขึ้นกว่าเดิม อยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร แน่นอน ต่อมความต้องการทางเพศของนางก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น แต่คุณพระบรรฤๅ ฯ ไม่สามารถสนองนางได้ เพราะเมื่อได้เลื่อนยศ คุณพระก็มีภาระเพิ่มขึ้นจนไม่ค่อยจะมีเวลาร่วมรักกับนาง พอนานวันเข้า นางก็หงอยเหงาอีกครั้ง ชีวิตคุณนายที่สะดวกสบาย นั่งอยู่บนเรือนคอยชี้นิ้วสั่งบ่าวไพร่ไม่ได้ตอบโจทย์ความสุขอันสูงสุดของนาง
จนในที่สุดนางหันไปพึ่งสุรายาดอง เป็นคุณนายขี้เมาอยู่ระยะหนึ่ง ไม่รู้ว่ายาดองตัวไหนที่มีสรรพคุณกระตุ้นต่อมกำหนัดของนาง เมื่อตัณหาราคะเข้าครอบงำ คุณพระก็ไม่ค่อยจะว่างงาน คุณนายอยู่จึงเริ่มสอดส่องมองหาข้าทาสบริวารชาย ทั้งแรกรุ่น และฉกรรจ์ มาเป็น Sex Toy แก้ขัดแทนคุณพระบรรฤๅ
สอดส่องไปมา ก็ดันไปสบจริตกับ "อ้ายไฮ้" ทาสหนุ่มในเรือนคุณนายอยู่ ตั้งแต่นั้นมา เมื่อคุณพระบรรฤๅ ฯ ติดราชการ พอลับหลับคุณพระได้ไม่ทันธูปจะหมดดอก อ้ายไฮ้ก็ไปโยกย้ายส่ายสะโพกอยู่ที่หว่างขาของคุณนายอยู่เสียแล้ว และเป็นเช่นนี้ถึง ๒ ปี
ความบัดสีนี้ใช่ว่าจะเป็นความลับ ข้าไททั้งหลายก็รู้เห็น เอาไปนินทากันสนุกปาก แต่ก็หามีใครปากบอนไปบอกคุณพระบรรฤๅ ฯ ไม่ ด้วยเกรงจะโดนคุณนายอยู่โบยตีเอา ทั้งๆ ที่ คุณพระบรรฤๅ ฯ ไปสนองพระเดชพระคุณในวังหน้า ซึ่งห่างจากเรือนคุณพระเพียงข้ามคลองเท่านั้น ก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวว่าเมียตนสวมเขาให้
แล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด อ้ายไฮ้ผู้นี้จึงเป็นที่ถูกกามจริตของคุณนายอยู่นัก อาจเพราะอ้ายไฮ้มี "กระดองเลี่ยมทอ" กระมัง คุณนายจึงให้อ้ายไฮ้สนองกามตัณหาตนเองเสมอๆ แต่อ้ายไฮ้ก็ใช่ย่อย ของดีเลี่ยมทองใช่ว่าจะเป็นของคุณนายแต่เพียงผู้เดียว ด้วยความเป็นหนุ่มแน่นแก่นฉกรรจ์ อ้ายไฮ้จึงเอาของดีไปให้ "อีเกลี้ยง" ทาสในเรือนเดียวกันเชยชมอีกคน พอลับหลังคุณพระบรรฤๅ ฯ อ้ายไฮ้ก็เริงรักกับคุณนาย พอลับหลังคุณนายอ้ายไฮ้ก็ลงจากเรือนนาย มาดึงครกดึงสากกับอีเกลี้ยงที่เรือนบ่าว จนหนำใจอีเกลี้ยง คุณนายและอีเกลี้ยงจึงได้ผลัดกันใช้ "ของดี" ของอ้ายไฮ้นับแต่นั้นมาเป็นเวลาสามเดือน
ในเดือน ๘ ขึ้น ๕ ค่ำ พ.ศ.๒๔๒๔ ดวงซวยก็โคจรมาหาคุณนายอยู่แบบตรงๆ ไม่มีโต๊ด ความอัปรีย์ของนางแพร่ไปถึงหูคุณพระบรรฤๅ ฯ โดยบังเอิญ คุณพระจึงซ้อนแผนคุณนาย เพื่อพิสูจน์ความจริงว่าคุณหญิงเล่นชู้ดังคำร่ำลือหรือไม่ พอตอนย่ำรุ่ง คุณพระก็จัดแจงแต่งตัวออกไปทำเครื่องเสวยเหมือนทุกๆ วัน คล้อยหลังคุณพระมิทันไร อ้ายไฮ้ก็โจนทะยานขึ้นมาบนเรือน หมายจะมาเล่นชักคะเย่อกับคุณนายตามกิจวัตรทันที
จากสำนวนไต่สวนของตระลาการ บันทึกไว้ว่า....
