ทะเลทรายคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยความลึกลับ ขนาดอันกว้างใหญ่ไพศาลของมันทำให้แม้แต่วิวัฒนาการอันแสนก้าวไกลของมนุษย์ก็ยังไม่สามารถไขปริศนาของทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในพื้นที่แห้งแล้งเหล่านี้ได้
สิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในทะเลทรายหลายเหตุการณ์จึงยังคงเป็นปริศนาที่รอการค้นหาคำตอบต่อไปอย่างเช่น 7 เรื่องชวนสงสัยนี้
1. วงกลมนางฟ้า
กลางทะเลทรายนามิเบียที่แห้งแล้ง วงกลมปริศนาที่มีความลึกประมาณหัวเข่าได้ปรากฎขึิ้นเป็นระยะทางกว่า 1,800 กิโลเมตร กินพื้นที่ตั้งแต่ประเทศนามิเบียไปจนถึงเขต Cape ในแอฟริกาใต้ วงกลมแต่ละวงมีขนาดแตกต่างกันตั้งแต่ 2 เมตร ไปจนถึง 20 เมตร และปรากฎขึ้นมาเป็นเวลานานอย่างน้อย 75 ปีแล้ว ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ใดที่สามารถยืนยันได้ว่าวงกลมเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หลายคนเชื่อว่ามันเป็นเพียงฝีมือของสัตว์ อย่างเช่นปลวก นกกระจอกเทศ หรือม้าลาย และอาจเป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากแก๊สบางชนิด ในขณะที่บางคนเชื่อว่ามันเป็นฝีมือของมนุษย์หรือแม้กระทั่งสิ่งลึกลับและมนุษย์ต่างดาว
2. สุสานประหลาด
ณ หุบเขาแห่งกษัตริย์ในประเทศอียิปต์ มีสุสานที่เต็มไปด้วยหลุมศพของกษัตริย์และราชวงศ์แห่งอียิปต์มากมาย เช่นที่ฝังพระศพของฟาโรห์ตุตันคาเมน แต่ปริศนาได้ปรากฎขึ้นและค้างคาใจนักสำรวจมาเป็นเวลาเนิ่นนาน หลังจากมีการค้นพบกระท่อมที่ภายในมีหีบศพ 7 หีบที่ปิดผนึกอย่างมิดชิดพร้อมกับข้าวของเครื่องใช้อีกมากมาย แต่ภายในหีบกลับไม่มีร่างของผู้ใดบรรจุไว้เลย รอบหีบศพมีเสื้อผ้าอาภรณ์ข้าวของเครื่องใช้ตระเตรียมไว้ตามพิธีการของชาวอียิปต์ ฝาโลงที่ปิดผนึกแน่นทำให้นักโบราณคดีสงสัยว่าหลุมศพเหล่านี้ทำขึ้นเพื่อการใด เพราะถ้าหากต้องการทำเพื่อตบตาใครบางคนว่ากษัตริย์ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ก็ควรจะมีการจารึกชื่อหรือรายละเอียดใดไว้บ้าง แต่สถานที่แห่งนี้ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ใดเลยนอกจากหีบเปล่าๆ และพิธีศพที่ถูกต้องตามธรรมเนียม
3. ซากปรักหักพังในซีเรีย
ซากปรักหักพังแห่งนี้ตั้งอยู่กลางทะเลทรายในประเทศซีเรีย ห่างออกไปจากกรุงดามัสกัสราว 80 กิโลเมตร ซากเหล่านี้ถูกค้นพบเมื่อ 5,000 ปีก่อน ซึ่งเมื่อตรวจสอบอายุแล้วพบว่าเก่าแก่เสียยิ่งกว่าเมืองดามัสกัสโบราณ ในปี 2009 นักโบราณคดี Robert Mason ได้พยายามไขปริศนาของซากโบราณเหล่านี้ ซึ่งเป็นไปได้ว่ามันอาจเป็นหลุมศพหรือแท่นสำหรับทำพิธีกรรมบางอย่าง และเมื่อคำนวนอายุของหินก็พบว่ามันมีอายุมากกว่า 6,000 ถึง 10,000 ปี เก่าแก่กว่าพีระมิดที่อายุมากที่สุดในโลกอย่างมหาพีระมิดแห่งกีซา
