นีโยส ทะเลสาปมรณะ ที่คร่าชีวิตคนกว่า 1,700 คนในวันเดียว!

ในทุกพื้นที่นั้นมักจะมีตำนานและเรื่องราวที่เล่าขานต่อๆกันมา ที่คนรุ่นก่อนหน้านี้คอยสอนหรือบอกให้เราใช้ชีวิตและยึดเป็นวิถีปฏิบัติ เช่น คนญี่ปุ่นมักจะถูกสอนไม่ให้สร้างบ้านเรือนติดชายทะเลในระดับต่ำ เนื่องจากภัยของซึนามิ

เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องราวโศกนาฏกรรมที่แปลกประหลาด และคร่าชีวิตผู้คนเกือบทั้งหมู่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการเตือนจากบรรพบุรุษก่อนแล้ว

21 เมษายน ค.ศ.1986 เช้าที่สดใสในประเทศแคมารูน ดินแดนในชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกาอันกว้างใหญ่ ชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองวุม (Wum) ได้ออกเดินทางไปหาเพื่อนของเขาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้บริเวณทะเลสาปนีโยส (Nyos Lake)



ทะเลสาปแห่งนี้เคยเป็นปากปล่องภูเขาไฟ โดยมีความลึกสูงสุดอยู่ที่ระดับ 208 เมตร เรียกได้ว่า ลึกกว่าจุดที่ลึกที่สุดของอ่าวไทยเกือบ 4 เท่า! ที่ความลึกระดับนี้ แม้ว่าน้ำนั้นใสเพียงใด ก็ทำให้สีของน้ำในทะเลสาปกลายเป็นสีเข้มไปในทันที



ในระหว่างทางที่ชายชาวแคมารูนคนนั้นเดินทางมา เขาพบซากสัตว์นอนตายเกลื่อนไปหมด นก วัว สุนัข แม้ว่ามักจะมีเหตุการณ์ฟ้าผ่าบ่อยๆ แต่การ ‘ตายหมู่’ ของสัตว์เหล่านี้ก็ดูไม่ใช่เรื่องธรรมดานัก เขาเก็บความสงสัยไว้ในใจและเดินทางต่อไปจนกระทั่งถึงหมู่บ้าน



ภาพที่ปรากฏต่อหน้าเขานั้น น้ำในทะเลสาปนีโยสที่เคยใสสีเข้ม กลับกลายเป็นสีแดงขุ่นอย่างน่ากลัว ทุกอย่างเงียบสงบ ถนนในหมู่บ้าน เต็มไปด้วยร่างของชาวบ้านที่นอนเสียชีวิต บางร่างนั้นอยู่บนถนน บางร่างนั้นอยู่ในบ้าน หน้าประตู และที่ต่างๆ ทุกร่างต่างไม่มีบาดแผล ไม่มีเลือด ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ใดๆ ลักษณะของศพนั้นเหมือนว่าอยู่ๆทุกคนก็เสียชีวิตไปพร้อมๆกันซะงั้น




ภาพที่เกิดขึ้นนั้นชวนสยองเกินกว่าจะทนไหว ชายชาวแคมารูนคนนั้นตัดสินใจรีบเดินทางกลับเมืองวุม แม้ว่าระยะทางเพียงแค่ 30-40 กิโลเมตรเท่านั้น แต่การสื่อสาร และสภาพถนน กว่าทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจะมาถึงหมู่บ้านที่เกิดเหตุนั้นก็กินเวลาเกือบ 2 วัน



ชาวบ้านบางคนรอดชีวิตหลังสลบไปเกือบ 2 วันเต็มๆ บางคนฟื้นขึ้นมาแล้วพบศพของญาติพี่น้องตัวเองนอนเสียชีวิตอยู่ข้างๆ บางคนรับสภาพไม่ไหว ฆ่าตัวตายญาติตัวเองไปเลยก็มี



จากคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิตเล่าว่า ในวันเกิดเหตุ อยู่ดีๆก็มีเสียงดังสนั่นไปทั่วท้องฟ้า แล้วก็วูบสลบไปเฉยๆ จนกระทั่งฟื้นขึ้นมาในเกือบ 2 วันต่อมา แล้วพบร่างของญาติพี่น้องตนนอนเสียชีวิตอยู่เต็มไปหมด

จากการรายงานของทีมแพทย์ที่มาจากเมืองวุมนั้นพบว่า ผู้รอดชีวิตทุกคนจะมีอาการคล้ายๆกัน คือมึนงง อ่อนเพลีย มีรอยไหม้ตามร่างกาย มีปัญหาทางด้านระบบทางเดินหายใจ แต่เมื่อพยายามวินิจฉัยแล้ว กลับไม่พบสาเหตุของการเสียชีวิตใดๆ ทุกคนใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็นมา กินอาหารแบบเดิมๆ ไม่มีบาดแผล ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ สภาพศพทุกศพนั้นไม่มีลักษณะของการดิ้นทุรนทุรายที่แสดงถึงความเจ็บปวดใดๆ ดูเหมือนแค่ปิดสวิทซ์ แล้วทุกคนก็เสียชีวิตไปทันที

เมื่อแพทย์ท้องถิ่นไม่สามารถอธิบายต้นเหตุของการเสียชีวิตที่แน่ชัดได้ ข่าวลือก็เริ่มแพร่กระจาย โดยเฉพาะเมื่อชาวแคมารูนนั้นต่างเชื่อว่า วิญญาณบรรพบุรุษที่อาศัยอยู่ในทะเลสาปนั้นโกรธจนคร่าชีวิตผู้คน แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องมีคำอธิบายที่เป็นวิทยาศาสตร์