"....อ้ายไฮ้กับอำแดงอยู่ นอนพูดจาหยอกล้อกันอยู่ในห้องเรือนได้ครู่หนึ่ง ....ยังหาทันชำเรากันไม่"
ทันใดนั้น คุณพระบรรฤๅ ฯ ก็กลับมาถึงเรือน เข้าไปหาคุณนายของคุณพระ แต่ประตูได้ลั่นกลอนเอาไว้ เปิดเท่าไรก็เปิดไม่ออก ด้วยใจอันชอกช้ำของคุณพระ ก็ค่อยๆ ย่องไปที่ฝาเรือนส่องดูคุณนายอยู่ เหมือนใครเอามีดมากรีดที่หัวใจ คุณพระเห็นเมียตนนอนอยู่กับอ้ายไฮ้ จึงบันดาลโทสะตะโกนด่าทั้งสองเสียงดัง จนสุดท้ายคุณนายอยู่จำนนแก่หลักฐาน ยอมเปิดประตูออกมา เหตุการณ์นี้ สำนวนไต่สวนได้บันทึกไว้ว่า....
"พระบรรฤๅสิงหนาทเข้าไปในห้องได้แล้ว เอาไม้คันร่มฝรั่งตีอำแดงอยู่ทีหนึ่ง จึ่งจับตัวอ้ายไฮ้ลงไปที่พื้นดิน แล้วให้อ้ายเทืองยึดมือ อ้ายถึกยึดเท้า อ้ายไฮ้นอนคว่ำลงที่พื้นดินน่าบันไดเรือน แล้วให้อ้ายเอี่ยมเอาหวายโบยหลังอ้ายไฮ้ ๕๐ ที ให้อ้ายถึกเอาตรวนโซ่จำล่ามอ้ายไฮ้ไว้ที่ครัวไฟได้ ๕ วัน"
ด้วยความเป็นพ่อพระมาโปรดเมีย คุณพระได้แต่ตีคุณนายอยู่ด้วยคันร่มฝรั่งทีหนึ่งเท่านั้น ทั้งๆ ที่ควรจะโดนมากกว่านี้ คงจะรักและเห็นใจเมียอยู่มาก แล้วเรื่องนี้ก็เป็นอันจบลง (สำหรับคุณพระบรรฤๅฯ)
แต่ไม่จบลงง่ายๆ สำหรับคุณนายอยู่ที่ไม่รู้สำนึกความผิด และความน่าละอายใจนี้ กลับบังเกิดความคลั่งแค้น เที่ยวหาตัวคนที่นำความไปฟ้องคุณพระมาลงโทษให้สาแก่ใจนาง และคนที่ซวยก็คือ "อีเกลี้ยง" ที่คุณนายอยู่ระแคะระคาย สงสัยว่าจะเป็น "ชู้ของชู้ตน" มาระยะหนึ่งแล้ว อีเกลี้ยงจึงมีบทบาทในละครดราม่าเรื่องนี้ขึ้นมาทันที !