4. เครื่องมือหิน
ในปี 2011 มีการค้นพบเครื่องมือหินที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ หิน 149 ชิ้นกลางทะเลทรายในประเทศเคนยาเหล่านี้มีอายุมากกว่า 3.3 ล้านปี นานเกินกว่าที่บรรพบุรุษของมนุษย์เผ่าพันธุ์ใดจะปรากฎตัวขึ้น แต่อุปกรณ์เครื่องมือที่ดูมีวิวัฒนาการเหลือเชื่อกลับถูกค้นพบ ซึ่งผู้ที่จะสามารถสร้างเครื่องมือประเภทนี้ได้ต้องมีทั้งสภาพร่างกายและมันสมองที่ใกล้เคียงกับมนุษย์สมัยใหม่ อาจเป็นไปได้ว่าในยุคนั้นมีสิ่งมีชีวิตบางสายพันธุ์ที่เก่งกาจและมีความสามารถล้ำหน้าสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา
5. แหล่งไนเตรท
ทะเลทรายอาตากามาถูกเรียกว่าเป็นสถานที่ที่แห้งแล้งและว่างเปล่าที่สุดในโลก พืชพรรณและสิ่งมีชีวิตชนิดใดไม่สามารถอาศัยอยู่ในพื้นที่แถบนั้นได้เลย แต่สถานที่แห่งนี้กลับเป็นแหล่งของไนเตรทและไอโอดีนที่ใหญ่ที่สุด ไนเตรทเกิดจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์และแบคทีเรีย แต่ท่ามกลางทะเลทรายที่แห้งแล้งนี้กลับมีไนเตรทและไอโอดีนกระจายอยู่ในพื้นที่ยาว 700 กิโลเมตร กว้าง 20 กิโลเมตร เชื่อกันว่าแร่ธาตุเหล่านี้อาจถูกพัดพามาจากทะเลแปซิฟิกที่อยู่ห่างออกไปราว 50 กิโลเมตร และไนโตรเจนก็ทำปฏิกิริยากับดินและเกลือ แต่ความคิดเหล่านี้ก็เป็นเพียงทฤษฎีที่ยังพิสูจน์ไม่ได้เท่านั้น
6. ศิลปะรูปแมงมุม
งานศิลปะชิ้นนี้ถูกค้นพบในทะเลทรายทางตะวันตกของประเทศอียิปต์ ผาหินทรายขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางเขตโอเอซิส Kharga และบนหินทรายแห้งนี้มีงานศิลปะรูปแมงมุมและใยแมงมุมถูกสร้างสรรค์ไว้ แม้จะไม่มีผู้ใดทราบอายุที่แน่ชัดของงานศิลปะชิ้นนี้แต่จากการตรวจสอบนั้นยืนยันแล้วว่ามันมีอายุเก่าแก่กว่า 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชหรืออาจย้อนไปถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์เสียด้วยซ้ำไป ซึ่งแน่นอนว่าแม้แต่อารยธรรมเก่าแก่อย่างอียิปต์โบราณก็ยังไม่ถือกำเนิด แล้วใครคือผู้สร้างสรรค์งานศิลปะชิ้นนี้ แล้วเหตุใดแรงบันดาลใจของเขาจึงเป็นแมงมุม
7. แก้วกลางทะเลทราย
แก้วและกระจกถือได้ว่าเป็นเครื่องประดับที่ทำค่อนข้างยากในสมัยโบราณ เนื่องจากต้องอาศัยความร้อนมหาศาลในการเผาไหม้ทราย แต่กลับมีการค้นพบว่าเครื่องแก้วชนิดที่ถูกใช้เป็นเครื่องประดับของฟาโรห์ทุตอังค์อามุนแห่งอียิปต์นั้นมีอายุเก่าแก่กว่าอาณาจักรอียิปต์เองเสียอีก จากความสงสัยนี้จึงนำไปสู่การค้นพบแหล่งแก้วกลางทะเลทรายสะฮารา ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าแก้วประเภทนี้ต้องใช้ความร้อนระดับสูงกว่าพลังงานปรมาณูในการสร้างตัว ซึ่งคาดว่าอาจมีความร้อนสูงกว่า 18,000 องศาเซลเซียส
ที่มา: listverse