ทีมสอบสวนจากนานาชาติทั้งสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น สวิซฯ พร้อมผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาต่างเข้าสำรวจพื้นที่เพื่อหาสาเหตุให้พบ แต่การทดสอบเบื้องต้นกลับไม่พบอะไรที่เป็นสาเหตุ

อย่างไรก็ตาม สองปีก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นที่ทะเลสาปโมนูน (Monoun Lake) โดยทะเลสาปโมนูนนั้นห่างจากทะเลสาปนีโยสลงไปทางใต้ประมาณ 100 กิโลเมตร และเป็นที่น่าสังเกตุว่า ทะเลสาปทั้งสองแห่ง มีลักษณะทางกายภาพคล้ายๆกัน เป็นทะเลสาปที่เกิดขึ้นจากปากปล่องภูเขาไฟเหมือนกัน โดยในวันที่ 15 สิงหาคม 1984 มีผู้เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุจำนวน 37 คน ทั้งหมดอยู่ในบริเวณหุบเขาที่อยู่ในระดับต่ำกว่าระดับน้ำในทะเลสาปโมนูน ซึ่งเหตุการณ์คล้ายกันกับที่เกิดที่ทะเลสาปนีโยส



เหตุการณ์ที่ทะเลสาปโมนูนนั้น มีผู้เชี่ยวชาญด้านภูเขาไฟจากสหรัฐฯเข้าทำการสำรวจ แต่ปรากฏว่าสภาพแวดล้อมทุกอย่างปกติ อุณหภูมิของน้ำในทะเลสาปปกติ ไม่ได้มีเหตุบ่งชี้ถึงการปะทุของภูเขาไฟแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้เชี่ยวชาญได้ลองเอาน้ำจากใต้ทะเลสาปขึ้นมาบนผิว พบว่า ขวดที่เก็บตัวอย่างน้ำที่อยู่ลึกเมื่อเอาขึ้นมาบนผิวน้ำนั้นจะเกิดการระเบิดออกทันที และเมื่อนำน้ำมาตรวจสอบพบว่าน้ำที่มาจากใต้ทะเลสาปนั้น มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์จำนวนมาก ซึ่งอาจเกิดจากหินหลอมเหลวและขี้เถ้าภูเขาไฟใต้ทะเลสาป



โดยปกติแล้ว ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ CO2 นั้นจะหนักกว่าอากาศ เมื่อมันถูกปล่อยออกมา ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์จะกดลงต่ำ ทำให้ก๊าซออกซิเจนลอยสูงขึ้น ทำให้สิ่งมีชีวิตบริเวณนั้นไม่มีอากาศหายใจ

ผู้เชี่ยวชาญสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนที่ทะเลสาปโมนูนว่า เกิดจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ที่ระเหยออกมาจากแม็กม่าใต้โลกและซึมปนกับน้ำบริเวณก้นทะเลสาป โดยปกติแล้ว เมื่อก๊าซระเหยมา มันควรจะลอยขึ้นมากับน้ำและระเหยไปในอากาศ แต่ที่ทะเลสาปโมนูน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์นั้นไม่ลอยขึ้นมา เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า สาเหตุที่มันไม่ลอยขึ้นมานั้น เนื่องเพราะความลึกของทะเลสาป ส่งผลให้ความดันของน้ำมีมากพอจะกดก๊าซเหล่านี้ให้จมอยู่ใต้น้ำเป็นร้อยๆปี นอกจากนี้ ตำแหน่งที่ตั้งของทะเลสาปเหล่านี้ อยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร อุณหภูมินั้นสม่ำเสมอทั้งปี และลักษณะภูมิประเทศทำให้ทะเลสาปนิ่งสนิท ส่งผลให้ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ที่อยู่ใต้ทะเลสาปลึกนั้นถูกสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ

จนกระทั่งเมื่อมีอะไรไปกระตุ้น ทำให้ก๊าซเหล่านี้ลอยขึ้นมาสู่พื้นผิวและระเบิดสู่พื้นที่ใกล้เคียง ทำให้บริเวณนั้นไม่มีอ็อกซิเจนในทันทีทันใดไปชั่วขณะหนึ่ง

ย้อนกลับมาที่เหตุการณ์ที่ทะเลสาปนีโยส เมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนแล้ว ผู้เชี่ยวชาญต่างสรุปว่า การเสียชีวิตของชาวบ้านในเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากสาเหตุเดียวกัน แต่ที่ยังหาคำตอบไม่ได้ก็คือ อะไรไปกระตุ้นให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์จำนวนมหาศาลในทะเลสาปแห่งนี้ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม จากคำบอกเล่าของชาวบ้านผู้รอดชีวิต ที่เล่าว่าได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้อง ทางผู้เชี่ยวชาญจึง ‘สันนิษฐาน’ ว่า อาจมีก้อนหินขนาดใหญ่ตกจากภูเขาด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม และตกลงสู่ก้นทะเลสาปนีโยส ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของน้ำในทะเลสาปและทำให้บรรดาก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ที่สะสมมาเป็นร้อยๆปีใต้ทะเลสาป ลอยขึ้นมาและกระจายไปทั่วบริเวณไปในทันที

ว่ากันว่า ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ที่ระเบิดในวันนี้มีปริมาณมากถึง 1.2 ลูกบาศก์กิโลเมตรเลยทีเดียว

ปัจจุบันนี้ ผู้เชี่ยวชาญได้หาทางแก้ปัญหานี้ที่อาจจะทำให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นอีกในอนาคต โดยการสร้างท่อต่อลงไปที่ก้นทะเลสาป เพื่อระบายเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ให้ลอยขึ้นมาสู่ผิวน้ำ ไม่ให้สะสมตัวมากจนเกินไป


Credit: http://kratoo.in/read/2415730
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...