วันหนึ่ง พอคุณนายกระดกยาดองจนเมาได้ที่ คุณนายจึงเรียกอีเกลี้ยงขึ้นมาชำระความ ชี้หน้าด่าอีเกลี้ยง แล้วเค้นเอาความจริงซึ่งก็ไม่แน่ใจอีเกลี้ยงรู้เห็นเรื่องนี้หรือไม่ คุณนายเค้นเอาความจากอีเกลี้ยงเสียงดังว่า
"มึงเอาความไปฟ้องคุณพระหรือ ว่ากูเป็นชู้กับอ้ายไฮ้"
อีเกลี้ยงไม่ยอมรับผิด คุณนายจึงยิ่งโมโหโกรธา พลางคว้าดุ้นฟืนไม้แสมที่อยู่ใกล้มือ กระหน่ำฟาดอีเกลี้ยงไปสิบกว่าที จนอีเกลี้ยงน่วม ระทดระทวยไปด้วยฤทธิ์ดุ้นแสม (ซึ่งไม่เสียวซ่านเท่าดุ้นของอ้ายไฮ้)
ละครดราม่ายังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ อีเกลี้ยงก็แรงไม่แพ้คุณนายอยู่ ฉากนี้ข้าพเจ้า (ณัฐดนัย) ต้องขอตอบแทนอีเกลี้ยงว่า
"ดุ้นยอกต้องเอาดุ้นบ่ง"
อีเกลี้ยง ผูกอาฆาตคุณนายอยู่ที่ฟาดตนด้วยดุ้นแสมจนน่วมไปทั้งตัว พอตกกลางคืน อีเกลี้ยงย่องไปที่ระเบียงครัวอันเป็นที่ที่อ้ายไฮ้ถูกล่ามโซ่อยู่ เมื่ออีเกลี้ยงโดนดุ้นแสมช้ำทั้งกายทั้งใจ อีเกลี้ยงจึงคันมือ เข้าหาอ้ายไฮ้ล้วงเข้าไปในผ้านุ่งแล้วบีบดุ้นของอ้ายไฮ้เต็มแรง อ้ายไฮ้ตกใจตื่น และจุกจนตาลาย เป็นอันสาแก่ใจอีเกลี้ยงก็คราวนี้
เรื่องยิ่งดุเด็ดเผ็ดมันขึ้น เมื่ออ้ายไฮ้ตัวดี ไปออดอ้อน ทำสำออยให้คุณนายสงสาร ว่าอีเกลี้ยงมาทำร้ายของลับของตน อีคุณนายได้ฟังก็โกรธอีเกลี้ยงเป็นฟืนเป็นไฟ จิกหัวอีเกลี้ยงมาชำระความอีกรอบ ฝ่ายอีเกลี้ยงก็กวนบาทาอีคุณนาย บอกว่า
"ไม่ได้ทำร้ายของที่คุณนายใช้ร่วมอยู่กับอีฉันหรอกเจ้าค่ะ"
เท่านั้นเอง ก็ถึงแก่คราวซวยซ้อนของอีเกลี้ยง โดนดุ้นแสมฟาดไปมิทันไร ต้องมาโดนดุ้นใหม่ให้ระอาอีกรอบ ด้วยแรงหึงของอีคุณนาย จึงตวาดเรียกทาสชื่อ "อ้ายฮาน" ให้เอาตรวนมาล่ามอีเกลี้ยงไว้ แล้วอีกคุณนายก็กระหน่ำฟาดอีเกลี้ยงด้วย
"ดุ้นไม่ไผ่" ไป ๔-๕ ที จนสาแก่ใจ พอนึกแค้นอีเกลี้ยงขึ้นมาอีกเมื่อไร ก็เอาดุ้นไม่ไผ่กระหน่ำฟาดอีเกลี้ยงซ้ำๆ เช่นนั้น จนอีเกลี้ยงแทบจะตายคาตรวน แค่นี้ดูเหมือนจะแซ่บแล้ว แต่เหตุการณ์แต่ไปนี้ แซ่บกว่า....!! สำนวนไต่สวนได้บันทึกไว้ว่า....
