http://108thinks.blogspot.com
ความเชื่อและการค้า 'มนุษย์เผือก' ในประเทศแทนซาเนีย
คนร้ายตระเวนทำร้าย-ฆ่าคนผิวเผือกในแทนซาเนีย ตัดอวัยวะไปขายให้หมอผีเพื่อทำเครื่องราง ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ แต่ละคนย่อมมีสิทธิ์ที่จะชีวิตของตัวเองเหมือนๆ กับที่มนุษย์คนอื่นมีสิทธิ์ แต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งในประเทศแทนซาเนียที่ต้องดำรงชีวิตภายใต้ความหวาดกลัว เนื่องจากมีความต้องการนำร่างกายของคนกลุ่มนี้ไปทำเครื่องรางของขลังหรือยาเสน่ห์ นำมาซึ่งการออกล่าชิ้นส่วนอวัยวะ แม้แต่ซากศพก็ถูกขุดขึ้นมาขาย โดยที่เหตุการณ์นี้ยังเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ด้วยความเชื่อว่า อวัยวะของผู้ที่มีภาวะผิวสีเผือก (Albinism) ช่วยนำมาซึ่งความโชคดีและความร่ำรวย จึงมีการตระเวนทำร้ายร่างกายหรือฆ่าคนผิวเผือกในประเทศแทนซาเนีย แล้วนำไปจำหน่ายให้พวกพ่อมดหมอผีเพื่อนำชิ้นส่วนไปประกอบพิธีทำเครื่องรางของขลังหรือยาเสน่ห์ ส่งขายตามคำสั่งของลูกค้ากระเป๋าหนักที่ยอมจ่ายเงินประมาณ 3,000-4,000 เหรียญสหรัฐ สำหรับแขน หรืออาจมากถึง 75,000 เหรียญสหรัฐ สำหรับร่างกายทั้งตัว
กรณีล่าสุดเกิดกับ เพนโด เอมมานูเอล นันดี เด็กหญิงวัย 4 ขวบ ที่ถูกลักพาตัวจากบ้าน จนขณะนี้ก็ยังตามหาตัวไม่พบ แม้จะมีการตั้งรางวัลให้ผู้แจ้งเบาะแสถึง 1,700 เหรียญสหรัฐแล้วก็ตาม นอกจากความต้องการชิ้นส่วนที่ออร์เดอร์กันไม่ขาดสายแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่ยิ่งกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายคือ ความโลภ เนื่องจากค่าตอบแทนนั้นมากกว่าอัตราเงินเดือนขั้นต่ำของประเทศถึง 3 เท่าตัว ความเย้ายวนนี้ยิ่งทำให้ชีวิตของคนผิวเผือกตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น จนไม่อาจไว้วางใจใครได้แม้กระทั่งคนในครอบครัว เช่น หญิงวัย 38 ปีรายหนึ่ง ถูกสามีของตัวเองและเพื่อนสามีอีก 4 คนย่องเข้ามาใช้มีดสปาร์ต้าตัดแขนขณะกำลังนอนหลับอยู่
สำหรับต้นตอของการค้าชิ้นส่วนมนุษย์นั้น ปีเตอร์ แอช ชาวแคนาดาผู้ก่อตั้งองค์กรการกุศลเพื่อให้ความช่วยเหลือคนผิวเผือก Under The Same Sun เชื่อว่ามีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน โดยแอชให้เหตุผลว่า แทนซาเนียเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก คนที่จะมีเงินมากพอมีเพียงนักการเมือง หรืออาจเป็นนักธุรกิจที่มีเงินถุงเงินถัง แต่ทุกครั้งก็ไม่สามารถสาวไปถึงตัวการได้ เนื่องจากพ่อมดหมอผีและผู้ลงมือฆ่าไม่เคยปริปากบอกรายชื่อของลูกค้าที่เป็นคนสั่งการตัวจริงเลย แม้พวกเขาจะต้องโทษประหารชีวิตก็ตาม
นอกจากนี้ นักรณรงค์เพื่อคนผิวเผือกรายนี้ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ยิ่งใกล้ช่วงการเลือกตั้ง จำนวนการก่อเหตุยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะในการหาเสียง นักเลือกตั้งมักพึ่งพ่อมดหมอผี ช่วยให้พวกเขาชนะการเลือกตั้งด้วยวิธีทางไสยศาสตร์ ดังนั้น ระหว่างเวลาอันตรายนี้ คนผิวเผือกต้องซ่อนตัวเพื่อให้รอดพ้นจากการตกเป็นเหยื่อ และที่ซ่อนตัวที่น่าจะปลอดภัยที่สุดคงหนีไม่พ้นศูนย์พักพิงภายใต้กำแพงสูงลิ่วที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งมีคนผิวเผือกย้ายเข้าไปอาศัยรวมกันจำนวนไม่น้อย บางคนเข้าไปตั้งแต่เด็กโดยที่ไม่ได้กลับออกมาพบหน้าคนในครอบครัวเลย เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดอันตราย
อย่างไรก็ดี ในปี 2009 ทางรัฐบาลได้ประกาศห้ามพ่อมดหมอผีรักษาคนป่วย แต่ก็สร้างความไม่พอใจไปทั่วประเทศ เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ยังพึ่งพาการรักษาแบบโบราณด้วยการใช้สมุนไพร
นอกเหนือจากนั้น โจเซฟาท ทอร์เนอร์ นักรณรงค์ซึ่งมีผิวเผือกเช่นกัน ได้เสี่ยงชีวิตเดินทางจากบ้านเกิดในเมืองดาร์-เอส-ซาลาม ไปในหมู่บ้านห่างไกลของแทนซาเนีย เพื่อสร้างความตระหนักรวมทั้งให้ความรู้กับชาวบ้านว่าจริงๆ แล้วคนผิวเผือกก็เป็นคนธรรมดาเหมือนคนอื่นทั่วไป ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เรียกโชคแต่อย่างใด โดยเขากล่าวในฐานะตัวแทนคนผิวเผือกว่า สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ สิทธิ์ที่จะมีชีวิตแบบคนปกติ
ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลของโครงการ Under The Same Sun พบว่า มีการฆ่าเพื่อเอาชิ้นส่วน 136 ครั้ง ทำร้ายร่างกายร่างกาย 211 ครั้งใน 25 ประเทศของทวีปแอฟริกา โดยร่างของเด็กเป็นที่ต้องการมากที่สุด เพราะความซื่อบริสุทธิ์และความอ่อนแอทำให้นักล่าคนเผือกจู่โจมได้ง่าย รวมทั้งการทำร้ายด้วยการข่มขืนเพียงเพราะเชื่อว่าจะช่วยรักษาโรคได้ ทั้งความเชื่อแบบผิดๆ ที่น่าตระหนกที่สุดคือ ยิ่งเจ้าของแขนที่ถูกตัดกรีดร้องเสียงดังเท่าไร ความขลังของเครื่องรางจะยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น
ที่มา : http://www.posttoday.com/
ภาพประกอบจาก http://www.dailymail.co.uk/