"ครั้น ณ วันเดือนเก้า ขึ้นสี่ค่ำ ปีมะเส็งตรีศก เวลาเช้าประมาณโมงเศษ พระบรรฤๅสิงหนาทเข้าไปรับราชการในพระราชวังบวร อำแดงอยู่ไขกุญแจที่ข้อเท้าอีเกลี้ยง เอาตัวอีเกลี้ยงมาที่ชานเรือน อำแดงอยู่เมาสุราเอาไม้แสมรอน ตีอีเกลี้ยงประมาณ ๕ ที ๖ ที ในวันเดียวนั้นเวลาบ่ายโมงเศษ อำแดงอยู่ใช้อีเกลี้ยงหุงข้าวอยู่ในครัวไฟ อำแดงอยู่ตามอีเกลี้ยงเข้าไปในครัวไฟ อำแดงอยู่เหนอีเกลี้ยงนั่งยองๆ หุงข้าวอยู่ อำแดงอยู่เอาเท้าถีบอีเกลี้ยงล้มนอนตะแคงลง อำแดงอยู่กระชากผ้านุ่งอีเกลี้ยงออก แล้วอำแดงอยู่เอาไม้แสมที่เตาหุงข้าวที่ติดไฟอยู่นั้น ตำที่ทวารเบาอีเกลี้ยง ๒ - ๓ ที "
ถึงตอนนี้น่าสงสารอีเกลี้ยงนัก ที่โดนฟาดด้วยดุ้นแสม ดุ้นไม่ไผ่ยังไม่พอ ยังโดนเอาดุ้นฟืนที่ติดไฟแดงๆ กระทุ้งเข้าไปที่โยนีอีกสามที นึกไม่ออกเหมือนกัน ว่าจะเจ็บแสบทรมานแค่ไหน เคราะห์ของอีเกลี้ยงยังไม่หมดแค่นี้ พอตอนสี่โมงเย็น หลังจากอีคุณนายอยู่กระดกสุรายาดอง และกินข้าวเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจ เกิดแค้นอีเกลี้ยงขึ้นมาอีก อีเกลี้ยงก็ซวยเสือกเดินขวางหูขวางตาอยู่ชานเรือนพอดี
อีคุณนายจึงรีบตวาดเรียก "อ้ายฮาน" คนเดิม แต่คราวนี้มาพร้อม อ้ายสด และอีเทียน ทาสในเรือนเดียวกันมาช่วยกันยึดมืออีเกลี้ยงไว้คนละข้างให้อีเกลี้ยงนอนหงาย อีเกลี้ยงโดนดุ้นฟืนติดไฟทิ่มโยนีมาแล้ว ก็กลัวลนลานดิ้นรนสุดชีวิต อีคุณนายอยู่ก็เลยให้อีเทียนนั่งทับขาอีเกลี้ยงเอาไว้ไม่ให้ขยับ
ด้วยความวิปริตผิดมนุษย์ หรืออะไรก็สุดแต่จะคิด อีคุณนายหมายจะเล่นงานอีเกลี้ยงที่โยนีอีกครั้ง เอามือไปแก้ปมผ้านุ่งของอีเกลี้ยง อีเกลี้ยงผู้น่าเวทนา ทั้งร้องทั้งดิ้นพล่าน เพราะกลัวจะโดนอะไรมาทิ่มอีก อีคุณนายเห็นอีเกลี้ยงดิ้นพล่าน จึงสั่งให้อ้ายฮานส่งดุ้นฟืนแสมมาให้ พออีเกลี้ยงเห็นดุ้นแสมมหึมาจึงจำยอมให้อีคุณนายอยู่แก้ผ้านุ่งออก คุณนายอยู่ถกผ้านุ่งอีเกลี้ยงส่งให้อ้ายฮาน อ้ายฮานก็เอาใจนายโยนผ้านุ่งอีเกลี้ยงลงใต้ถุนเรือน เหตุการณ์ต่อไป ต้องเรียกว่า “แซ่บแบบระยะ เผาขน (ในที่ลับ” คำไต่สวนบันทึกว่า....
"อำแดงอยู่ ให้อ้ายฮานหยิบไม้ขีดไฟในครัวไฟมาส่งให้อำแดงอยู่ อำแดงอยู่ก็ขีดไฟเผาขนที่ลับอีเกลี้ยง สิ้นไม้ขีดไฟประมาณ ๘ อัน ๙ อัน แล้วให้อ้ายฮานเอาโซ่ล่ามเท้าอีเกลี้ยงไว้ได้ ๒ วัน..."
คราวนี้ ความยุติธรรมกำลังจะเข้าข้างอีเกลี้ยง เมื่อ "อำแดงติ้น" แม่เลี้ยงของอีเกลี้ยงมาเยี่ยมอีเกลี้ยง พอมาพบสารรูปอีเกลี้ยง อำแดงติ้นถึงกับตกใจ เพราะสภาพของอีเกลี้ยงเหมือนเดนมนุษย์ที่ถูกล่ามโซ่ และเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ห้อเลือดไปทั่วสรรพางกาย อำแดงติ้น จึงถามอีเกลี้ยงว่า ไปทำผิดอะไรมา เขาถึงได้ลงทัณฑ์ถึงเพียงนี้ อีเกลี้ยงก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะตอบอะไรอำแดงติ้นได้ จนอีคุณนายอยู่ได้เจอกับอำแดงติ้น อำแดงติ้นจึงไต่ถาม อีคุณนายอยู่ก็ปัดความบอกว่า
“ไม่ใช่เรื่องของมึง อย่ามายุ่ง”
อำแดงติ้นไม่ลดความพยายาม จึงถามว่าจะเอาเงินสักเท่าไร เป็นค่าไถ่ตัวอีเกลี้ยงลูกเลี้ยงของตน จะได้ไปหามาให้ อีคุณนายอยู่หวังจะทรมานอีเกลี้ยงต่อไป จึงปฏิเสธแล้วด่าทออำแดงติ้นต่างๆ นาๆ
ด้วยความสงสารลูก แม้จะเป็นเพียงลูกเลี้ยงที่ตนไม่ได้อุ้มท้องมา อำแดงติ้นจึงไปฟ้องพระบรรฤๅ ฯ ที่รับราชการอยู่ในวังหน้า ไม่รู้ว่าด้วยความหลงเมียหัวปักหัวปำ หรืออะไรก็ไม่ทราบได้ พระบรรฤๅ ฯ จึงบอกกับอำแดงติ้นว่าว่าตนกำลังติดงานอยู่ ให้อำแดงติ้นกลับไปก่อน เดี๋ยวเสร็จงานแล้วจะรีบกลับไปชำระความให้ แต่กว่าพระบรรฤๅจะกลับไปชำระความ อีเกลี้ยงก็ถึงแก่การมรณา คำไต่สวนบันทึกเหตุการณ์ไว้ว่า....
"ครั้น ณ วันจันทร์ เดือนเก้า ขึ้นหกค่ำ ปีมะเส็งตรีศก เวลาเช้า ๒ โมงเศษ อำแดงอยู่ให้อีเกลี้ยงลงไปอาบน้ำ ที่หว่างพื้นดินน่าบันได อำแดงอยู่เอาเท้าถีบอีเกลี้ยงพลัดตกบันไดลงไปถูกศิลาปูพื้นดินน่าบันได หน้าคว่ำลงกับศิลา แขนซ้ายอีเกลี้ยงหัก ทันใดนั้นอำแดงอยู่ให้อ้านฮาน กับอ้ายสด อีเทียน จับข้อมือซ้ายขวาอีเกลี้ยง ฉุดลากขึ้นไปบนชานเรือน พอเวลาเช้าประมาณ ๓ โมงเศษ อีเกลี้ยงทาสต่าตัวเงินสามชั่ง อายุ ๕๘ ปี ทนเจ็บบาดแผลมิได้ขาดใจตาย..."
ความอำมหิตของอีคุณนายอยู่ยังไม่จบแค่นี้ เมื่อรู้ว่าอีเกลี้ยงตายโหงตายห่าแล้ว ก็กำชับบ่าวไพร่ ไม่ให้แพร่งพรายเรื่องอีเกลี้ยง ว่าตายอย่างไร แล้วสั่งให้อ้ายอัด อ้ายถึก อีแซม ผ่าไม้ไผ่ทำเฝือกห่อศพอีเกลี้ยงใส่เรือพายไว้ใต้ถุนเรือน ให้อ้ายฮานตัวดี ไปบอกความแก่พระบรรฤๅ ฯ ในวังหน้าว่า "อีเกลี้ยงเป็นไข้ปัจจุบันตาย" คุณพระผู้โง่เขลา จึงรีบกลับบ้านแล้วให้อีบัวไปตามอ้ายเอี่ยม อ้ายเทือง อ้ายลา อ้ายเยื้อที่คลองสวนหมู มาให้ทาสทั้ง ๔ นี้ เอาศพอีเกลี้ยงไปจัดการฝัง สั่งความเสร็จคุณพระฯ ก็กลับไปสนองราชการต่อ โดยยังไม่ทันเห็นหรือไม่สงสัยในการตายของอีเกลี้ยงเลยสักนิด
ทาสทั้ง ๔ เอาศพอีเกลี้ยงลงเรือไปที่วัดสามจีน (วัดสังเวชฯ) ปากคลองบางลำพู โกหกสัปเหร่อว่าศพอีเกลี้ยงตายด้วยโรคไข้ปัจจุบัน ตามธรรมเนียมสัปเหร่อต้องชันสูตร และให้แก้เฝือกดูศพก่อนถึงจะรับจัดการศพให้ อ้ายเอี่ยม ทาสผู้รับกรรมนี้ ก็อึกอักไม่ยอมให้สัปเหร่อแก้เฝือกดูศพอีเกลี้ยง ซ้ำปดแก่สัปเหร่อต่อไปอีกว่า "อีเกลี้ยงเป็นญวนเข้ารีต แก้เฝือกดูศพไม่ได้" เมื่อไม่ต้องตามขนบธรรมเนียมของสัปเหร่อ สัปเหร่อจึงปฏิเสธที่จะทำศพอีเกลี้ยง บอกว่าถ้าไม่ให้ดูศพ ก็ฝังให้ไม่ได้
ทาสทั้ง ๔ จึงต้องเอาศพอีเกลี้ยงลงเรือไปขึ้นฝั่งที่วัดดุสิดาราม ก็เจออุปสรรคแบบเดียวกันอีก ศพอีเกลี้ยงจึงลอยเรือเท้งเต้งอยู่อย่างนั้น เมื่อไม่ได้ความ อ้ายเอี่ยม จึงวานอ้ายเยื้อข้ามฟากมาหาพระบรรฤๅ ฯ ที่วังหน้า บอกปัญหาในการฝังศพอีเกลี้ยง พระบรรฤๅ ฯ ก็ยังคงงมโข่งอยู่ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ส่งขุนวิเสศสังหาร ปลักไปกับอ้ายเยื้อ เพื่อแก้ศพอีเกลี้ยงดูก็พบว่า สภาพศพนั้นยับเยิน น่าเวทนาเป็นยิ่งนัก
แต่โชคก็ยังเข้าข้างอีเกลี้ยง เพราะตั้งแต่ทาสทั้ง ๔ เอาศพอีเกลี้ยงลงเรือ ขึ้นบกที่วัดนั้น วัดนี้ เหตุการณ์ทั้งหมด ล้วนอยู่ในการสังเกตการณ์ของ "นายหนู" พลเมืองดี ที่เห็นว่ามันชอบมาพากลอยู่ ที่เอาศพไปวัดไหนเขาก็ไม่รับฝัง
รุ่งขึ้น นายหนู จึงนำความผิดสังเกตนี้ ไปแจ้งแก่ "ขุนวารินสัญจร" นายตำรวจท้องที่ ศพอีเกลี้ยงจึงได้รับการชันสูตร มีรายละเอียดดังนี้..
“ มีแผลที่กลางกระหม่อมยุบโต กว้าง ๒ นิ้ว แห่ง ๑
หน้าบวมช้ำดำเขียวเต็มหน้า แห่ง ๑
หูข้างซ้ายช้ำบวมโลหิตไหลออกมาจากหู คราบเลือดยังติดอยู่ แห่ง ๑
ต้นแขนริมศอกขวา บวมช้ำ กระดูกหัก แห่ง ๑
ต้นแขนซ้ายบวมช้ำกระดูกหัก แห่ง ๑
อกบวมช้ำ โตกลมนิ้ว ๑ แห่ง ๑
สะโพกข้างขวาบวมช้ำดำเขียวเต็มทั้งสะโพก แห่ง ๑
เป็นรอยตีด้วยไม้ทั้ง ๗ แห่ง รวม ๙ แผล ”
ทาสทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการตายของอีเกลี้ยง ถูกตระลาการเรียกตัวไปสอบสวนในศาล โดยมี "นายหนู" พลเมืองดีเป็นโจทย์ ซึ่งทุกคนก็ให้การสารภาพตามความจริง ตระลาการเห็นว่าคดีนี้ เป็นคดีสะเทือนขวัญ เหี้ยมโหดผิดมนุษย์ ล่วงพระราชอาญา มีความผิดมหันต์ จึงพิพากษาตัดสินโทษ ริบทรัพย์ข้าทาสชายหญิงของ "อีอยู่" ทั้งหมด (ต่อไปนี้จะเรียกว่า อีอยู่) ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
แล้วให้เอาตัวไปเฆี่ยน ๓ ยก ๙๐ ที แล้วเอาอีอยู่ไปประหารให้คนทั้งปวงดูเป็นเยี่ยงอย่างว่าอย่าทำแบบนี้
ส่วนอ้ายไฮ้ ให้นำตัวไปเฆี่ยน ๓๐ ที แล้วส่งตัวไปให้พระบรรฤๅฯ ไปใช้อีก
คุณพระบรรฤๅสิงหนาท มีความผิดทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอีเกลี้ยงตาย แต่ก็ลุแก่ความผิดฐานปิดความแก่เจ้าพนักงาน ไม่แจ้งต่อเจ้าพนักงานให้เอาศพอีเกลี้ยงไปฝัง จึงปรับตามบรรดาศักดิ์ ริบศักดินา ๕๐๐ ไร่ เป็นเงิน ๑๑ ตำลึงกึ่งสลึงเฟื้อง ๖๓๐ เบี้ย เป็นพินัยหลวง
เมื่อตระลาการตัดสินความแล้ว ก็นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยพระปรีชาญาณ พระองค์เห็นว่าการชำระความของตระลาการยังชำระความอ่อนอยู่ จึงมีพระบรมราชโองการ ให้ทำการสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง ผลสรุปคือ
อีอยู่ รับโทษตามเดิม คือ โดนตัดหัว เสียบประจาน
อ้ายฮาน อ้ายสด อีเทียน ผู้ช่วยอีอยู่ทรมานอีเกลี้ยงนั้น ให้เอาตัวไปเฆี่ยน ๒ ยก ๖๐ ที แล้วเอาตัวไปจำคุก
ทาสคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และเอ่ยนามมานั้น ทรงเห็นว่าจำยอมทำตามคำสั่งนาย เป็นเหตุเฉพาะหน้า ไม่ทันได้ตั้งตัว จึงให้เฆี่ยนเฉพาะ อ้ายเอี่ยม อ้ายเทือง อ้ายลา อ้ายเยื้อ ที่สมรู้กันเอาศพอีเกลี้ยงไปอำพราง คนละ ๓๐ ที
อ้ายไฮ้ ทำผิดฐานชู้สาว แต่นายเงิน (พระบรรฤๅ ฯ) ก็ลงโทษไปแล้ว แม้จะเป็นตัวต้นเหตุให้เกิดการฆาตกรรมอันวิปริตนี้ แต่ก็ไม่มีส่วนร่วมในการทรมาน และฆ่าอีเกลี้ยง จึงโปรดเกล้า ฯ พระราชทานอภัยโทษอ้ายไฮ้
พระบรรฤๅสิงหนาท ที่ถูกปรับเป็นเงิน ๑๑ ตำลึง กึ่งสลึงเฟื้อง ๖๓๐ เบี้ยนั้น ทรงเห็นว่ายังตัดสินอ่อนอยู่ เพราะเหมือนกับว่าจงใจปกปิดเรื่องราวทั้งหมด แม้จะไม่มีส่วนร่วมในการฆาตกรรมนี้ก็ตาม จึงมีโทษ ๒ ชั้น เพิ่มโทษปรับเงินเป็นรางวัลแก่นายหนู พลเมืองดี เป็นเงินอีก ๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง
ครั้นถึงเวลาประหารอีอยู่ ผู้ก่อการวิปริตวิตถาร หลังจากที่ถูกเฆี่ยน ๓ ยก ๙๐ ทีแล้ว ก็ถูกนำตัวไปประหารที่วัดโคก (วัดพลับพลาชัย) ประชาชนที่ทราบข่าว แห่กันไปดูเนืองแน่น จนศาลาวัดพังครืนลงมา แต่ไม่มีใครบาดเจ็บ
การประหารอีอยู่นี้ ต้องใช้เพชฌฆาตถึง ๖ คน เมื่อถึงเวลา อีอยู่ ที่อยู่ในอาการเซื่องซึม (ถูกมอมยามาก่อนถึงเวลาประหาร เพื่อไม่ให้นักโทษเกิดความกลัว) ถูกนำไปมัดกับหลักประหาร แต่ฤทธิ์เดชของ "อีอยู่" ก็หาได้เหือดไปไม่ นางสำแดงอภินิหารนางมารครั้งสุดท้าย ด้วยการตะโกนเสียงดังว่า...
"ฆ่าฉันเสียเร็วๆ ฆ่าฉันเร็วๆ !!!"
สิ้นเสียงที่เกิดจากอาการเสียจริต หรือจิตวิตถารของนาง เพชฌฆาตก็ลงดาบ เพียงดาบแรก หัวของอีอยู่ก็สะบั้นลงเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้น ก่อนที่จะตัดข้อเท้าของนางซึ่งมีโซ่ตรวนพันธนาการไว้ และหั่นศพออกเป็นชิ้นๆ แล่เนื้อออกจากกระดูก ทิ้งตับไตไส้พุงไว้เป็นทานแก่แร้งกา ส่วนศีรษะเอาไปเสียบประจานไว้
หลังจากหัวอีอยู่หลุดจากบ่าแล้ว ก็ไม่มีใครสนใจนางอีก ด้วยคนที่มาดูการประหาร ต่างคนต่างก็เกลียดชังในความชั่วของนาง ไม่มีใครเลยที่จะแสดงอาการสงสาร หรืออาลัยแม้แต่ญาติพี่น้องของนาง ต่างพึมพำกันว่า
" มันได้รับผลกรรมของมันแล้ว"

 


เครดิต เอนก นาวิกมูล และ Anatta Chouywang

Credit: https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=692003300877748&id=688689287875816&substory_index=0
8 มี.ค. 59 เวลา 15:21 7,498
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...